วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอน ลำดับงานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่


ลำดับงานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่

     สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงบุกเบิกค้นคว้าเรื่องชีวิตและงานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่ไว้เมื่อพ.ศ. ๒๔๖๕ ว่าสุนทรภู่มีงานกวีนิพนธ์รม ๒๔ เรื่อง  บัดนี้เวลาล่วงเลยมา ๖๕ ปีแล้ว เราจำเป็นต้องปรับปรุงทฤษฎีของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสียใหม่ ว่างานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่ มีอยู่  ๒๑ เรื่อง คือเราจำเป็นต้องตัดออกเสีย ๕ เรื่อง และเพิ่มเรื่องใหม่อีก ๒ เรื่อง ดังต่อไปนี้คือ

    ๑. นิราศพระแท่นดงรัง ฉบับที่ขึ้นต้นว่า "นิราศรักหักในอาลัยหวน  ไปพระแท่นดงรังต้ังแต่ครวญ"  ว่าไม่ใช่สำนวนกลอนของสุนทรภู่  เป็นสำนวนกลอนของเสมียนมี  หรือหมื่นพรหมสมพัตศร(มี) หรือบัดนี้เรารู้จักกันในชื่อ นายมี มีระเสน ซึ่งเป็นศิษย์สุนทรภู่

   ๒. นิราศอิเหนา เราจำเป็นต้องตัดออกไป เพราะเหตุว่าสุนทรภู่แต่งนิราศ ไม่เคยขึ้นต้นกลอนว่า "นิราศ" เลยแม้แต่เรื่องเดียว  นิราศอิเหนานี้เป็นพระราชนิพนธ์ของกรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิ์ ซึ่งก็เป็นศิษย์สุนทรภู่  กรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิ์เป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย 

   ๓. นิราศวัดเจ้าฟ้า  เราก็ต้องตัดออกไป  เพราะเหตุว่าผู้แต่งได้บอกชื่อตัวเองไว้อย่างชัดแจ้ง ผู้แต่งคือนายพัด ภู่เรือหงส์ ลูกชายสุนทรภู่ แต่งเมื่อพ.ศ. ๒๓๙๙ เมื่อนายพัด ภู่เรือหงส์ บวชเณรอยู่ มีอายุได้ ๑๙ ปีแล้ว นายภู่ ภู่เรือหงส์ เกิดเมื่อพ.ศ. ๒๓๖๑ นายภู่แต่งพรรณนาถึงเจ้าจอมมารดาทองอยู่ พระอัครชายาของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข  กรมพระอนุรักษ์เทเวศร์(ทองอิน)  ซึ่งได้รับพระราชทานเพลิงศพ เมื่อพ.ศ.๒๓๗๙ ที่วัดระฆัง

   ๔. สุภาษิตสอนหญิง เราจำเป็นต้องตัดออกไป  เพราะเหตุว่าสุนทรภู่แต่งกลอนไม่เคยไหว้ครูเลยแม้แต่เรื่องเดียว  สำนวนไหว้ครูที่ขึ้นต้นว่า "ประนมหัตถ์มัสการขึ้นเหนือเศียร  ต่างประทีบโกสุมประทุมเทียน" เป็นสำนวนกลอนของนายภู่ ลูกศิษย์สุนทรภู่ แต่งเรื่องอะไรก็ใช้สำนวนกลอนไหว้ครูอย่างนี้ทุกเรื่อง   นายภู่เคยบวชที่วัดสระเกศในรัชกาลที่ ๓ สึกออกมาในรัชกาลที่ ๔  เดิมเป็นพระธรรมทานาจารย์(ภู่) ทายาทของท่านได้รับนามสกุลพระราชทานว่า "จุลละภมร"  ด้วยสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าทรงทราบว่า นายภู่เป็นกวีชั้นรองสุนทรภู่  จึง ได้พระราชทานนามสกุลว่า "จุลละภมร"  แปลว่า "นายภู่น้อย"

   ๕. บทละครเรื่องอภัยนุราช  เรื่องนี้ก็ต้องตัดออก เพราะกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ทรงว่าเป็นบทกวีของพระยาเสนาภูเบศร์  ในรัชกาลที่ ๔ เป็นเจ้าของละคร  จึงแต่งละครให้เล่นกัน  ไม่ใช่แต่งสำหรับอ่านเล่นเช่นนิยายคำกลอนของสุนทรภู่ 

    ๖. สุภาษิตโลกนิติคำกลอน เป็นบทกวีอันมีคุณค่าของสุนทรภู่ คู่กับ "สุภาษิตโลกนิติคำโคลง" ของ กรมพระยาเดชาดิศร และแต่งในสมัยเดียวกันคือ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แต่งเมื่อบวชอยู่วัดสระเกศระหว่างพ.ศ.๒๓๘๖ ถึงพ.ศ.๒๓๙๓ สุนทรภู่สึกในพ.ศ.๒๓๙๔ ในรัชกาลที่ ๔  มีราชทินนามตามบรรดาศักดิ์ว่า พระสุนทรโวหาร ตำแหน่งจางวางกรมพระอาลักษณ์  ไม่ใช่เจ้ากรม สุนทรภู่รับราชการอยู่วังหน้าจนถึงพ.ศ.๒๔๐๘  พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตแล้ว จึงออกไปอยู่บ้านสวนที่ฝั่งธนบุรี สุนทรภู่น่าจะถึงแก่กรรมในพ.ศ.๒๔๑๐ มีอายุได้ ๘๑ ปี  ไม่ใช่ถึงแก่กรรมพ.ศ. ๒๓๙๘ อายุ ๖๙ ปี ตามที่ว่ากัน  สุนทรภู่บวชอยู่จนตลอดรัชกาลที่ ๓ รวม ๒๘ พรรษา  ไม่เคยสึกแล้วบวชอีกตามว่ากัน หลักฐานเรื่องนี้อยู่ที่นิราศพระแท่นดงรังของเณรกลั่น  ลูกบุญธรรมและลูกศิษย์สุนทรภู่ เขียนยืนยันไว้ในนิราศพระแท่นดงรังว่า  สุนทรภู่เดินทางไปด้วยเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๓๘๘

     สรุปว่างานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่มี ๒๑ เรื่องคือ 
     ๑.นิยายคำกลอนเรื่องโคบุตร  แต่งเมื่อพ.ศ.๒๓๔๙ อายุ ๒๐ ปี แต่งถวายพระองค์เจ้าปฐมวงศ์  พระราชโอรสของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข 
     ๒. นิราศเมืองแกลง แต่งเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๓๕๐  อายุ ๒๑ ปี แต่งให้นางจันทร์ คนรัก 
     ๓. นิราศพระพุทธบาท แต่งเมื่อ เดือนกุมภาพันธุ์ พ.ศ.๒๓๕๐ อายุ ๒๑ ปีแต่งให้นางจันทร์คนรัก 
     ๔.พระอภัยมณี แต่งเมื่อพ.ศ.๒๓๖๗  แต่งถวายเจ้าฟ้าชายมงกุฎและเจ้าฟ้าชายจุฑามณี  เพื่อถวายพระโอวาทให้พระสติปัญญาและกำลังใจที่พลาดจากราชสมบัติ 
     ๕. เพลงยาวสวัสดิรักษา แต่งถวายเจ้าฟ้าชายจุฑามณี ด้วยจงรักภักดีในในเจ้าฟ้าชายองค์นี้มาก ด้วยหวังว่าจะได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากรัชกาลที่ ๓ 
     ๖. เพลงยาวถวายโอวาท แต่งถวายเจ้าฟ้าชายกลาง มหามาลาและเจ้าฟ้าอาภรณ์  ซึ่งเป็นศิษย์เมื่ออยู่วัดราชบูรณะ พ.ศ. ๒๓๗๐
     ๗. นิราศเมืองเพชร แต่งถวายเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เมื่อพ.ศ.๒๓๗๐ เมื่อคราวเดินทางไปหาของดีถวายที่เมืองเพชร  เจ้าฟ้าชายองค์นี้ท่านสนพระทัยสนุกไปทางนี้  ในนิราศนี้ยังกล่าวถึงขุนแพ่งว่าตายเมื่อคราวศึกลาวพ.ศ.๒๓๖๙ สุนทรภู่บวชอยู่ที่วัดพระเชตุพน  ลงเรือที่หน้าวัดนี้ บอกว่าได้บังสกุลให้ขุนแพ่งด้วย โดยบังสกุลให้ด้วยตนเองเพราะเป็นพระภิกษุ อายุ ๔๑ ปีอยู่ในอุปถัมภ์ของกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ 
     ๘. นิราศภูเขาทอง แต่งเมื่อพ.ศ.๒๓๗๑  เมื่อบวชอยู่วัดราชบูรณะ  กล่าวถึงวัดเขมาว่ามีงานฉลองเมื่อวันวาน   วัดนี้มีงานฉลองปีพ.ศ.๒๓๗๑  อายุ๔๒ปี
     ๙. นิราศสุพรรณ แต่งเมื่อพ.ศ.๒๓๘๔  อายุได้ ๕๕ ปีแต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ 
   ๑๐. เพลงยาวรำพรรณพิลาป แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๘๕  เป็นเพลงยาวเกี้ยวเจ้านายสาวสวยพระองค์นี้โดยตรง 
     ๑๑.นิราศพระปธม  เดินทางไปนมัสการพระปฐมเจดีย์เมื่อวันที่๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๘๕  หลังจากแต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปได้ ๖ เดือน  แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เป็นการขอขมาที่บังอาจแต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปเกี้ยวพาราสีท่านไว้  เป็นนิราศเรื่องสุดท้ายของสุนทรภู่ หลังจากนี้สุนทรภู่ก็ไม่แต่งนิราศอีกเลย  เพราะกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ สิ้นพระชนม์เมื่อ วันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๓๘๘  พระชนมายุได้ ๓๔ พรรษา  สุนทรภู่ก็สิ้นสิ่งดลใจทางการกวี  สิ้นความเพ้อฝันที่จะแต่งนิราศรักอีกต่อไป
     ๑๒. สุภาษิตโลกนิติคำกลอน  แต่งเมื่อบวชอยู่วัดสระเกศ  ระหว่างพ.ศ.๒๓๘๖ ถึงพ.ศ.๒๓๙๓ เป็นสุภาษิตสอนเด็ก  สุนทรภู่อายุ ๕๗ ถึง ๖๔ ปี
     ๑๓. เพลงยาวพระราชพงศาวดาร  แต่งถวายรัชกาลที่ ๔ เมื่อรับราชการอยู่วังหน้า  ระหว่างพ.ศ.๒๓๙๔ ถึงพ.ศ.๒๓๙๘ อายุ ๖๕ ถึง ๗๐ ปี  ไม่มีอารมณ์กวีแฝงอยู่เลย  จึงมีผู้กล่าวว่าไม่ค่อยไพเราะ 
     ๑๔. เพลงเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน  แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ให้นางกำนัล นางข้าหลวงในวังขับเสภากันเล่น ในรัชกาลที่ ๓ ระหว่าง พ.ศ.๒๓๘๑ ถึงพ.ศ. ๒๓๘๕ แบบที่พระมหามนตรีแต่งบทละครตลกเรื่อง ระเด่นลันได ถวายให้นางข้าหลวงเล่นละครตลกกันในวัง  เพลงเสภาของสุนทรภู่สู้ของครูแจ้ง วัดระฆัง ไม่ได้ เพราะสุนทรภู่สมาคมอยู่ในชั้นเจ้านายซึ่งเป็นผู้ดีชั้นสูง รสชาติจึงไม่ถึงใจคนฟังผิดธรรมเนียมเพลงเสภาที่ต้องว่ากันเจ็บแสบถึงทรวง  อย่างละครตลกของพระมหามนตรีเรื่องละเด่นลันได 

     ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าคนที่จะรู้ฝีมือกวีต้องเป็นนักกวีด้วยกัน  แต่งบทกลอนเป็นและแต่งได้อย่างชำนาญด้วย  เหมือนคนที่รู้รสดนตรีต้องเป็นนักดนตรีด้วยกัน 
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอน โลกนิติคำกลอน


โลกนิติคำกลอน

     เรื่องสำคัญที่นักศึกษาวรรณคดีของสุนทรภู่ยังไม่เคยมีใครค้นคว้าถึงก็คือ  สุนทรภู่ได้แต่งสุภาษิตไว้เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมาก  คือเรื่องโลกนิติคำกลอน  สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ทรงศึกษาค้นคว้างานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่ไว้เมื่อพ.ศ.๒๔๖๕ ก็มิได้ทรงกล่าวถึงเลย  เป็นเวลา ๖๕ ปีมาแล้ว  
     แต่สุภาษิตโลกนิติคำกลอนนี้ได้เคยเผยแพร่มาแล้วหลายคร้ัง  ข้าพเจ้าเองก็เคยนำไปพิมพ์แจกในงานศพบิดา เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ โดยขออนุญาตจากกรมศิลปากร  เจ้าของต้นฉบับ แต่กรมศิลปากรเรียกสุภาษิตเรื่องนี้ว่า"สุภาษิตสอนเด็ก"  เข้าใจว่าคงจะตั้งชื่อเองจากคำขึ้นต้นของสุภาษิตเรื่องนี้ว่า 

     "มานี่แนะเจ้าหนูดูสารสอน         จงจำไว้ไปข้างหน้าจะถาวร
       เป็นอาภรณ์เครื่องประดับสำหรับกาย"

     คำขึ้นต้นนี้ทำทีว่าจะสอนเด็ก  แล้วไม่มีผู้ใดได้ศึกษาค้นคว้าว่าสุภาษิตนี้มีที่มาจากไหน ใครเป็นคนแต่ง แต่งเมื่อใด ดูเหมือนว่าจะไม่มีคนกล่าวถึงมากนัก
     ข้าพเจ้าได้อ่านดูเห็นว่าเป็นสุภาษิตที่ไพเราะมากเรื่องหนึ่ง  ถ้อยคำสำนวนใกล้เคียงกับของสุนทรภู่มาก  น่าสงสัยว่าจะเป็นคำกลอนของสุนทรภู่  และโดยที่ข้าพเจ้าเคยสนใจสุภาษิตโลกนิติคำโคลงของสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร  จึงนำเนื้อหาสุภาษิตมาเทียบเคียงกันดู   ก็ปรากฎว่าสุภาษิตเรื่องนี้มีสาระสุภาษิต ตรงกับสุภาษิตโลกนิติคำกลอนโดยตลอดต้ังแต่ต้นจนปลายทีเดียว

      ยิ่งกว่าน้ันท่านผู้นิพนธ์สุภาษิตนี้ยังบอกไว้ชัดเจนว่า 
     
     "แสดงความตามบาลีโลกนิติ์     สุภาษิตของเก่าเก็บมาใส่
     เด็กใดดีปรีชาปัญญาไว              ก็หยิบใช้แต่ที่ชอบประกอบการ"

     เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงขออนุญาตเรียกสุภาษิตเรื่องนี้ใหม่ตามที่่านผู้นิพนธ์บอกไว้ว่า  "สุภาษิตโลกนิติคำกลอน"  เป็นของคู่กับ "สุภาษิตโลกนิติคำโคลงของเก่า"   ซึ่งเป็นบทกวีโบราณ ตกทอดมาถึงรัชกาลที่ ๓ ซึ่งรัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระยาเดชาดิศรทรงชำระเสียใหม่  สุภาษิตโลกนิติคำโคลงจึงมีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓
     อันที่จริงสุภาษิตโลกนิติคำโคลงนี้มีมาแต่โบราณแล้วสำนวนหนึ่ง แต่วิปลาสคลาดเคลื่อนในถ้อยคำสำนวน รัชกาลที่ ๓ จึงทรงโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระยาเดชาดิศรทรงชำระขึ้นใหม่     แต่ต่อมามีผู้พบฉบับภาษาบาลี  เอามาเทียบเคียงได้เกือบหมดทุกโคลง เมื่อกรมศิลปากรพิมพ์จึงนำคำบาลีมาพิมพ์เทียบเคียงไว้ด้วย 

     ต่อมาศาสตราจารย์แสง มนวิทูร ได้ศึกษาค้นพบว่า โลกนิติคำโคลงของเก่าและของกรมพระยาเดชาดิศรน้ัน มีที่มาจากโลกนิติปกรณ์  แต่งไว้เป็นคำฉันท์ในภาษาบาลี ท่านจึงนำมาแปลถอดความเป็นร้อยแก้วภาษาไทย มีอยู่ ๑๕๘ บท  เรื่องโลกนิติปกรณ์นี้ ได้พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพศาสตราจารย์แสง มนวิทูร เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๑๗ 
     และเมื่อได้อ่านแนวคำสอนในสุภาษิตนี้  ก็ต้องยอมรับว่าเป็นแนวคำสอนในพระพุทธศาสนานี่เอง  จะมีเพิ่มเติมบ้างเล็กน้อย ก็อยู่ในแนวหลักธรรมพระพุทธศาสนาตลอด 

     เมื่อนำ "สุภาษิตสอนเด็ก" เรื่องนี้มาเทียบเคียงเข้าแล้ว มันก็คือ"โลกนิติคำกลอน"ดีๆนี่เอง  ตามที่ท่านผู้นิพนธ์บอกไว้ว่า 

      "แสดงความตามบาลีโลกนิติ์          สุภาษิตของเก่าเก็บมาใส่"

     ท่านจะเอามาจากโลกนิติ์ปกรณ์ในภาษาบาลีโดยตรง  หรือว่าเอามาจาก"โลกนิติคำโคลงของเก่า"ก็ตาม ก็มีที่มาจากแหล่งเดียวกันกับ"โลกนิติคำโคลงของสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร" นั่นเอง    
     หมายความว่าถ้ากรมพระยาเดชาดิศร  ท่านเอามาจาก"โลกนิติคำโคลงของเก่า" แล้ว  "สุภาษิตโลกนิติคำกลอน" นี้ ก็มาจาก"สุภาษิตโลกนิติคำโคลงของเก่า"เหมือนกัน  หรือถ้าสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศรท่านเอาจากโลกนิติปกรณ์ภาษาบาลี   "สุภาษิตโลกนิติคำกลอน" นี้ก็มาจากโลกนิติปกรณ์ภาษาบาลีด้วยเช่นกัน  และน่าจะแต่งในสมัยรัชกาลที่ ๓ เพราะตามธรรมดานักกวีสมัยเดียวกัน  มักมีสิ่งแวดล้อมมาดลใจให้แต่งบทกวีในแนวเดียวกัน 
     กวีท่านหนึ่งจึงแต่ง โลกนิติคำโคลง กวีอีกท่านแต่ง โลกนิติคำกลอน ตามความถนัดของกวีท่านน้ัน  ถ้าไม่สังเกตุก็เกือบจะดูไม่ออกว่ามาจากแหล่งเดียวกัน คือ "โลกนิติปกรณ์ " ในภาษาบาลี

ตัวอย่างเรื่องการคบมิตร

โลกนิติคำโคลงของกรมพระยาเดชาดิศร ว่า

"ปลาร้าพันห่อด้วย     ใบคา
 ใบก็เหม็นคาวปลา     คละคลุ้ง
 คือคนหมู่ไปหา          พาลนา
 ได้แต่รายร้ายฟุ้ง       เฟื่องให้เสียพันธ์ุ"

โลกนิตคำกลอน ท่านแต่งว่า

"อันคนชั่วเช่นกะปิกับปลาร้า
  เอาใบคาเข้าห่อพอประเดี๋ยว
  คาก็เหม็นเช่นกันเช่นนั้นเจียว
  เหมือนผู้เที่ยวแปดปนด้วยคนพาล" 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องหาตัวกวีผู้แต่งว่าเป็นใครกันแน่  และต้องวินิฉัยเป็นเรื่องๆไป 

     ๑.ลักษณะคำกลอน
     ลักษณะคำกลอนนี้เป็นลักษณะคำกลอนของสุนทรภู่แท้ มีลักษณะเป็นกลอนแปดแท้ มีสัมผัสในด้วย  ซึ่งผิดกับนิราศท่าดินแดงของพระพุทธยอดฟ้าฯ และผิดกับคำกลอนเรื่องสังข์ทองของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งไม่เคร่งครัดในเรื่องแปดคำ และสัมผัสใน

     ๒. ความไพเราะ
     ความไพเราของโลกนิติคำกลอนนี้มีความไพเราะ ไม่มีที่ตำหนิเลย 
ตัวอย่างเช่น

     "อันรักกันอยู่ไกลถึงขอบฟ้า
      เหมือนชายคาเข้ามาเบียดดูเสียดสี
      อันชังกันนั้นอยู่ใกล้สักองคุลี
     ก็เหมือนมีแนวป่าเข้ามาบัง"  

     ๓. เปรียบเทียบเพลงยาวถวายโอวาท
     สุภาษิตโลกนิติคำกลอนนี้มีสำนวนคล้ายกับเพลงยาวถวายโอวาทของสุนทรภู่ ที่แต่งถวายเจ้าฟ้ามหามาลา  ดังจะยกมาให้เห็นคือ

     " อนึ่งบรรดาข้าไทยที่ใจซื่อ
      จงนับถือถ่อมศักดิ์สมัครสมาน
      อนึ่งคนมนตร์ขลังช่างชำนาญ
      แม้นพบพานผูกไว้เป็นไมตรี
     เขาจึงชอบปลอบให้น้ำใจชื่น
     จึงเริงรื่นรักแรงไม่แหนงหนี
     ปรารถนาสารพัดในปฐพี
     เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง"

     สุภาษิตโลกนิติคำกลอน

     "อนึ่งเป็นนายก็เอาใจไพร่มันมั่ง
     อย่าตึงตังไปทีเดียวเฝ้าเคี่ยวเข็ญ
     ถึงตกทุกข์ที่ลำบากได้ยากเย็น
     จะตายเป็นมันไม่ทิ้งจริงจริงเจียว
     อนึ่งบ่าวไพร่ไม่ดีจะตีด่า
     อย่าโกรธาหันหุนให้ฉุนเฉียว
     ประหยัดหย่อนผ่อนใช้แต่ไม้เรียว
     อุตส่าห์เหนี่ยวหน่วงจิตคิดเมตตา"

     จะเห็นได้ว่าแนวคิดถ้อยคำสำนวนเป็นอย่างเดียวกัน

     ๔. เปรียบเทียบสำนวนกลอนเพลงยาวสวัสดิรักษาของสุนทรภู่
     เพลงยาวสวัสดิรักษาที่สุนทรภู่แต่งถวายเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์นั้น ท่านใช้คำว่า "อนึ่ง"  ขึ้นต้นคำกลอนใหม่โดยตลอด  โลกนิติคำกลอนก็ใช้คำขึ้นต้นคำกลอนว่า "อนึ่ง" เช่นกัน  ยังไม่เคยเห็นกวีคนใดใช้คำขึ้นต้นกลอนว่า "อนึ่ง" เหมือนท่านสุนทรภู่เลย

     เพลงยาวสวัสดิรักษา

     "อนึ่งนั่งบังคมอย่ายลต่ำ        อย่าบ้วนน้ำลายพาเสียราศี"
     "อนึ่งทรงพระเจริญเพลินถนอม  อย่าให้หม่อมห้ามหลับทับหัตถา"
     "อนึ่งวันชำระสระพระเกล้า     อังคารเสาร์สิ้นวิบัติปัดโถม"

     โลกนิติคำกลอน

     " อนึ่งผู้ใดใคร่ซื่อให้ซื่อต่อ  เขาขัดคอแล้วจงให้เหมือนใจหมาย"
     "อนึ่งผู้ใดใคร่รักเร่งรักบ้าง    อย่าทำเมินเหินห่างหันหน้าหนี"
     "อนึ่งทรัพย์มีสี่ส่วนให้ควรแบ่ง สองส่วนแบ่งใช้จ่ายตามประสงค์"

      ๕. คำขึ้นต้นคำกลอน  สุนทรภู่ขึ้นต้นคำกลอนไว้อย่างสง่า  ภาคภูมิสมเป็นนักกวีชั้นครู  ไม่มีคำไหว้ครู ไม่มีคำออกตัว ไม่มีคำถ่อมตัว 

      เพลงยาวสวัสดิรักษา

    "สุนทรทำคำสวัสดิรักษา
     ถวายหน่อบพิตรอิศรา
     ตามพระบาลีเฉลิมให้เพิ่มพูน"

     สุภาษิตโลกนิติคำกลอน

     "มานี่แนะเจ้าหนูดูสารสอน
     จดจำไว้ไปข้างหน้าจะถาวร
      เป็นอาภรณ์เครื่องประดับสำหรับกาย"

     ๖. คำลงท้าย   คำลงท้ายคำกลอนทุกเรื่อง สุนทรภู่ลงท้ายอย่างไว้เชิงครูกวี  ลงท้ายแบบสง่า ไม่มีวกวน ไม่มีอ้อยอิ่ง คำลงท้ายสุภาษิตโลกนิติคำกลอนก็เช่นเดียวกัน

     "อีกอย่างหนึ่งอย่าว่าดีอย่ามีชั่ว
      อย่าขลาดกลัวอย่ากล้าเหมือนว่าเล่น
     ย่อมใช้ได้ทุกตำรายาเช้าเย็น
     จำไว้เป็นอย่างยิ่งอย่าทิ้งเอย ฯ"

     ทั้ง ๖ ข้อที่นำเสนอนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า สุภาษิตโลกนิติคำกลอนนี้เป็นบทกวีนิพนธ์ของท่านสุนทรภู่แน่นอนไม่มีที่สงสัย 
     เวลาที่แต่งนั้นก็แต่งในรัชกาลที่ ๓ ยุคเดียวสมัยเดียวกับที่กรมพระยาเดชาดิศร ท่านทรงนิพนธ์สุภาษิตโลกนิตคำโคลงนั่นเอง 

     ข้าพเจ้าจึงขอเสนอ  สุภาษิตโลกนิติคำกลอน เป็นบทกวีของท่านสุนทรภู่อีกเรื่องหนึ่ง  ขอให้ท่านที่สนใจคำกลอนสุนทรภู่จงอ่านพิจารณาทบทวนดูแล้วจะเห็นว่า  ไม่มีกวีอื่นจะแต่งคำกลอนสุภาษิตโลกนิติคำกลอนได้ไพเราะเช่นนี้เลย ข้าพเจ้าจึงขอประกาศลิขสิทธิ์แทนท่านสุนทรภู่ตั้งแต่บัดนี้ว่า

     "สุภาษิตโลกนิติคำกลอน  เป็นบทกวีนิพนธ์ของท่านสุนทรภู่แต่งในสมัยรัชกาลที่ ๓  เมื่อบวชจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ระหว่างปีพ.ศ. ๒๓๘๖ -พ.ศ. ๒๓๙๓ 
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

     
     

     















     

      

  

วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอนที่ ๑๓ บทละครเรื่องอภัยนุราช


บทละครเรื่องอภัยนุราช

     สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องชีวิตและงานของสุนทรภู่ไว้ตั้งแต่พ.ศ.๒๔๖๙  ทรงบอกไว้ว่าสุนทรภู่แต่งบทละครไว้เรื่องหนี่ง คือเรื่องอภัยนุราช บทละครเรื่องนี้มีคนสงสัยกันมานานแล้วว่า ไม่น่าจะเป็นบทกลอนของสุนทรภู่  เพราะถ้อยคำสำนวนไม่ถึงขั้น  ข้าพเจ้าก็ออกจะเห็นด้วยว่าไม่ใช่คำกลอนสุนทรภู่เหมือนกัน  ด้วยนึกในใจว่าสุนทรภู่ไม่เคยเกี่ยวข้องกับการเล่นละครเป็นเจ้าของละคร หรือมีความรู้ทางการเล่นละครเกี่ยวกับบทละครที่เล่นน้ันๆด้วย  ท่านจึงไม่น่าจะแต่งบทละคร  ที่แต่งเรื่องสังข์ทองนั้นก็แต่งร่วมกับกวีคนอื่นๆต่อหน้าพระที่นั่ง เป็นการแต่งแก้ถ้อยคำบางบทบางตอนเท่านั้น ท่านไม่ได้แต่งบทละครทั้งเรื่องเลย  ทำไมจึงมาแต่งบทละครเรื่องอภัยนุราช  แล้วยังต้ังชื่อว่าอภัยนุราชเสียอีก ก็ท่านแต่งนิยายคำกลอนเรื่องยาวไว้แล้วชื่อพระอภัยมณี  ถ้าท่านจะแต่งบทละครอีกสักเรื่อง ก็น่าจะใช้ชื่ออื่น  เรื่องพระอภัยมณีนี้ท่านสุนทรภู่แต่งถวายเจ้าฟ้าสององค์ ซึ่งสุนทรภู่จงรักภักดีอยู่ สุนทรภู่คาดหมายไว้ว่าเจ้าฟ้าสององค์นี้่จะได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยคือ  เจ้าฟ้าชายมงกุฎ ประสูติเมื่อวันที่๑๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๓๔๗ และเจ้าฟ้าจุฑามณีประสูติเมื่อวันที่๔ กันยายน พ.ศ.๒๓๕๑ ทั้งสองพระองคฺ์นี้ประสูติภายใต้พระมหาเศวตฉัตร มีสิทธิ์ในราชสมบัติที่จะได้ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ ๓ ต่อไป  แต่ในปีพ.ศ.๒๓๖๗ พระจอมเกล้าฯมีอายุครบบวชจึงได้เข้าอุปสมบท และในปีน้ันเองพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็เสด็จสวรรคตพอดีเสียด้วย เจ้านายขุนนางประชุมกันถวายพระราชสมบัติให้พระองค์เจ้าทัพ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ขึ้นครองราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ ๓ สุนทรภู่ซึ่งจงรักภักดีในเจ้านายสองพระองค์นี้ จึงหนีราชการออกบวชด้วยเกรงพระบารมีพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะเมื่อรัชกาลที่ ๒ นั้นสุนทรภู่มิได้คาดว่าพระองค์เจ้าชายทัพจะได้ครองราชสมบัติ จึงทำการข้ามกรายมิได้เคารพเกรงพระทัยเลย  เมื่อผิดคาดเช่นน้้น สุนทรภู่จึงแต่งนิยายคำกลอนขึ้นถวายเจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์นั้น สมมุติให้เจ้าฟ้ามงกุฎเป็นพระอภัยมณี  ไปเรียนวิชาเป่าปี่ เปรียบเหมือนเจ้าฟ้ามงกุฎที่ไปศึกษาพระธรรมวินัยสำหรับสั่งสอนชาวโลกเหมือนวิชาเป่าปี่กล่อมชาวโลก  เจ้าฟ้าจุฑามณีนั้นเล่าก็เอาแต่จะเรียนวิชาดนตรี ไม่สนใจเรียนวิชาการปกครอง เหมือนศรีสุวรรณเรียนวิชากระบี่กระบอง  พระบิดาจึงไม่มอบให้ครองราชสมบัติ 

     เรื่องอภัยนุราชที่เคยสงสัยว่าไม่ใช่ของสุนทรภู่น้ัน  ต่อมาจึงได้พบหลักฐานว่าพระยาเสนาภูเบศร์(ใส สโรบล)  เป็นผู้แต่งไว้โดยกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส) ได้ทรงนิพนธ์ไว้ในคำนำบทละครเรื่องเทพวิไลว่า 
     " พระยาเสนาภูเบศร์ ได้แต่งบทละครไว้หลายเรื่อง แต่พระยาสโรบลบดี(บุตร) ว่าถูกปลวกกัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยรวมไม่ติด ที่เหลืออยู่เป็นเรื่องใหญ่ คือเรื่องเทพวิไลเรื่องหนึ่ง เรื่องวิเชียรสุริวงศ์เรื่องหนี่ง  บุตรภรรยาพระยาเสนาภูเบศร์กล่าวว่า เรื่องอภัยนุราชเรื่องหนึ่ง (หนังสืออภัยนุราชนี้ บาญชีหนังสือในหอสมุดสำหรับพระนครว่า สุนทรภู่แต่ง)  เรื่องเทพวิไลนี้แต่งสำหรับเล่นละครให้คนดู แลคนดูเห็นจะเป็นคนบ้านนอก เพราะพระยาเสนาภูเบศร์ไปตั้งเล่นละครอยู่มณฑลราชบุรี  การแต่งบทละครเช่นนี้ไม่ใช่แต่งอย่างพิถีพิถันเหมือนกลอนที่แต่งให้คนอ่าน   ถ้าแต่งกลอนดีนัก คนดูละครบ้านนอกก็ฟังไม่เข้าใจ ถ้าผูกเรื่องให้นักปราชญ์ชม คนดูก็ดูไม่ออก  อนึ่งการแต่งบทละครเช่นน้ันในสมัยโน้น เหมือนหุงข้าวกรอกหม้อ เป็นการแต่งไปซ้อมไป เล่นออกโรงไป  ผู้แต่งไม่ระวังศัพท์แสง กลัวนักปราชญ์จะติ ผู้อ่านไม่ควรมุ่งหมายว่าจะได้อ่านกลอนอย่างเอก" 

     นี่แหละคือหลักฐานที่ว่าบทละครเรื่องอภัยนุราช ไม่ใช่ของสุนทรภู่เป็นของพระยาเสนาภูเบศร์ (ใส สโรบล)  ท่านแต่งให้คนดูละครที่บ้านนอก  บทกลอนจึงเป็นสำนวนคนบ้านนอก  ไม่ใช่นิยายกลอนอย่างสุนทรภู่ สำนวนกลอนจึงแตกต่างกัน  จึงจำเป็นต้องตัดบทละครเรื่องอภัยนุราชจากบทกวีของสุนทรภู่อีกเรื่องหนึ่ง 
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอน๑๒ ชีวิตรักสุนทรภู่


ชีวิตรักสุนทรภู่

     การเขียนประวัติสุนทรภู่ ถ้าไม่ได้เขียนเรื่องชีวิตรักของสุนทรภู่  ก็เกือบว่าจะไม่สมบรูณ์เป็นประวัติสุนทรภู่  เพราะชีวิตสุนทรภู่เป็นชีวิตนักรักนักเลงเจ้าชู้   เป็นกวีมีชื่อก็เพราะเป็นนักเลงรักนี่แหละ สุนทรภู่เป็นศิลปิน เป็นนักรัก  แม้เมียเขาก็อดรักไม่ได้ ท่านพรรณนาไว้ในนิราศสุพรรณว่า "งิ้วกับพี่มิแคล้ว    ขึ้นงิ้ว ลิ่วสูง"  

     สุนทรภู่มีคนรักหลายคนที่กล่าวไว้ในนิราศต่างๆ ของท่าน รวมทั้งเพลงยาวรำพรรณพิลาป  มีดังต่อไปนี้
     ๑. นางจันทร์ หญิงคนรักคนแรกที่รักและหลงใหลมาก มีบุตรด้วยกันคนหนึ่งชื่อ นายพัด เมื่อพ.ศ.๒๓๖๑ แล้วก็แยกทางกัน  สุนทรภู่จึงประพันธ์ไว้ในนิราศเมืองแกลง นิราศพระบาท และนิราศสุพรรณ แต่ตอนไปนครปฐม พ.ศ.๒๓๘๕ ว่าตายเสียแล้ว ทำศพที่วัดระฆัง "วัดระฆังต้ังแต่เสร็จสำเร็จศพ  ไม่พานพบภคินีเจ้าพี่เอ๋ย" ตอนนี้พรรณนาถึงนางจันทร์ ไม่ใช่พรรณนาถึงเจ้านายผู้หญิงในวังหลัง ในนิราศสุพรรณก็พรรณนาว่า 
         ๐ ยลบ้านบุต้ัง                    ตีขัน
             ขุกคิดเคยชมจันทร์        แจ่มฟ้า
             ยามยากหากปันกัน        กินซึกฉลีกแฮ
             มีคู่ชูชื่นหน้า                   นุชปลื้มลืมเดิม ฯ

     ๒. นางนิ่ม ชาวบางกรวย  ภรรยาคนที่สอง มารดานายตาบ เมื่อไปสุพรรณบุรี นางนิ่มตายแล้ว 
     ๐ บางกรวยกรวดน้ำแบ่ง      บุญทาน
         ส่งนิ่มนุชนิพพาน              ผ่องแผ้ว
        จำพลัดพรากจากสถาน     ทิ้งพี่หนีเอย
         เห็นแต่คลองน้องแคล้ว   คลาดเขลื้อนเดือนปี ฯ

   ๓. นางกลิ่น  คนรักอีกคนหนึ่ง พรรณนาไว้ในนิราศสุพรรณ

     ๐ รวยรินกลิ่นสไบทราม         สวาสดิ์ร่วง ทรวงเอย
        สูญกลิ่นสิ้นกลอนพร้อง      เพราะเจ้า เบาใจ ฯ

     ๐ เชิญทราบกาพย์กลกลอน   กล่าวกลิ่น ถวิลเอย
        จำขาดชาตินี้แคล้ว              คลาดน้อง ของสงวน ฯ

    ๔. นางนก คนรักต้ังแต่รุ่นหนุ่ม  สมัยเป็นนักการรังวัดสวน อยู่แถววัดชีปะขาว พรรณนาไว้ในนิราศสุพรรณว่า 
     ๐ วัดแจ้งแต่งตึกตั้ง                 เตียงนอน
         เคยปกนกน้อยคอน             คู่พร้อง
         เคยลอบตอบสารสมร          สมานสมัคร รักเอย
         จำพรากจากนุชน้อง             นกน้อยลอยลม ฯ

     ๕. นางสร้อย คนรักต้ังแต่รุ่นหนุ่ม อยู่วัดชีปะขาว  เป็นเสมียนรังวัดที่ดินของกรมพระราชวังหลัง  พรรณนาไว้ในนิราศสุพรรณว่า 
     ๐ วัดชีปะขาวคราวรุ่นรู้             เรียนเขียน
        ทำสูตรสอนเสมียน               สมุดน้อย 
        เดินระวางระวังเวียน              หว่างวัด ปะขาวเอย
        เคยชื่นกลืนกลิ่นสร้อย          สวาทห้างกลางสวน ฯ

     ๖. นางกลิ่น คนรักคนหนึ่งอยู่แถวบางบำหรุ  พรรณนาไว้ในนิราศสุพรรณว่า 
      ๐ บางบำหรุบำรุงแก้ว                กานดา
        แก้วเนตรเชษฐาชรา              ร่างแล้ว
        ถือบวชกรวดน้ำพา                 พบชาติอื่นเอย
       ในชาตินี้พี่แคล้ว                      คลาดค้างห่างสมร ฯ

   ๐ บางระมาดมิ่งมิตรมิ่ง               คราวงาน
       บอกบทบุญยังพยาน              พยักหน้า
       ประทุนประดิษฐาน                 แท่นฮ่องหอเอย
       แหวนประดับกับผ้า                พี่อ้างรางวัล ฯ

     ๗. นางม่วง ภรรยาของสุนทรภู่ น่าจะมีบุตรด้วยกันชื่อนิล นางม่วงนี้ถ้าจะเป็นบุตรสาวขุนนางท่านผู้ใหญ่อยู่  จึงเรียกว่า หม่อมม่วง  สุนทรภู่พรรณนาถึงนางม่วงไว้ว่า 
     ๐ บางม่วงทรวงเศร้าคิด          เคยชวน
        ม่วงเก็บมะม่วงสวน              สุดระย้า
        ม่วงอื่นรื่นรัญจวน                 จิตไม่ ใคร่แฮ
        ม่วงหม่อมหอมหวนหน้า       เช่นเนื้อ นวลจันทร์ ฯ

     ๘. นางน้อย เป็นคนรักอีกคนหนึ่ง เอ่ยชื่อไว้ในนิราศสุพรรณว่า 
     ๐ บางน้อยพลอยนึกน้อย          น้องเอย
     น้อยแนบแอบอกเอย                คู่เคล้า
     เนื้อน้อยคอยถนอมเชย             เชือนชื่นอื่นแม่
     น้อยแต่ชื่อฤาเจ้า                      จิตน้อย ลอยลม ฯ

     ๙. นางงิ้ว ชู้รักคนหนึ่งของสุนทรภู่ น่าจะมีสามีแล้ว เพราะสุนทรภู่นึกถึงนางงิ้วนี้แล้วก็ว่า  คงไม่แคล้วต้องขึ้นต้นงิ้วเมื่อม้วยมรณา 
     ๐ ยามยลต้นงิ้วป่า                    หนาหนาม
     นึกบาปวาบวับหวาม                 วุ่นแล้ว
     คงจะปะงิ้วทราม                       สวาทเมื่อ ม้วยแฮ
     งิ้วกับพี่มิแคล้ว                          คี่นงิ้ว ลิ่วสูง ฯ

     ๑๐. นางบัวคำ เป็นสาวชาวเวียงจันทร์  อพยพมาคร้ังศึกเจ้าอนุวงศ์ เวียงจันทร์ พ.ศ.๒๓๖๙ มาอยู่แถวบางคูเวียง  เมื่อไปสุพรรณบุรีผ่านบ้านบางบัว สุนทรภู่ก็พรรณนาถึงนางบัวคำคนนี้ว่า
     ๐ บางบัวบ้านชื่อพร้อง               สนองนำ
    นึกเช่นเห็นบัวคำ                       ชื่อพร้อง
    ข้าวเหนียวเกี่ยวมาทำ               แทนเค่าเจ้าเอย
    คราวเคราะห์เพราะเกี่ยวข้อง    ขัดค้างขวางเชิง ฯ

     ๑๑. นางม่วง หลานสาวที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง
     ๑๒.นางคำ หลานสาวที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง
     สุนทรภู่รำพรรณไว้ในนิราศเมืองแกลงว่า 

     ๐ ทุกเช้าเย็นเห็นแต่หลานที่บ้านกร่ำ 
     ม่วงกับคำกลอยจิตขนิษฐา
     เห็นเจ็บปวดนวดเฟ้นช่วยฝนยา
     ตามประสาซื่อตรงเป็นวงศ์วาน

     ๐ อย่าเศร้าสร้อยคอยพี่พอปีหน้า
     จึงจะมาทำขวัญเหมือนมั่นหมาย 
     ไม่ทิ้งขว้างห่างให้เจ้าได้อาย
     จงครองกายแก้วตาอย่าอาวรณ์

     ๑๓. นางทองมี  สาวชาวเมืองเพชรบุรี 
     ๑๔. นางอิน สาวชาวเมืองเพชรบุรีอีกคนหนึ่ง  พบกันเมื่อคราวพ.ศ. ๒๓๗๐ คงอยู่ข้างวัดเกต
     ๐ ที่ไหนไหนไมตรียังดีสิ้น
     เว้นแต่อินวัดเกตของเชษฐา
     ช่างตัดญาติขาดเด็ดไม่เมตตา
     พอเห็นหน้าน้องก็เบือนไม่เหมือนเคย

     ๑๕.นางบุญมา สาวชาวเมืองเพชร สุนทรภู่มีแฟนสาวชาวเพชรบุรีมาก พรรณนาไว้ว่า 
     ๐ จะแทนคุณบุญมาประสายาก 
     ต้องกระดากดังหนึ่งศรกระดอนกลับ
     ได้ฝากแต่แพรผ้ากับบ้าทรัพย์
     ไว้สำรับหนึ่งนั้นทำขวัญน้อง 

     ๑๖.นางขำ สาวชาวเมืองเพชร
     ๐ แค้นแต่ขำกรรมอะไรไฉนน้อง
    เฝ้าท้องท้องทุกปีไม่มีเหมือน 
    ช่างกระไรใจจิตไม่บิดเบือน
    จะไปเยือนเล่าก็รู้ว่าอยู่ไฟ

     ๑๗. นางลูกจันทน์ สาวชาวเมืองเพชร  ไปเมืองเพชรเมื่อปี ๒๓๖๐ ไปเที่ยวเขาหลวง รำพรรณถึงความหลังว่า
     ๐แล้วเดินดูภูผาศิลาเลื่อม           บ้างงอกเงื้อมเงาระยับสลับสี
     เป็นห้องน้อยรอยลายหนังสือมี   คิดถึงปีเป็นบ้าเคยมานอน
     ชมลูกจันทน์กลั่นกลิ่นระรินรื่  จนเที่ยงคืนแขนซ้ายกลายเป็นหมอน
     เห็นห้องหินศิลายิ่งอาวรณ์          เคยกล่าวกลอนข้าโอ้ชาตรี

    ๑๘. ดอกฟ้า หรือ แก้วฟ้า  หมายถึง พระองค์เจ้าหญิงวิลาศ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เป็นคนที่สุนทรภู่แอบหลงรักอยู่ข้างเดียว  ได้แต่งเพลงยาวไปถวายยืดยาว  โดยพรรณนาไว้ว่า
     ๐ ถึงคลองร้องเรียกบ้าน            บางหลวง
     รำลึกนึกถึงดวง                          ดอกฟ้า  
     เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวทรวง       แสนเทวษ ทุเรศเอย
     อุ้มรักหนักอกถ้า                         เทียบเถ้าเขาหลวง ฯ

     ๐ ตลาดแก้วแถวถิ่นจระเข้          คนขาม
     ตลิ่งตลอดแต่ล้วนหนาม             สนับหญ้า
     แก้วอื่นหมื่นแสนทราม                สู้สละ ปะเอย
     รักแต่แก้วแววฟ้า                        จะเฝ้าเคล้าถนอม ฯ       

     คนรักของสุนทรภู่ที่กล่าวนามนี้ กล่าวตามหลักฐานถ้อยคำของสุนทรภู่เอง ไม่ใช่เดาเอา บางคนเป็นภรรยา เช่น นางจันทร์ นางนิ่ม นางถวิล มีบุตรคนละคน  นางจันทร์มีบุตรคือนายพัด นางนิ่มมีบุตรคือนายตาบ นางม่วงมีบุตรคือนายนิล            
     

     (โปรดติดตามตอนต่อไป)
        

         



    
              

      

วันอังคารที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอน๑๑ เพลงยาวรำพรรณพิลาป


เพลงยาวรำพรรณพิลาป 

          คำกลอนของกวีโบราณมีอยู่ ๕ ประเภท คือ
     
     ๑. บทดอกสร้อย  ขึ้นต้นว่า  ดอกเอ๋ย มีกำหนดยาว ๔ คำกลอน หรือ ๘ วรรค
     ๒. บทสักวา  ขึ้นต้นว่า สักวา  (มาจากคำว่า สักวาที แปลว่า วาทีอันมีศักดิ์  แต่งโต้ตอบกัน ๒ ฝ่าย)  มีกำหนดความยาว ๔ คำกลอน หรือ ๘ วรรค
     ๓. เพลงยาวสังวาส  คือคำกลอนที่แต่งโต้ตอบกันยืดยาว  ไม่มีกำหนด ส่วนมากเป็นสารรักโต้ตอบกันระหว่างชายหญิง  หรือกวีด้วยกัน
     ๔.เพลงยาวสุภาษิต  คือคำกลอนทึ่แต่งเป็นคำสุภาษิตสอนใจ เช่น เพลงยาวภาษิตอิศรญาณ  หรือเพลงยาวสุภาษิตสอนหญิงของนายภู่ จุลละภมร
     ๕. เพลงยาวนิราศ คือคำกลอนที่แต่งเมื่อกวีเดินทางจากบ้าน  จากคนรักไป แล้วพรรณนาชื่อตำบลบ้านที่เดินทางผ่านไปตามรายทาง  แล้วก็รำพันถึงคนรักไปด้วย   ถึงจะไม่มีคนรักก็รำพันได้เพื่อให้เรื่องมีเสน่ห์น่าอ่าน เช่น นิราศภูเขาทอง  ที่ท่านสุนทรภู่เดินทางไประหว่างบวชเป็นพระอยู่  ไม่มีคนรัก แต่ท่านก็รำพันถึงคนรักไว้ด้วย  แล้วบอกไว้ว่า 

     "ใช่จะมีที่รักสมัครมาด                แรมนิราศร้างมิตรพิศมัย
     ซึ่งครวญคร่ำทำทีพิรี้พิไร            ตามวิสัยกาพย์กลอนแต่ก่อนมา
     เหมือนแม่ครัวคั่วแกงพะแนงผัด  สารพัดเพียญชนังเครื่องมังสา
     อันพริกไทยใบผักชีเหมือนสีกา ต้องโรยหน้าเสียสักหน่อยอร่อยใจ
     จงทราบความตามจริงทุกสิ่งสิ้น อย่านึกนินทาแถลงแหนงไฉน
     นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ จึงร่ำไรเรื่องร้างเล่นบ้างเอย" 

     นิราศภูเขาทองนี้ สุนทรภู่แต่งเมื่อพ.ศ.๒๓๗๑ อายุ ๔๒ ปี 

     งานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่ที่สำคัญมากเรื่องหนึ่งก็คือ "รำพรรณพิลาป" ที่ทำให้เราได้ทราบประวัติของท่านจากเรื่องนี้  กวีนิพนธ์เรื่องนี้ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องก็ต้องเรียกว่า "เพลงยาวรำพรรณพิลาป" เพราะเป็นกลอนเพลงยาว และเป็นประเภท "เพลงยาวสังวาส" คือแต่งขึ้นเพื่อส่งไปให้พระองค์เจ้าหญิงวิลาศหรือกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ  เจ้านายแสนสวยได้ทรงอ่านเล่นเพลินๆ พระทัยท่าน สุนทรภู่ไม่ได้แต่งแล้วเก็บเอาไว้อ่านเอง แต่แต่งแล้วส่งไปถวายเจ้านายสาว  เพลงยาวนี้คงจะตกอยู่ที่พระตำหนักกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพในวังนั่นเอง จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ลงในปี พ.ศ.๒๓๘๘ หลังจากที่ได้รับเพลงยาวนี้ ๓ปี  เพลงยาวนี้ถูกเก็บไว้ไม่เป็นที่เปิดเผย  จนกระทั่งพระยาราชสมบัติ(เอิบ บุรานนท์)  ซึ่งเป็นคนในตระกูล "บุนนาค"  ที่เกิดจากภรรยาน้อยของเจ้าพระยาอัครมหาเสนา (บุนนาค ต้นตระกูล บุนนาค)  ได้ต้นฉบับนี้จากต้นตระกูล จึงนำมามอบให้หอสมุดแห่งชาติ เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๘๐  เราจึงรู้ว่ามีงานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่เพิ่มขึ้น เราจึงรู้ว่าสุนทรภู่ได้ส่งเพลงยาวไปถวายเจ้าหญิงในวัง เป็นพระธิดาแสนสวยองค์โปรดของพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงแก่สร้างวัดพระราชทาน และก็ยังพระราชทานนามวัดว่า "วัดเทพธิดา"  ซึ่งก็คือกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพนั่นเอง  เจ้าหญิงองค์นี้ทรงโปรดการกวีนิพนธ์มาก  ที่พระตำหนักนั้นมีนางข้าหลวงอ่านบทกวีให้ทรงสดับในเวลาทรงบรรทม  นางข้าหลวงที่คอยอ่านบทกวีถวายนั้นคือ  คุณสุด สุวรรณ ณ บางช้าง  ปรากฎหลักฐานอยู่ในเพลงยาว  เพราะเหตุที่โปรดการกวีนี้แหละ จึงทำให้โปรดนักกวี  เช่นโปรดให้นิมนต์สุนทรภู่จากวัดราชบูรณะไปอยู่วัดเทพธิดาของท่าน เมื่อพ.ศ.๒๓๘๑  ทรงอุปถัมภ์สุนทรภู่ ถวายเสื่ออ่อน หมอนอิง จีวรแพร และเครื่องขบฉัน  ทองหยิบ ฝอยทอง และเงินนิตยภัตอีกเดือนละ ๑ ชั่ง   ทรงขอให้สุนทรภู่แต่งเรื่องพระอภัยมณีต่อด้วย  และคงจะเสด็จไปทำบุญกุศลที่วัดเทพธิดาบ่อยคร้ัง ทำให้สุนทรภู่กวีแก่ที่ทรงอุปถัมภ์อยู่นั้นเพ้อฝันไปไกลถึงขั้นส่งเพลงยาวไปถวาย  คือเพลงยาวรำพรรณพิลาปนี้ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเมื่อได้รับเพลงยาวฉบับนี้แล้ว ก็คงจะเก็บไว้ไม่เป็นที่เปิดเผยแพร่หลาย  จนตกอยู่ในความครอบครองของตระกูล "บุรานนท์"  ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของตระกูล "บุนนาค"  จึงได้รับเพลงยาวนี้ตกทอดมา พระยาราชสมบัติ(เอิบ บุรานนท์)  จึงได้นำเพลงยาวนี้มอบให้หอสมุดแห่งชาติไว้  เมื่อพ.ศ.๒๔๘๐  เราจึงควรขอบคุณพระยาราชสมบัติและควรจารึกชื่อไว้ให้ปรากฎด้วย  

     ในเพลงยาวรำพรรณพิลาปนี้มีเรื่องเกี่ยวกับสุนทรภู่อยู่มาก  จากคำของท่านเอง จึงไม่มีที่สงสัย เป็นเอกสารสำคัญดังจะขอแยกแยะให้เป็นเรื่องๆ ดังต่อไปนี้  
     ๑. วันเดือนปีทึ่แต่ง 
     "เดือนแปดวันจันทร์ทิวาเวลานอน"
     ตรงกับวันจันทร์เดือนแปดปีขาล พ.ศ. ๒๓๘๕
     ตรงกับวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๘๕

 ๒. ออกจากราชการแล้วบวช
    "แต่ปีวอกออกขาดราชกิจ               บรรพชิตพิศวาทพระศาสนาเหมือนลอยล่องท้องทะเลอยู่เอกา เห็นแต่ฟ้าฟ้าก็เปลี่ยวสุดเหลียวแล

     ออกจากราชการปีวอก ปีพ.ศ.๒๓๖๗ ปีที่พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชสมบัติ ออกจากราชการแล้วก็บวชเพราะพิศวาทพระศาสนา  ไม่ได้บอกว่าถูกปลด  แต่ก็คงออกเพราะหวาดเกรงราชภัย เนื่องจากเคยอวดเก่งข้ามกรายพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้ในสมัยที่สุนทรภู่เป็นคนโปรดของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  โดยความทนงตนว่าเป็นคนเก่ง  ไม่ได้คาดคิดว่าพระนั่งเกล้าฯ จะได้ราชสมบัติ  สุนทรภู่คาดว่า "พระหน่อบพิตรอดิศร"   นั้นต้องเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าสองพระองค์ คือเจ้าฟ้ามงกุฎ - เจ้าฟ้าจุฑามณี  ไม่คาดคิดว่าพระองค์เจ้าชายทับ  กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์จะได้ราชสมบัติ   เมื่อการเมืองพลิกผันไปเช่นนี้  สุนทรภู่จึงออกบวชทันที  คิดพึ่งผ้าเหลืองไม่ได้ถูกถอดถอนอะไร  เมื่อออกบวชแล้ว ตำแหน่งหน้าที่ บ้านหลวงที่เคยอยู่  คนอื่นก็ได้รับแทน  จึงบอกว่า "เห็นแต่ฟ้าฟ้าก็เปลี่ยวสุดเหลียวแล"  คือพึ่งพาเจ้าฟ้าไม่ได้เสียแล้ว  "ฟ้าก็เปลี่ยว" คือ หมายจะพึ่ง เจ้าฟ้าทั้งสององค์ก็ไม่ได้  เพราะไม่ได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน"

     ๓. ไปเมืองเพชร
     "ไปพริบพรีที่เขารองน้ำตาล        รับประทานหวานเย็นก็เป็นลม"

    เข้าใจว่าบวชแล้วก็ไปเมืองเพชร เมื่อปีพ.ศ.๒๓๖๘ เพราะเมื่อไปเมืองเพชรอีกในปีพ.ศ.๒๓๗๐ ก็กล่าวถึงขุนแพ่งเพื่อนรักว่าไปตายเสียในศึกลาวเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทร์ พ.ศ.๒๓๖๙  เมืองเพชรบุรีนี้สุนทรภู่เคยไปหลายครั้ง  เมื่อพ.ศ.๒๓๕๖  ก็กล่าวถึงว่า "แต่เดือนยี่ปีสี่ปีระกานิราร้าง  ไปอยู่บางกอกไกลกันใจหาย"  ปีระกาคือปีพ.ศ.๒๓๕๖

     ๔. ไปราชบุรี

     ไปราชบุรีมีแต่พาลจังทานพระ
     เหมือนไปปะบอระเพ็ดเหลือเข็ดขม
     ไปขึ้นเขาเล่าก็ตกอกระบม
     สุดจะตรมแทบจะตายเสียดายคราว

     แสดงว่าสุนทรภู่เคยไปขึ้นเขาที่เมืองราชบุรี  อาจจะเขางูหรือจอมบึง และไปตอนบวชเป็นพระ

     ๕. ไปกาญจนบุรี

     "คร้ังไปด่านกาญจนบุรีที่กระเหรี่ยง
     ฟังแต่เสียงเสือสีห์ชะนีหนาว
     นอนน้ำค้างพร่างพรมพลอยพรมพราว
     เพราะเชื่อลาวลวงว่าแร่แปรเป็นทอง"  

     สุนทรภู่มักจะลุ่มหลงเป็นคราวๆไป  นี่ท่านก็ไปเล่นแร่แปรธาตุถึงเมืองราชบุรี  ที่ว่าลาวนั้นคือลาวที่ต้อนเข้ามาเป็นเชลยศึกเจ้าอนุวงศ์ อยู่แถวราชบุรี  นครปฐม สุพรรณบุรี เรียกว่า ลาวโซ่ง ลาวขี้ครั่ง 
ลาวพรวน ลาวเวียง เดี๋ยวนี้เป็นไทยหมดแล้ว  

     ๖. ไปสุพรรณบุรี
     จำพรรษาอยู่ที่สองพี่น้อง
     "เข้าวัสสามาอยู่ที่สองพี่น้อง
     ยามขัดข้องขาดมุ้งริ้นยุงชุม
     คุกเช้าค่ำลำบากแสนยากยิ่ง
     เหลือทนจริงเจ็บแสบใส่แกลบสุม
     เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกลัดนั่งปัดยุง"
     
     เข้าใจว่าเมื่อปีพ.ศ.๒๓๘๔ คราวแต่งนิราศสุพรรณ  คือคราวไปหายาอายุวัฒนะ จะฉันยาให้เป็นหนุ่ม เพราะตอนนี้หลงรักเจ้าหญิงแสนสวย 

    " โอ้ยามอยู่สุพรรณกินมันเผือก
       เคี้ยวแต่เปลือกไม้หมากเปรี้ยวปากเหลือ
       จนแรงโรยโหยหิวผอมผิวเนื้อ
       พริกกับเกลือกลักใหญ่ยังไม่พอ
       ทั้งผ้าบาตรพาดเหล็กของเล็กน้อย
       ขโมยถอยไปทั้งเรือไม่เหลือหลอ
       เหลือแต่ผ้าอาศัยเสียใจคอ
       ชาวบ้านทอวายแทนแสนศรัทธา"

     ๗. ไปพิษณุโลก

     "คิดถึงคราวเจ้านิพพานสงสารโศก
      ไปพิศีโลกลายแทงแสวงหา
      ลงหนองน้ำปล้ำตะเข้หากเทวดา
      ช่วยรักษาจึงได้รอดไม่วอดวาย"

    พ.ศ..๒๓๖๙  บวชอยู่วัดอรุณ แล้วเดินทางไปถึงพิษณุโลก  เที่ยวเล่นลายแทง ไปเจอเอาตะเข้ในหนองน้ำเข้า ไปเมื่อพระพุทธเลิศหล้านภาลัยสวรรคตแล้วก็บวชและออกพรรษาก็ไปจังหวัดพิษณุโลก  น่าจะแต่งนิราศไว้เรื่องหนึ่ง ต้นฉบับอาจถูกปลวกกินเสีย  ตามที่บ่นไว้ในเพลงยาวรำพรรณพิลาป 

     ๘. ไปอยู่เขาม้าวิ่ง

   "วันไปอยู่ภูผาเขาม้าวิ่ง
     เหนื่อยอ่อนพิงเพิงไศลหลับใจหาย
     คร้ันดึกดูงูเหลือมเลื้อยเลื่อมพราย
     ล้อมรอบกายเกี้ยวตัวกันผัวเมีย
     หนีไม่พ้นจนใจได้สติ
     สมาธิถอดชีวิตอุทิศเสีย
     เสียงฟู่ฟู่ชูฟ่อเผ้าคลอเคลีย
     แลบลิ้นเลียแล้วเลื้อยแลเฟื้อยยาว
     ดูใหญ่เท่าผีกระโดงผีโป่งสิง
     เป็นรูปหญิงยืนหลอกผมหงอกขาว
     คิดจะตีหนีไปกลัวไม้เท้า
     โอ้เคราะห์คราวขึ้นไปเหนือเหมือนเหลือตาย"

     เขาม้าวิ่งนี้เข้าใจว่าจะอยู่ทางพิษณุโลก เพราะบอกว่าขึ้นไปทางเหนือ

     ๙. อยู่วัดราชบูรณะ

     "ต้องต่ำต้อยย่อยยับอับประมาณ
     มาอยู่วิหารวัดเลียบยิ่งเยียบเย็น
     โอ้ยามจนล้นเหลือสิ้นเสื่อหมอน
     สู้ซุ่มซ่อนเสียมิให้ใครใครเห็น
     ราหูทับยับเยินเผอิญเป็น"

     กลับมาอยู่วัดราชบูรณะ  เข้าใจว่ากลับจากเมืองเหนือแล้วจึงมาอยู่วัดราชบูรณะ

    ๑๐. คิดจะลาสิกขาบท
      
     " จะสึกหาลาพระอธิษฐาน
     โดยกันดารเดือดร้อนสุดผ่อนผัน
     พอพวกพระอภัยมณีศรีสุวรรณ
     เธอช่วยกันแก้ร้อนช่วยผ่อนเย็น
     อยู่มาพระสิงหไตรภพโลก 
     เป็นเศร้าโศกแสนแค้นสุดแสนเข็ญ
     ทุกค่ำคืนฝึนหน้าน้ำตากระเด็น
     พระโปรดเป็นที่พึ่งเหมือนหนึ่งนึก
     เหมือนไข้หนักรักษาวางยาทิพย์
     ฉันทองหยิบฝอยทองไม่ต้องสึก"

     พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณ คือ  เจ้าฟ้ามงกุฎกับเจ้าฟ้าจุฑามณี เข้ามาช่วยอุปถัมภ์หลังกลับมาจากเมืองเหนือ   พระสิงหไตรภพเข้าใจว่าคือ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ไม่ใช่พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ เข้ามาอุปถัมภ์อีกองค์หนึ่ง 

     ๑๑. ไปอยู่วัดเทพธิดา 

     "เป็นคราวเคราะห์ต้องพรากจากวิหาร
     กลัวพวกพาลผู้ร้ายจำย้ายหนี
     อยู่วัดเทพธิดาด้วยบารมี
     ได้ผ้าป่าปัจจัยไทยทาน"

     เข้าใจว่าสุนทรภู่ไปอยู่วัดเทพธิดาตั้งแต่พ.ศ.๒๓๘๒ เมื่อแรกสร้างวัดนี้  เพราะวัดนี้มีอยู่ก่อนแล้วเป็นวัดโบราณชื่อ วัดพระยาไกรสวนหลวง  เป็นวัดที่พระยาไกรโกษา( บุญมี ต้นสกุล ไกรบุญ)สร้างไว้  เจ้าพระยาไกรโกษา (บุญมี) เป็นบิดาเจ้าจอมมารดาบาง  พระชายาในรัชกาลที่ ๓  เจ้าจอมมารดาบางจึงได้สร้างวัดนี้ต่อมากับพระธิดา คือกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ แล้วถวายเป็นพระอารามหลวง พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามวัดนี้ว่า วัดเทพธิดา  สุนทรภู่คงอยู่มาแต่แรกสร้างวัดใหม่ๆ  และอยู่ต่อมาอีกหลายพรรษา จนถึงปีที่ไปพระปฐมเจดีย์  เมื่อพ.ศ.๒๓๘๕  ก็ยังบวชอยู่วัดนี้  สุนทรภู่อยู่ที่วัดนี้นับตั้งแต่พ.ศ.๒๓๘๒ ถึงพ.ศ.๒๓๘๕ ก็ประมาณ ๔ พรรษา  แล้วข้ามฝั่งคลองมหานาคไปอยู่วัดสระเกศ  พ.ศ.๒๓๘๖ ถึงพ.ศ.๒๓๙๓
     
     ๑๒. ไปสุพรรณ

     " ถึงเดือนยี่มีเทศน์สมเพชพักตร์
     เหมือนลงรักรู้ว่าบุญสิ้นสูญหาย
     สู้ซ่อนหน้าฝ่าฝืนสะอื้นอาย
     จนถึงปลายปีฉลูมีธุระ
     ไปทางเรือเหลือสลดด้วยปลดเปลื้อง
     ระคายเคืองข้องขัดตัดสละ
     ลืมวันเดือนเชือนเฉยแกล้งเลยละ
     เห็นแต่พระอภัยพระทัยดี
     ช่วยแจวเรือเกื้อหนุนทำบุญด้วย
     เหมือนโปรดช่วยชูหน้าเป็นราศี
     กลับมาถึงผึ้งมาจับอยู่กับกุฎิ
     ทำรังที่ทิศประจิมริมประตู
     ต้องขัดเขืองเรื่องราวด้วยคราวเคราะห์
     จวบจำเพาะสุริยาถึงราหู
     ทั้งบ้านทั้งวังวัดเป็นศัตรู
     แม้ขืนอยู่ยากเย็นจะเห็นใคร"

     พอถึงเดือนยี่ ปีฉลู พ.ศ. ๒๔๘๔  สุนทรภู่ก็เดินทางไปสุพรรณบุรี  คราวที่แต่งนิราศสุพรรณคำโคลงไว้ว่า  พระอภัยช่วยแจวเรือให้  คือพระจอมเกล้าฯ ช่วยออกเงินจ้างคนแจวเรือให้ ลูกศิษย์สุนทรภู่ช่วยอุปถัมภ์อยู่เสมอ  ว่าเป็นคราวเคราะห์เมื่อกลับจากสุพรรณ ก็มีผึ้งมาจับอยู่ที่รังริมประตูทางทิศประจิมซึ่งถือกันว่าไม่ดี ให้โทษ "ทั้่งบ้านทั้งวังวัดเป็นศัตรู" ก็คงจะเป็นเพราะท่านเป็นพระดังเกินไป มีคนในรั้วในวังไปมาหาสู่มาก  เมื่อท่านท่องเที่ยวไปเมืองสุพรรณตั้งปี ไปจำพรรษาอยู่สองพี่น้อง  นางข้าหลวงในวังก็เคยไปมาหาสู่ท่านมาอ่านกลอนท่านบ้าง  มาขอให้แต่งเพลงยาวบ้าง  คงจะมีคนอิจฉาหรือไม่ชอบเป็นธรรมดา ท่านจึงว่าท้ังวัดวังเป็นศัตรู  คราวนี้สุนทรภู่ก็ตั้งสัตยาธิษฐานทำท่าจะสึกอีก นี่คือต้นเรื่องของเพลงยาวรำพรรณพิลาป คือแต่งเพลงยาวรำพรรณความในใจไปถวายเจ้านายสาวแสนสวย เจ้าของวัดเทพธิดาผู้อุปถัมภ์อยู่ให้เห็นใจสงสารเป็นทำนองว่า จะขอลาจากวัดเทพธิดาแล้ว  "จะไว้อาลัยให้ละห้อยจงคอยฟัง จะร่ำสั่งสิ้นสุดอยุธยา"  จึงลงมือแต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาป เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๘๕ แต่งเสร็จแล้วก็ส่งไปถึงกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ว่าจะโปรดปรานประการใด  แต่แล้วก็คอยหาย พอถึงออกพรรษาแล้ว วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๓๘๕ จึงออกเดินทางไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ ในคราวที่แต่งนิราศพระปธมไว้   สุนทรภู่เดินทางออกจากวัดเทพธิดาเมื่อยังบวชอยู่  บอกไว้ในนิราศว่า" ขอเดชะพระมหาอานิสงส์  ซึ่งเราคงศักราชพระศาสนา"   ครั้นแล้วท่านก็เดินทางกลับวัดเทพธิดาอีกไม่ได้  
     สุนทรภู่ไม่ใช่ตัวคนเดียว  ยังมีลูกอีกสองคน คือนายพัด ก็บวชเณรอยู่  นายตาบก็มาอยู่ด้วย  มีเณรกลั่นมาฝากตัวเป็นศิษย์แล้วบวชเณรอยู่ด้วย ดูเหมือนจะชื่อชุบ ชื่อน้อยอีกสองคน รวมเป็นลูกศิษย์ห้าคน  จึงข้ามคลองวัดมหานาคไปอยู่วัดสระเกศ ซึ่งมีพระธรรมทานาจารย์(ภู่)  เป็นเจ้าอาวาส เป็นศิษย์สุนทรภู่ทางกวี เณรพัดเกิด พ.ศ.๒๓๖๑ อายุได้ ๒๔ ปี เณรกลั่นเกิด พ.ศ.๒๓๖๕ อายุได้ ๒๐ ปี  แต่ยังบวชเณรอยู่ เพราะถือศีลน้อย ขาดแล้วก็ต่อได้ สึกแล้วก็บวชได้  แต่สมัยนั้นไม่มีใครตำหนิใคร พระเตะตะกร้อ เล่นไก่ กัดปลา ก็มีอยู่ในนิราศสุพรรณของสุนทรภู่  คราวหนึ่งพระสังฆการีมาทูลพระนั่งเกล้า พระนั่งเกล้าฯ ยังตรัสว่า "เจ้ากูเมื่อยขบจะเตะตะกร้อมั่งก็ช่างเจ้ากูเถิด"
     
      
     เพลงยาวรำพรรณพิลาป
     เพลงยาวรำพรรณพิลาป แปลว่า "เพลงยาวรำพรรณคร่ำครวญความรักความอาลัยของกวีเอก"  ถึงจะเสแสร้งว่าเป็นความฝันก็ไม่จำเป็นต้องเป็นความฝันในเวลาหลับ  เป็นความฝันในเวลาตื่นอยู่นี่เอง แต่จะว่าตรงๆ ก็ไม่ได้


     "จะสั่งสาวชาวบางกอกข้างนอกใน
     ก็เกรงภัยให้ขยาดพระอาชญา
     จึงเอื้อมอ้างนางสวรรค์ตามฝันเห็น
     ให้อ่านเล่นเป็นเล่ห์เสน่หา
     ไม่รักใครในแผ่นดินถิ่นสุธา
     รักแค่เทพธิดาสุราไลย..."

   เทพธิดาองค์นี้ไม่ใช่เทพธิดาบนฟ้า แต่เป็นเทพธิดาในเมืองมนุษย์นี้เอง 

     "เห็นโฉมยงองค์เอกเมขลา 
     ชูจินดาดวงสว่างกลางสวรรค์
     รัศมีสีเปล่งดั่งเพ็งจันทร์
     พระรำพรรณกรุณาด้วยปรานี
     ว่านวลหงส์องค์นั้นอยู่ชั้นฟ้า
     ชื่อโฉมเทพธิดามิ่งมารศรี
     วิมานเรียงเคียงกันทุกวันนี้
     เหมือนหนึ่งพี่น้องชิดสนิทใจ" 

     นางฟ้าชื่อเมขลา ชูจินดาล่อแก้วนั้น  หมายถึง พระองค์เจ้าหญิงดวงประภา  ส่วนอีกองค์หนึ่ง ชื่อว่า โฉมเทพธิดา คือ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ   พระองค์เจ้าหญิงดวงประภานั้นเป็นพระราชธิดาของพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ว่า ชูจินดาดวงสว่าง คือเป็นเทพธิดาแม่สื่อ ที่ว่า "จะให้แก้วแล้วก็ว่าไปหาเถิด"  คือเป็นเทพธิดาแม่สื่อให้อีกองค์หนึ่ง  ท่านเมตตาปรานีมาก ให้ไปหาเถิด กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเป็นพระฺธิดาของพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  เจ้าของวัดเทพธิดา  ที่ว่า "วิมานเรียงเคียงกันทุกวันนี้  เหมือนหนึ่งพี่น้อบสนิทร่วมจิตใจ"  ก็กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ท่านเป็นพี่  พระองค์หญิงดวงประภาเป็นน้อง  เข้าใจว่าเจ้านายทั้งสองพระองค์นี้จะเคยมาบำเพ็ญกุศลที่วัดเทพธิดาบ่อยๆ     

     "ได้ครวญคร่ำร่ำเรื่องเป็นเบื้องสูง 
      พอพยุงยกย่องให้ผ่องใส
     ทั้งสาวแก่แม่ลูกอ่อนลาวมอญไทย
     เด็กผู้ใหญ่อย่าเฉลียวว่าเกี้ยวพาน
     พระภู่แต่งแกล้งกล่าวสาวสาวเอ๋ย
     นักเลงกลอนอนฝันเป็นสันดาน
     เคยเขียนอ่านอดใจมิใคร่ฟัง"

     "ไม่รักใครในแผ่นดินถิ่นสุธา
       รักแต่เทพธิดาสุราไลย"

     เพลงยาวรำพรรณพิลาป เป็นเพลงยาวฝากรัก

     "จะฝากดีฝีปากจะฝากรัก
      ด้วยจวนจักจากถิ่นถวิลหวัง
      ไว้อาลัยให้ละห้อยจงคอยฟัง
      จะร่ำสั่งสิ้นสุดอยุธยา"   

     สุนทรภู่ทนงในฝีปากของตนเอง ดังคำว่า จะแต่งเพลงยาวฝากรักฝากอาลัยไว้ให้หวนละห้อย  จงคอยฟังจะร่ำสั่งให้สิ้นอยุธยา 

     "โอ้ชาตินี้มีกรรมเหลือลำบาก
      เหมือนนกพรากจากรังไร้ฝั่งฝา
      โอ้กระดีที่จะจากฝากน้ำตา
      ไว้คอยลาเหล่านักเลงฟังเพลงยาว
      เคยเยี่ยมเยือนเพื่อนเก่าเมื่อเราอยู่
      มาหาสู่ดูแลทั้งแก่สาว
      ยืมหนังสือลือเลื่องถามเรื่องราว
     โอ้เป็นคราวเคราะห์แล้วต้องแคล้วกัน"

     กุฎิสุนทรภู่สมัยนั้นน่าจะเป็นที่ชุมนุมของคนสนใจในบทกลอน  ไปมาหาสู่สุนทรภู่อยู่เสมอ กุฎิสุนทรภู่คงเป็นที่ชุมนุมอ่านกลอนสุนทรภู่  เรื่องพระอภัยมณีบ้าง เรื่องลักษณวงศ์บ้าง เรื่องโคบุตรบ้าง บ้างก็มาไหว้วานให้แต่งสารเพลงยาวตอบ ท่านจึงบอกไว้ว่า "มาหาสู่ดูแลทั้งแก่สาว"  ความดังของท่านนี่แหละที่ทำให้สุนทรภู่ไม่มีความสงบสุข  เพราะมีคนไปมาหาสู่ และในขณะเดียวกันก็ย่อมมีคนอิจฉา ด้วยความเป็นกวีเอกของท่าน 

     "ฤดูร้อนก่อนเก่ากินข้าวแช่
      น่าชมแต่เครื่องกับสำรับฉัน
      ช่างทำเป็นช่อดอกจอกเป็นดอกจันทร์
      งามจนชั้นกระชายทำเป็นจำปา"

     เครื่องขบฉันที่บรรยายนี้เป็นฝีมือชาววังทั้งสิ้น  ไม่ใช่ฝืมือชาวบ้าน เป็นฝีมือชาววังนำมาถวาย

     มะม่วงดิบหยิบดูจึงรู้จัก
     ช่างน่ารักรูปสัตว์เหมือนมัจฉา

     ท่านพรรณนาต่อไปว่า 
     
     "ตรุษสงกรานต์ท่านแต่งเครื่องแป้งสด
      ระรื่นรสรางเป็นพิมเสนกระสาย
      น้ำกุหลาบอาบอุระแสนสบาย
      ถึงคราวร้ายหายหอมให้ตรอมทรวง"

     วันเข้าพรรษา

     "เข้าวัสสามาทั่วทุกตัวคน
      ถวายต้นไม้กระถางต่างต่างกัน
      ดูกิ่งไม้ใบแซมติดแต้มแต่ง
      ลูกดอกแผลงแกล้งประดิษฐ์ความคิดขยัน
      พุ่มสีผึ้งถึงดีลิ้นจี่จันทร์
      ต้นแก้วกรรณิกามีสารพัด" 

     ต้นไม้กระถางประดิษฐ์  คือต้นไม้ปลอมเป็นฝีมือของนางในรั้วในวังทั้งนั้น  ไม่ใช่ของชาวบ้านธรรมดา  

     "เหมือนใบศรีมีงานท่านสนอม
      เจิมแป้งหอมน้ำมันจันทร์ให้หรรษา
      พอเสร็จงานท่านเอาลงในคงคา
      ต้องลอยมาลอยไปเป็นใบตอง
      เหมือนตัวเราเล่าก็พลอยเลื่อนลอยดับ
      มิได้รับไทยทานดูงานฉลอง
      โอ้ทองหยิบลิบลอยทั้งฝอยทอง
      มิได้ครองไตรแพรเหมือนแต่เดิม"

      สุนทรภู่ตอนเฟื่องฟูนั้น ฉันทองหยิบฝอยทองเครื่องขบฉันบริบูรณ์จากนางข้าหลวงในวัง   แต่พอไปสุพรรณกลับมาก็ไม่ได้ฉันทองหยิบฝอยทอง ไตรแพรก็ไม่ได้ครองเหมือนเดิม เพราะทิ้งไว้ที่เมืองสุพรรณ  
     "ล้วนเรือใหญ่ใส่กระจาดย่ามบาตรพร้อม
      ของคุณหม่อมมารดาเจ้าภาษี
      ทั้งขุนนางต่างมาด้วยบารมี
      ปีพาทย์ตีเต้นรำทุกลำเรือ"

     คุณหม่อมมารดาเจ้าภาษี นี้คือ เจ้าจอมมารดาบาง เจ้าจอมมารดาบาง  พระชายาในรัชกาลที ๓  เป็นมารดาของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ท่านค่อนข้างจะร่ำรวยเพราะเป็นเจ้าภาษี  มาทำบุญที่วัดเทพธิดาซึ่งเป็นวัดที่ท่านอุปถัมภ์อยู่   มาทำบุญเดือนอ้ายงานทิ้งกระจาดหลวง และกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระธิดาของท่านก็ต้องเสด็จด้วย สุนทรภู่จึงได้เข้าเฝ้าเจ้านายพระองค์นี้ด้วย 

     เพลงยาวรำพรรณพิลาปนี้คือเพลงยาวที่ยาวที่สุดในบรรดาเพลงยาวสังวาสที่มีอยู่ในเมืองไทย สุนทรภู่ไม่ได้พรรณนาถึงนางฟ้าในเมือสวรรค์ทีไหนดอก  พรรณนาถึงนางฟ้าในเมืองมนุษย์นี่เอง  เพลงยาวรำพรรณพิลาปคือ เพลงยาวที่แสดงอารมณ์เพ้อฝันของสุนทรภู่ และเป็นหลักฐานเกี่ยวกับประวัติของสุนทรภู่อีกหลายอย่าง 
     

     
  (โปรดติดตามตอนต่อไป)


















วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอน ข้อเท็จจริงบางประการ


๑๐. ข้อเท็จจริงบางประการ

     เรื่องแรกคือ งานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่  บัดนี้เรามีหลักฐานค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า  ท่านแต่งเรื่องอะไร แต่งเมื่อไร แต่งที่ไหน แต่งให้ใคร ดังต่อไปนี้คือ
     ๑. นิทานเรื่องโคบุตร  เป็นนิทานชาดก แต่งเมื่ออยู่วัดอรุณราชวราราม  แต่งถวายพระองค์เจ้าปฐมวงศ์  ประมาณ พ.ศ. ๒๓๔๗ สุนทรภู่อายุ ๑๘ ปี
     ๒. นิราศเมืองแกลง  นิราศเรื่องแรก แต่งเมื่อเดินทางไปหาพ่อที่เมืองแกลง แต่งให้นางจันทร์ คนรักคนแรก  เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๓๕๐  อายุ ๒๑ ปี
     ๓. นิราศพระบาท นิราศเรื่องที่สอง  แต่งเมื่อเดินทางไปนมัสการพระพุทธบาท ที่เมืองสระบุรี โดยเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ เมื่อวันที่  ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๕๐ กลับถึงวัดอรุณฯ เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๕๐ แต่งให้นางจันทร์เมื่ออายุ ๒๑ ปี แต่งเมื่ออยู่วัดอรุณฯ 
     ๔. นิราศเมืองเพชร แต่งเมื่อเดินทางอาสาพระปิ่นเกล้าฯ ครั้งยังทรงพระยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ  กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เมื่อพ.ศ.๒๓๗๐ กล่าวถึงขุนแพ่งเพื่อนรักที่ไปตายในคราวศึกลาวเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ เมื่อพ.ศ. ๒๓๖๙ ว่าได้บังสกุลให้ ตอนนี้ท่านบวชเป็นพระแล้ว อายุได้ ๔๑ ปี อยู่วัดพระเชตุพนฯ
     ๕. นิราศภูเขาทอง  แต่งเมื่อเดินทางไปแสวงหาทรัพย์สมบัติตามลายแทง  เมื่อพ.ศ.๒๓๗๑ อายุได้ ๔๒ปี แต่งเมื่ออยู่วัดราชบูรณะ
     ๖. นิราศสุพรรณคำโคลง  แต่งเมื่อพ.ศ.๒๓๘๔ ไปแสวงหายาอายุวัฒนะตามลายแทงที่เมืองสุพรรณบุรี  บอกไว้ในรำพรรณพิลาปว่าไปสุพรรณเมื่อปลายปีฉลู  แต่งฝากฝีมือว่าสามารถแต่งโคลงได้ไพเราะด้วย  มีแบบแผนโคลงต่างๆ บอกไว้ด้วย  ตอนนี้อายุ ๕๕ ปี แต่งเมื่ออยู่วัดเทพธิดา  เรื่องนี้แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ กล่าวถึง "ดอกฟ้า"ไว้
     ๗. เพลงยาวรำพรรณพิลาป เป็นเพลงยาวสังวาส แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ(พระองค์เจ้าหญิงวิลาศ)  พระธิดาพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่งเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๘๕  อายุได้ ๕๕ ปี แต่งเมื่ออยู่วัดเทพธิดา
     ๘. เพลงยาวสวัสดิรักษา  แต่งถวายกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระเจ้าน้องยาเธอในพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  ซึ่งสุนทรภู่คาดว่าเป็น "พระหน่อบพิตรอิศรา"  มีสิทธิืจะได้ครองราชสมบัติต่อไป  จึงแต่งเพลงยาวถวาย หวังจะพึ่งบุญแล้วสุนทรภู่ก็ได้พึ่งบุญจริงๆ ได้รับแต่งตั้งเป็น  พระสุนทรโวหาร จางวางกรมพระอาลักษณ์ของพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวในภายหลัง  แต่งเมื่ออยู่วัดเทพธิดา  เพราะสำนวนกลอนขึ้นต้นคล้ายกับเพลงยาวรำพรรณพิลาป ตอนแต่งอายุได้ ๕๕ ปี แต่งเมื่ออยู่วัดเทพธิดา  
    ๙. เพลงยาวถวายโอวาท   แต่งถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์กับเจ้าฟ้ามหามาลา พระราชโอรสในพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  แต่งเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๗๒ แต่งเมื่ออยู่วัดราชบูรณะ อายุได้ ๔๓ ปี บอกไว้ว่า "ในวันนั้นวันอังคารพยานอยู่ ปีฉลูเอกศกแรมหกค่ำ"   คือปีที่เจ้าฟ้าสององค์ได้เข้ามาถวายตัวเป็นศิษย์ ก็คงแต่งประมาณปีนั้นเอง
     ๑๐. นิราศพระปธม แต่งเมื่อเดินทางไปมนัสการพระปฐมเจดีย์เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๘๕  หลังจากแต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ปลายปีก็เดินทางไปนครปฐม นิราศพระปธมแต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ บอกไว้ว่า "อนึ่งน้อมจอมนิกรอัปศรราช บำรุงศาสนสงฆ์ทรงสิกขา จงไพบูลย์พูนสวัสดิ์วัฒนา ชนมาหมื่นแสนอยาแค้นเคือง"   แต่งถวายเพื่อขออโสหิกรรมที่บังอาจแต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปไปเกี้ยวเจ้าหญิง   
     ๑๑. พระอภัยมณี  แต่งถวายเจ้าฟ้ามงกุฎ กับเจ้าฟ้าจุฑามณี เมื่อบวชอยู่วัดราชบูรณะ และแต่งถวายเจ้านายแสนสวยคือ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เมื่ออยู่วัดเทพธิดา ระหว่างพ.ศ.๒๓๗๑ ถึง พ.ศ. ๒๓๘๕ คือระหว่างเวลาที่อยู่วัดราชบูรณะกับวัดเทพธิดา 
     ๑๒. สิงหไตรภพ แต่งถวายพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  เมื่ออยู่วัดพระเชตุพนฯ ระหว่างพ.ศ. ๒๓๖๘ ถึง พ.ศ.๒๓๗๐  ตอนที่ทรงพระยศเป็นกรมขุนอิศเรศรังสรรคื  พระเจ้าน้องยาเธอ  ในรัชกาลที่ ภ เจ้านายพระองค์นี้โปรดทางการช่างและการเล่นต่างๆ  คือมีฤทธิ์เดชคล้ายๆ พระสิงหไตรภพ (ทรงเล่นมวยปล้ำ ตีกระบี่กระบอง  ขี่ม้าเทส ขี่ช้าง )


     ข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่ง คือเมืองต่างๆที่สุนทรภู่ไป ปรากฎหลักฐานในบทกวีของท่าน 
     ๑. เมืองแกลง  เมื่อพ.ศ.๒๓๕๐  ตามนิราศเมืองแกลง 
     ๒. เมืองสระบุรี เมื่อพ.ศ. ๒๓๕๐ฟ ตามนิราศพระบาท  แล้วไปอีกครั้งบอกไว้ในรำพรรณพิลาปว่าไปเขาม้าวิ่ง
     ๓. เมืองเพชรบุรี ไปเมื่อพ.ศ. ๒๓๕๒ จนถึงพ.ศ.๒๓๕๖ อาศัยอยู่กับหม่อมบุนนาค พระชายาในวังหลัง  สุนทรภู่มีมิตรสหายและลูกศิษย์ในเมืองเพชรบุรีมาก บอกว่า "ศิษย์หามากันอึง"  หม่อมบุนนาคก็เข้าใจว่าเป็นชาวเพชรบุรี  สุนทรภู่ไปเมืองเพชรบุรีมากกว่า ๒ คร้ัง แต่ไม่ได้แต่งนิราศไว้ หรือต้นฉบับสูญหายไปเสียคร้ังหลังเมื่อสุนทรภู่ไปเมืองเพชรบุรี ปีพ.ศ.๒๓๗๐  นิราศเมืองเพชรบอกว่า ขุนแพ่งเพื่อนกันตายในคราวศึกลาวเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทร์  ปี พ.ศ.๒๓๖๙  ท่านจึงได้บังสกุลให้  ตอนนี้ท่านบวชอยู่วัดพระเชตุพน ฯ   อาสากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ไปหาของดีที่เพชรบุรี  เมืองนี้มีพระอาจารย์อาคมขลังแต่โบราณ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ท่านทรงแสวงหาเครื่องเล่นของท่านหลายอย่าง  ทางช่าง ทางดนตรี แสวงหาของขลัง  
     ๔. เมืองสุพรรณบุรี  เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๕ คราวที่แต่งนิราศสุพรรณคำโคลง ว่าไปจำพรรษาที่วัดในอำเภอสองพี่น้อง  สุนทรภู่น่าจะไปสุพรรณบุรีหลายคร้ัง
     ๕. เมืองกาญจนบุรี  บอกไว่าว่าเคยไป "กาญจนบุรีที่เกรี่ยง ฟังแต่เสียงสีห์ชนีหนาว"  คราวหลังสุดไปพระแท่นดงรัง เมืองกาญจนบุรี  พร้อมเณรกลั่น เมื่อพ.ศ.๒๓๘๘  ตอนนี้ยังบวชอยู่วัดสระเกศ  มีหลักฐานยืนยันอยู่ในนิราศพระแท่นดงรัง 
      ๖.อยุธยา ไปภูเขาทอง  เมื่อปีพ.ศ.๒๓๗๑ แล้วก็ไปวัดเจ้าฟ้าพระกลาโหม คือวัดใหญ่ไชยมงคล เมื่อพ.ศ.๒๓๗๙ ที่เณรพัดแต่งนิราศวัดเจ้าฟ้าไว้  ตอนนี้ท่านบวชอยู่วัดราชบูรณะและวัดพระเชตุพน
     ๗. พิษณุโลก  บอกไว้ในรำพรรณพิลาปว่า  "พิษณุโลกลายแทงแสวงหา"  ท่านเป็นคนลุ่มหลงเล่นลายแทง เล่นแร่แปรธาตุ หายาอายุวัฒนะ  กินแล้วเป็นหนุ่มได้  แสวงหาของขลัง ตามประสาคนสมัยนั้นที่ลุ่มหลงทางนี้กัน  จึงอาสาไปหาของดีที่เมืองเพชรบุรีให้เจ้านาย   
    ๘. นครปฐม คราวที่ไปนมัสการพระปฐมเจดีย์เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๘๕  แล้วแต่งนิราศพระปธมถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ  ไว้เป็นเรื่องสุดท้ายนั่นแหละ  หลังจากนี้ก็ไม่แต่งนิราศอีกเลย  ไปพระแท่นดงรังเมื่อพ.ศ.๒๓๘๘ก็ไม่แต่งนิราศ เณรกลั่น ลูกศิษย์จึงแต่งแทนครู  เณรกลั่นนี้เป็นลูกนายจ่ายวด (แก้ว)  ซึ่งเป็นมหาดเล็กอยู่ในรัชกาลที่ ๓ แล้วไปตายเสียคราวศึกเจ้าอนุวงศ์ เมื่อพ.ศ.๒๓๖๙  เณรกลั่นจึงเป็นกำพร้าอยู่กับย่า  ซึ่งเป็นท่านผู้หญิงชื่อจำรัส ภรรยาพระยาสุรเสนา (ฉิม)  (บิดาเจ้าจอมน้อย สุหรานากง พระสนมในรัชกาลที่ ๓ ผู้สร้างวัดคอกหมู แล้วได้รับพระราชทานนามว่า  วัดอัปสรสวรค์  เณรกลั่นคนนี้ได้ทำหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับสุนทรภู่ไว้ว่า เมื่อพ.ศ.๒๓๘๘ สุนทรภู่ยังบวชอยู่วัดสระเกศ  เดินทางไปพระแท่นดงรังพร้อมกัน และว่าสุนทรภู่เป็นพระสุปฎิปันโน เมื่อไปพระแท่นดงรัง สุนทรภู่อายุ ๔๙ ปี  เณรกลั่นอายุ ๒๔ปี

     อีกเรื่องคือ วงศ์วานของสุนทรภู่เป็นชาวเมืองไหนกันแน่  จากนิราศเมืองแกลง เรารู้ว่าสุนทรภู่มีวงศ์ญาติอยู่ที่เมืองแกลง  ท่านบอกไว้ในคำกลอนว่า 
      "ก็เลยลาปิตุรงค์ทั้งวงศ์วาน ออกจากย่านบ้านกร่ำซ้ำวิโยค กำสรดโศกเศร้าหมองถึงสองหลาน เมื่อไข้หนักรักษาพยาบาล แต่นี้นานจะได้มาเห็นหน้ากัน"  แสดงว่าวงศ์ญาติของสุนทรภู่อยู่ที่เมืองแกลง  จนกระทั่งคุณเสวตร เปื่ยมพงศ์สานต์ ได้สร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ไว้ที่นั่น  

     เมื่อปี ๒๕๒๙ ปีครบรอบ ๒๐๐ ปีสุนทรภู่  คุณล้อม เพ็งแก้ว อาจารย์วิทยาลัยครูเพชรบุรี ได้พบนิราศเมืองเพชร สำนวนใหม่ว่า

    "มาลงเรือเมื่อจะล่องแรมสองค่ำ  ต้องไปล่ำลาพราหมณ์ตามวิสัย
ไปวอนว่าท่านยายคำให้นำไป  บ้านประตูไม้ไผ่แต่ไรมา  เป็นถิ่นฐานบ้านพราหมณ์รามราช  ล้วนโคตรญาติย่ายายฝ่ายวงศา   เทวสถานศาลสถิตย์อิศรา  เสาชิงช้ายังเห็นเป็นสำคัญ  ทั้งโบสถ์บ้านสถานที่ยังมีอยู่  แต่ท่านผู้ญาติกานั้นอาสัญ  เพราะกรุงแตกแยกย้ายพรัดพรายกัน  จนสิ้นพันธุ์พงศาเอกากาย  ที่เหล่ากอหลอเหลือในเนื้อญาติ  เป็นเชื้้อชาติชาวเพชรบุรียังมีหลาย  แต่สิ้นบุญปู่ย่าพวกตายาย  ญาติทั้งหลายมิได้รู้เรื่องบูราณ  แต่ตัวเราเข้าใจได้ไต่ถาม  จึงแจ้งความเทือกเถาถึงอวสาน   จะบอกเล่าเผ่า่พงศ์พวกวงศ์วาน  ก็เกรงท่านทั้งหลายจะอายครัน  จึงกรวดน้ำรำพึงไปถึงญาติ   ซึ่งสิ้นชาติชนมาม้วยอาสัญ  ขอกุศลผลส่งให้พงศ์พันธุ์   สู่สวรรค์นฤพานสำราญใจ ...."

     เมื่ออ่านดูทีแรกก็อยากจะเชื่อว่าเผ่าพงศ์สุนทรภู่เป็นชาวเพชรบุรีแล้วอพยพหนีพม่าไปอยู่ทางเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออก เหมือนชาวเพชรบุรีอพยพมาอยู่เมืองสมุทรสงครามเป็นจำนวนมาก  แต่เมื่ออ่านทบทวนไปมาก็กริ่งใจว่าจะยังไงอยู่  สุนทรภู่คุ้นเคยกับเมืองเพชรบุรี  ไปไหนก็มีคนรู้จัก  ลูกศิษย์ลูกหาก็มาก  คนรัก็มีตั้งหลายคนตามที่พรรณนาไว้ในนิราศ  แต่เหตุไฉนเล่าตอนจะลากลับ   จึงต้องไปไหว้วอนว่ายายคำให้พาไปหาพราหมณ์  บอกว่าญาติมีมาก แต่ญาติไม่รู้  "จะบอกเล่าเผ่าพงศ์พวกวงศ์วาน ก็เกรงท่านทั้งหลายจะอายครัน"   ทำไมจึงต้องกลัวญาติอายด้วย  ท่านก็เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง   เป็นกวีคนสำคัญเช่นนั้น   สุนทรภู่ไม่ใช่คนต่ำต้อยจนไม่กล้าลำดับญาติ ท่านทรนงตัว ท่านมีอหังการอยู่เต็มตัว  


      การเขียนประวัติสุนทรภู่ต้องว่ากันตามหลักฐานที่ชัดแจ้ง  ไม่ควรว่าตามคำเขาว่า   แม้คำเขาว่านั้นจะปรากฎอยู่ในนิราศเมืองเพชรที่พบใหม่  ควรจะพิสูจน์ว่าเป็นสำนวนกลอนสุนทรภู่แท้จริงหรือมีผู้แต่งต่อเติมขึ้นภายหลัง

     เรื่องกวีแต่งต่อเติมบทกวีของเก่าขึ้นใหม่นั้น  มีมาทุกยุคทุกสมัย ขอยกตัวอย่าง  เรื่องกาพย์สังข์ศิลปชัย ที่เรียกกันว่า สังข์ศิลปชัยกลอนสวด มีอยู่ถึง  ๕ ฉบับทึ่สำนวนแตกต่างกัน  บางฉบับมีผู้แต่งต่อเติมไว้ เป็นสำนวนใหม่ในกรุงเทพฯนี่เอง  ไม่ใช่สำนวนกรุงเก่า  (ตอนที่แต่งต่อเติมนี้ยืดยาว สำนวนดีเสียด้วย  เข้าใจว่าเป็นสำนวนของพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) เรื่องท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ที่ว่าเป็นสำนวนคร้ังกรุงสุโขทัยน้ัน  ที่จริงคือสำนวนของพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  หรือภาษิตพระร่วงที่นับถือกันว่าพระร่วงเจ้าครั้งกรุงสุโขทัยแต่งนั้น  ที่จริงคือพระนิพนธ์ของพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  เรื่องขุนช้างขุนแผนก็มีหลายสำนวน สำนวนครูแจ้งนักเลงเพลงเสภานั้นรสชาดถึงพริกถึงขิงนัก  จนกรมสมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพทรงตัดออกเสียหมด เอาสำนวนคนอื่นมาใส่แทน  คำกลอนสุนทรภู่เรื่องลักษณ์วงศ์  สุนทรภู่แต่งไว้ ๙ เล่มสมุดไทย แต่มีกวีอื่นแต่งเติมอีกยืดยาวถึง  ๓๐ สมุดเล่มไทย     
   
      ข้อสะดุดใจที่แรงที่สุดคือ  สุนทรภู่ไปเมืองเพชรบุรีปีพ.ศ. ๒๓๗๐ นั้น ท่านบวชเป็นพระอยู่ ถึงแก่สวดบังสกุลให้ขุนแพ่งเพื่อนรัก  แต่เหตุไฉนจึงเที่ยวไปลาพราหมณ์เมืองเพชรเล่า   สุนทรภู่ไม่รู้หรือว่า พระสงฆ์เป็นอุดมเพศ ส่วนพราหมณ์เป็นหินเพศ  พระมีศีล  พราหมณ์ไม่มีศีล  สุนทรภู่จะเที่ยวลาพราหมณ์เชียวหรือ   พราหมณ์ชั้่นพระราชครูพราหมณ์ในราชสำนัก สุนทรภู่ก็มิได้อ่อนน้อม  อย่าว่าแต่พราหมณ์เลย กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระเจ้าลูกเธอแท้ๆ  สุนทรภู่ยังไม่อ่อนน้อมจนเกิดเรื่องต้องหนีราชภัย คนที่เที่ยวลาพราหมณ์ ต้องไหว้วานยายคำไปร่ำลาพราหมณ์นั้น  คงไม่ใช่สุนทรภู่  คงเป็นกวีชาวเมืองเพชรเสียมากกว่า   คงเป็นกวีรุ่นหลังสุนทรภู่ในสมัยรัชกาลที่่ ๔

     นิราศเมืองเพชรสำนวนนี้ จึงเข้าใจว่าเป็นสำนวนกลอนของนักกวีเมืองเพชรแต่งต่อเติมไว้แทรกเข้าไว้เป็นสำนวนใหม่  เพราะสมัยน้ันไม่ถือกัน  นักกวีชอบแต่งต่อเติมบทกวีเก่ามาตลอดตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว  กวีคนนี้เป็นชาวเมืองเพชรบุรี มีญาติอยู่ในเมืองเพชรบุรีมาก   แต่จากบ้านไปนานแล้ว  และตัวเองก็ไม่ได้โด่งดังอะไร คงเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย  แต่มีความชำนาญทางบทกลอนอยู่ จึงแต่งต่อเติมให้เป็นสำนวนของตนเอง  จะบอกเล่าชาวเมืองเพชรว่าเป็นญาติก็ยังอาย   กลัวญาติจะอาย เพราะคนเมืองเพชรเป็นคนถือศักดิ์ศรีอยู่  กวีคนนี้คงไม่ได้บวชอยู่  จึงเที่ยวไปลาพราหมณ์ จะไปเองก็ไม่กล้า  ต้องไหว้วานให้ยายคำนำไป  จึงขอตั้งเป็นข้อสันนิษฐานไว้ 


    
(โปรดติดตามตอนต่อไป)