วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอน โลกนิติคำกลอน


โลกนิติคำกลอน

     เรื่องสำคัญที่นักศึกษาวรรณคดีของสุนทรภู่ยังไม่เคยมีใครค้นคว้าถึงก็คือ  สุนทรภู่ได้แต่งสุภาษิตไว้เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมาก  คือเรื่องโลกนิติคำกลอน  สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ทรงศึกษาค้นคว้างานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่ไว้เมื่อพ.ศ.๒๔๖๕ ก็มิได้ทรงกล่าวถึงเลย  เป็นเวลา ๖๕ ปีมาแล้ว  
     แต่สุภาษิตโลกนิติคำกลอนนี้ได้เคยเผยแพร่มาแล้วหลายคร้ัง  ข้าพเจ้าเองก็เคยนำไปพิมพ์แจกในงานศพบิดา เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ โดยขออนุญาตจากกรมศิลปากร  เจ้าของต้นฉบับ แต่กรมศิลปากรเรียกสุภาษิตเรื่องนี้ว่า"สุภาษิตสอนเด็ก"  เข้าใจว่าคงจะตั้งชื่อเองจากคำขึ้นต้นของสุภาษิตเรื่องนี้ว่า 

     "มานี่แนะเจ้าหนูดูสารสอน         จงจำไว้ไปข้างหน้าจะถาวร
       เป็นอาภรณ์เครื่องประดับสำหรับกาย"

     คำขึ้นต้นนี้ทำทีว่าจะสอนเด็ก  แล้วไม่มีผู้ใดได้ศึกษาค้นคว้าว่าสุภาษิตนี้มีที่มาจากไหน ใครเป็นคนแต่ง แต่งเมื่อใด ดูเหมือนว่าจะไม่มีคนกล่าวถึงมากนัก
     ข้าพเจ้าได้อ่านดูเห็นว่าเป็นสุภาษิตที่ไพเราะมากเรื่องหนึ่ง  ถ้อยคำสำนวนใกล้เคียงกับของสุนทรภู่มาก  น่าสงสัยว่าจะเป็นคำกลอนของสุนทรภู่  และโดยที่ข้าพเจ้าเคยสนใจสุภาษิตโลกนิติคำโคลงของสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร  จึงนำเนื้อหาสุภาษิตมาเทียบเคียงกันดู   ก็ปรากฎว่าสุภาษิตเรื่องนี้มีสาระสุภาษิต ตรงกับสุภาษิตโลกนิติคำกลอนโดยตลอดต้ังแต่ต้นจนปลายทีเดียว

      ยิ่งกว่าน้ันท่านผู้นิพนธ์สุภาษิตนี้ยังบอกไว้ชัดเจนว่า 
     
     "แสดงความตามบาลีโลกนิติ์     สุภาษิตของเก่าเก็บมาใส่
     เด็กใดดีปรีชาปัญญาไว              ก็หยิบใช้แต่ที่ชอบประกอบการ"

     เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงขออนุญาตเรียกสุภาษิตเรื่องนี้ใหม่ตามที่่านผู้นิพนธ์บอกไว้ว่า  "สุภาษิตโลกนิติคำกลอน"  เป็นของคู่กับ "สุภาษิตโลกนิติคำโคลงของเก่า"   ซึ่งเป็นบทกวีโบราณ ตกทอดมาถึงรัชกาลที่ ๓ ซึ่งรัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระยาเดชาดิศรทรงชำระเสียใหม่  สุภาษิตโลกนิติคำโคลงจึงมีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓
     อันที่จริงสุภาษิตโลกนิติคำโคลงนี้มีมาแต่โบราณแล้วสำนวนหนึ่ง แต่วิปลาสคลาดเคลื่อนในถ้อยคำสำนวน รัชกาลที่ ๓ จึงทรงโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระยาเดชาดิศรทรงชำระขึ้นใหม่     แต่ต่อมามีผู้พบฉบับภาษาบาลี  เอามาเทียบเคียงได้เกือบหมดทุกโคลง เมื่อกรมศิลปากรพิมพ์จึงนำคำบาลีมาพิมพ์เทียบเคียงไว้ด้วย 

     ต่อมาศาสตราจารย์แสง มนวิทูร ได้ศึกษาค้นพบว่า โลกนิติคำโคลงของเก่าและของกรมพระยาเดชาดิศรน้ัน มีที่มาจากโลกนิติปกรณ์  แต่งไว้เป็นคำฉันท์ในภาษาบาลี ท่านจึงนำมาแปลถอดความเป็นร้อยแก้วภาษาไทย มีอยู่ ๑๕๘ บท  เรื่องโลกนิติปกรณ์นี้ ได้พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพศาสตราจารย์แสง มนวิทูร เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๑๗ 
     และเมื่อได้อ่านแนวคำสอนในสุภาษิตนี้  ก็ต้องยอมรับว่าเป็นแนวคำสอนในพระพุทธศาสนานี่เอง  จะมีเพิ่มเติมบ้างเล็กน้อย ก็อยู่ในแนวหลักธรรมพระพุทธศาสนาตลอด 

     เมื่อนำ "สุภาษิตสอนเด็ก" เรื่องนี้มาเทียบเคียงเข้าแล้ว มันก็คือ"โลกนิติคำกลอน"ดีๆนี่เอง  ตามที่ท่านผู้นิพนธ์บอกไว้ว่า 

      "แสดงความตามบาลีโลกนิติ์          สุภาษิตของเก่าเก็บมาใส่"

     ท่านจะเอามาจากโลกนิติ์ปกรณ์ในภาษาบาลีโดยตรง  หรือว่าเอามาจาก"โลกนิติคำโคลงของเก่า"ก็ตาม ก็มีที่มาจากแหล่งเดียวกันกับ"โลกนิติคำโคลงของสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร" นั่นเอง    
     หมายความว่าถ้ากรมพระยาเดชาดิศร  ท่านเอามาจาก"โลกนิติคำโคลงของเก่า" แล้ว  "สุภาษิตโลกนิติคำกลอน" นี้ ก็มาจาก"สุภาษิตโลกนิติคำโคลงของเก่า"เหมือนกัน  หรือถ้าสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศรท่านเอาจากโลกนิติปกรณ์ภาษาบาลี   "สุภาษิตโลกนิติคำกลอน" นี้ก็มาจากโลกนิติปกรณ์ภาษาบาลีด้วยเช่นกัน  และน่าจะแต่งในสมัยรัชกาลที่ ๓ เพราะตามธรรมดานักกวีสมัยเดียวกัน  มักมีสิ่งแวดล้อมมาดลใจให้แต่งบทกวีในแนวเดียวกัน 
     กวีท่านหนึ่งจึงแต่ง โลกนิติคำโคลง กวีอีกท่านแต่ง โลกนิติคำกลอน ตามความถนัดของกวีท่านน้ัน  ถ้าไม่สังเกตุก็เกือบจะดูไม่ออกว่ามาจากแหล่งเดียวกัน คือ "โลกนิติปกรณ์ " ในภาษาบาลี

ตัวอย่างเรื่องการคบมิตร

โลกนิติคำโคลงของกรมพระยาเดชาดิศร ว่า

"ปลาร้าพันห่อด้วย     ใบคา
 ใบก็เหม็นคาวปลา     คละคลุ้ง
 คือคนหมู่ไปหา          พาลนา
 ได้แต่รายร้ายฟุ้ง       เฟื่องให้เสียพันธ์ุ"

โลกนิตคำกลอน ท่านแต่งว่า

"อันคนชั่วเช่นกะปิกับปลาร้า
  เอาใบคาเข้าห่อพอประเดี๋ยว
  คาก็เหม็นเช่นกันเช่นนั้นเจียว
  เหมือนผู้เที่ยวแปดปนด้วยคนพาล" 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องหาตัวกวีผู้แต่งว่าเป็นใครกันแน่  และต้องวินิฉัยเป็นเรื่องๆไป 

     ๑.ลักษณะคำกลอน
     ลักษณะคำกลอนนี้เป็นลักษณะคำกลอนของสุนทรภู่แท้ มีลักษณะเป็นกลอนแปดแท้ มีสัมผัสในด้วย  ซึ่งผิดกับนิราศท่าดินแดงของพระพุทธยอดฟ้าฯ และผิดกับคำกลอนเรื่องสังข์ทองของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งไม่เคร่งครัดในเรื่องแปดคำ และสัมผัสใน

     ๒. ความไพเราะ
     ความไพเราของโลกนิติคำกลอนนี้มีความไพเราะ ไม่มีที่ตำหนิเลย 
ตัวอย่างเช่น

     "อันรักกันอยู่ไกลถึงขอบฟ้า
      เหมือนชายคาเข้ามาเบียดดูเสียดสี
      อันชังกันนั้นอยู่ใกล้สักองคุลี
     ก็เหมือนมีแนวป่าเข้ามาบัง"  

     ๓. เปรียบเทียบเพลงยาวถวายโอวาท
     สุภาษิตโลกนิติคำกลอนนี้มีสำนวนคล้ายกับเพลงยาวถวายโอวาทของสุนทรภู่ ที่แต่งถวายเจ้าฟ้ามหามาลา  ดังจะยกมาให้เห็นคือ

     " อนึ่งบรรดาข้าไทยที่ใจซื่อ
      จงนับถือถ่อมศักดิ์สมัครสมาน
      อนึ่งคนมนตร์ขลังช่างชำนาญ
      แม้นพบพานผูกไว้เป็นไมตรี
     เขาจึงชอบปลอบให้น้ำใจชื่น
     จึงเริงรื่นรักแรงไม่แหนงหนี
     ปรารถนาสารพัดในปฐพี
     เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง"

     สุภาษิตโลกนิติคำกลอน

     "อนึ่งเป็นนายก็เอาใจไพร่มันมั่ง
     อย่าตึงตังไปทีเดียวเฝ้าเคี่ยวเข็ญ
     ถึงตกทุกข์ที่ลำบากได้ยากเย็น
     จะตายเป็นมันไม่ทิ้งจริงจริงเจียว
     อนึ่งบ่าวไพร่ไม่ดีจะตีด่า
     อย่าโกรธาหันหุนให้ฉุนเฉียว
     ประหยัดหย่อนผ่อนใช้แต่ไม้เรียว
     อุตส่าห์เหนี่ยวหน่วงจิตคิดเมตตา"

     จะเห็นได้ว่าแนวคิดถ้อยคำสำนวนเป็นอย่างเดียวกัน

     ๔. เปรียบเทียบสำนวนกลอนเพลงยาวสวัสดิรักษาของสุนทรภู่
     เพลงยาวสวัสดิรักษาที่สุนทรภู่แต่งถวายเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์นั้น ท่านใช้คำว่า "อนึ่ง"  ขึ้นต้นคำกลอนใหม่โดยตลอด  โลกนิติคำกลอนก็ใช้คำขึ้นต้นคำกลอนว่า "อนึ่ง" เช่นกัน  ยังไม่เคยเห็นกวีคนใดใช้คำขึ้นต้นกลอนว่า "อนึ่ง" เหมือนท่านสุนทรภู่เลย

     เพลงยาวสวัสดิรักษา

     "อนึ่งนั่งบังคมอย่ายลต่ำ        อย่าบ้วนน้ำลายพาเสียราศี"
     "อนึ่งทรงพระเจริญเพลินถนอม  อย่าให้หม่อมห้ามหลับทับหัตถา"
     "อนึ่งวันชำระสระพระเกล้า     อังคารเสาร์สิ้นวิบัติปัดโถม"

     โลกนิติคำกลอน

     " อนึ่งผู้ใดใคร่ซื่อให้ซื่อต่อ  เขาขัดคอแล้วจงให้เหมือนใจหมาย"
     "อนึ่งผู้ใดใคร่รักเร่งรักบ้าง    อย่าทำเมินเหินห่างหันหน้าหนี"
     "อนึ่งทรัพย์มีสี่ส่วนให้ควรแบ่ง สองส่วนแบ่งใช้จ่ายตามประสงค์"

      ๕. คำขึ้นต้นคำกลอน  สุนทรภู่ขึ้นต้นคำกลอนไว้อย่างสง่า  ภาคภูมิสมเป็นนักกวีชั้นครู  ไม่มีคำไหว้ครู ไม่มีคำออกตัว ไม่มีคำถ่อมตัว 

      เพลงยาวสวัสดิรักษา

    "สุนทรทำคำสวัสดิรักษา
     ถวายหน่อบพิตรอิศรา
     ตามพระบาลีเฉลิมให้เพิ่มพูน"

     สุภาษิตโลกนิติคำกลอน

     "มานี่แนะเจ้าหนูดูสารสอน
     จดจำไว้ไปข้างหน้าจะถาวร
      เป็นอาภรณ์เครื่องประดับสำหรับกาย"

     ๖. คำลงท้าย   คำลงท้ายคำกลอนทุกเรื่อง สุนทรภู่ลงท้ายอย่างไว้เชิงครูกวี  ลงท้ายแบบสง่า ไม่มีวกวน ไม่มีอ้อยอิ่ง คำลงท้ายสุภาษิตโลกนิติคำกลอนก็เช่นเดียวกัน

     "อีกอย่างหนึ่งอย่าว่าดีอย่ามีชั่ว
      อย่าขลาดกลัวอย่ากล้าเหมือนว่าเล่น
     ย่อมใช้ได้ทุกตำรายาเช้าเย็น
     จำไว้เป็นอย่างยิ่งอย่าทิ้งเอย ฯ"

     ทั้ง ๖ ข้อที่นำเสนอนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า สุภาษิตโลกนิติคำกลอนนี้เป็นบทกวีนิพนธ์ของท่านสุนทรภู่แน่นอนไม่มีที่สงสัย 
     เวลาที่แต่งนั้นก็แต่งในรัชกาลที่ ๓ ยุคเดียวสมัยเดียวกับที่กรมพระยาเดชาดิศร ท่านทรงนิพนธ์สุภาษิตโลกนิตคำโคลงนั่นเอง 

     ข้าพเจ้าจึงขอเสนอ  สุภาษิตโลกนิติคำกลอน เป็นบทกวีของท่านสุนทรภู่อีกเรื่องหนึ่ง  ขอให้ท่านที่สนใจคำกลอนสุนทรภู่จงอ่านพิจารณาทบทวนดูแล้วจะเห็นว่า  ไม่มีกวีอื่นจะแต่งคำกลอนสุภาษิตโลกนิติคำกลอนได้ไพเราะเช่นนี้เลย ข้าพเจ้าจึงขอประกาศลิขสิทธิ์แทนท่านสุนทรภู่ตั้งแต่บัดนี้ว่า

     "สุภาษิตโลกนิติคำกลอน  เป็นบทกวีนิพนธ์ของท่านสุนทรภู่แต่งในสมัยรัชกาลที่ ๓  เมื่อบวชจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ระหว่างปีพ.ศ. ๒๓๘๖ -พ.ศ. ๒๓๙๓ 
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

     
     

     















     

      

  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น