๑๐. ข้อเท็จจริงบางประการ
เรื่องแรกคือ งานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่ บัดนี้เรามีหลักฐานค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า ท่านแต่งเรื่องอะไร แต่งเมื่อไร แต่งที่ไหน แต่งให้ใคร ดังต่อไปนี้คือ
๑. นิทานเรื่องโคบุตร เป็นนิทานชาดก แต่งเมื่ออยู่วัดอรุณราชวราราม แต่งถวายพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ ประมาณ พ.ศ. ๒๓๔๗ สุนทรภู่อายุ ๑๘ ปี
๒. นิราศเมืองแกลง นิราศเรื่องแรก แต่งเมื่อเดินทางไปหาพ่อที่เมืองแกลง แต่งให้นางจันทร์ คนรักคนแรก เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๓๕๐ อายุ ๒๑ ปี
๓. นิราศพระบาท นิราศเรื่องที่สอง แต่งเมื่อเดินทางไปนมัสการพระพุทธบาท ที่เมืองสระบุรี โดยเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๕๐ กลับถึงวัดอรุณฯ เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๕๐ แต่งให้นางจันทร์เมื่ออายุ ๒๑ ปี แต่งเมื่ออยู่วัดอรุณฯ
๔. นิราศเมืองเพชร แต่งเมื่อเดินทางอาสาพระปิ่นเกล้าฯ ครั้งยังทรงพระยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เมื่อพ.ศ.๒๓๗๐ กล่าวถึงขุนแพ่งเพื่อนรักที่ไปตายในคราวศึกลาวเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ เมื่อพ.ศ. ๒๓๖๙ ว่าได้บังสกุลให้ ตอนนี้ท่านบวชเป็นพระแล้ว อายุได้ ๔๑ ปี อยู่วัดพระเชตุพนฯ
๕. นิราศภูเขาทอง แต่งเมื่อเดินทางไปแสวงหาทรัพย์สมบัติตามลายแทง เมื่อพ.ศ.๒๓๗๑ อายุได้ ๔๒ปี แต่งเมื่ออยู่วัดราชบูรณะ
๖. นิราศสุพรรณคำโคลง แต่งเมื่อพ.ศ.๒๓๘๔ ไปแสวงหายาอายุวัฒนะตามลายแทงที่เมืองสุพรรณบุรี บอกไว้ในรำพรรณพิลาปว่าไปสุพรรณเมื่อปลายปีฉลู แต่งฝากฝีมือว่าสามารถแต่งโคลงได้ไพเราะด้วย มีแบบแผนโคลงต่างๆ บอกไว้ด้วย ตอนนี้อายุ ๕๕ ปี แต่งเมื่ออยู่วัดเทพธิดา เรื่องนี้แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ กล่าวถึง "ดอกฟ้า"ไว้
๗. เพลงยาวรำพรรณพิลาป เป็นเพลงยาวสังวาส แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ(พระองค์เจ้าหญิงวิลาศ) พระธิดาพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่งเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๘๕ อายุได้ ๕๕ ปี แต่งเมื่ออยู่วัดเทพธิดา
๘. เพลงยาวสวัสดิรักษา แต่งถวายกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระเจ้าน้องยาเธอในพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งสุนทรภู่คาดว่าเป็น "พระหน่อบพิตรอิศรา" มีสิทธิืจะได้ครองราชสมบัติต่อไป จึงแต่งเพลงยาวถวาย หวังจะพึ่งบุญแล้วสุนทรภู่ก็ได้พึ่งบุญจริงๆ ได้รับแต่งตั้งเป็น พระสุนทรโวหาร จางวางกรมพระอาลักษณ์ของพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวในภายหลัง แต่งเมื่ออยู่วัดเทพธิดา เพราะสำนวนกลอนขึ้นต้นคล้ายกับเพลงยาวรำพรรณพิลาป ตอนแต่งอายุได้ ๕๕ ปี แต่งเมื่ออยู่วัดเทพธิดา
๙. เพลงยาวถวายโอวาท แต่งถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์กับเจ้าฟ้ามหามาลา พระราชโอรสในพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่งเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๗๒ แต่งเมื่ออยู่วัดราชบูรณะ อายุได้ ๔๓ ปี บอกไว้ว่า "ในวันนั้นวันอังคารพยานอยู่ ปีฉลูเอกศกแรมหกค่ำ" คือปีที่เจ้าฟ้าสององค์ได้เข้ามาถวายตัวเป็นศิษย์ ก็คงแต่งประมาณปีนั้นเอง
๑๐. นิราศพระปธม แต่งเมื่อเดินทางไปมนัสการพระปฐมเจดีย์เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๘๕ หลังจากแต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ปลายปีก็เดินทางไปนครปฐม นิราศพระปธมแต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ บอกไว้ว่า "อนึ่งน้อมจอมนิกรอัปศรราช บำรุงศาสนสงฆ์ทรงสิกขา จงไพบูลย์พูนสวัสดิ์วัฒนา ชนมาหมื่นแสนอยาแค้นเคือง" แต่งถวายเพื่อขออโสหิกรรมที่บังอาจแต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปไปเกี้ยวเจ้าหญิง
๑๑. พระอภัยมณี แต่งถวายเจ้าฟ้ามงกุฎ กับเจ้าฟ้าจุฑามณี เมื่อบวชอยู่วัดราชบูรณะ และแต่งถวายเจ้านายแสนสวยคือ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เมื่ออยู่วัดเทพธิดา ระหว่างพ.ศ.๒๓๗๑ ถึง พ.ศ. ๒๓๘๕ คือระหว่างเวลาที่อยู่วัดราชบูรณะกับวัดเทพธิดา
๑๒. สิงหไตรภพ แต่งถวายพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่ออยู่วัดพระเชตุพนฯ ระหว่างพ.ศ. ๒๓๖๘ ถึง พ.ศ.๒๓๗๐ ตอนที่ทรงพระยศเป็นกรมขุนอิศเรศรังสรรคื พระเจ้าน้องยาเธอ ในรัชกาลที่ ภ เจ้านายพระองค์นี้โปรดทางการช่างและการเล่นต่างๆ คือมีฤทธิ์เดชคล้ายๆ พระสิงหไตรภพ (ทรงเล่นมวยปล้ำ ตีกระบี่กระบอง ขี่ม้าเทส ขี่ช้าง )
ข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่ง คือเมืองต่างๆที่สุนทรภู่ไป ปรากฎหลักฐานในบทกวีของท่าน
๑. เมืองแกลง เมื่อพ.ศ.๒๓๕๐ ตามนิราศเมืองแกลง
๒. เมืองสระบุรี เมื่อพ.ศ. ๒๓๕๐ฟ ตามนิราศพระบาท แล้วไปอีกครั้งบอกไว้ในรำพรรณพิลาปว่าไปเขาม้าวิ่ง
๓. เมืองเพชรบุรี ไปเมื่อพ.ศ. ๒๓๕๒ จนถึงพ.ศ.๒๓๕๖ อาศัยอยู่กับหม่อมบุนนาค พระชายาในวังหลัง สุนทรภู่มีมิตรสหายและลูกศิษย์ในเมืองเพชรบุรีมาก บอกว่า "ศิษย์หามากันอึง" หม่อมบุนนาคก็เข้าใจว่าเป็นชาวเพชรบุรี สุนทรภู่ไปเมืองเพชรบุรีมากกว่า ๒ คร้ัง แต่ไม่ได้แต่งนิราศไว้ หรือต้นฉบับสูญหายไปเสียคร้ังหลังเมื่อสุนทรภู่ไปเมืองเพชรบุรี ปีพ.ศ.๒๓๗๐ นิราศเมืองเพชรบอกว่า ขุนแพ่งเพื่อนกันตายในคราวศึกลาวเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทร์ ปี พ.ศ.๒๓๖๙ ท่านจึงได้บังสกุลให้ ตอนนี้ท่านบวชอยู่วัดพระเชตุพน ฯ อาสากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ไปหาของดีที่เพชรบุรี เมืองนี้มีพระอาจารย์อาคมขลังแต่โบราณ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ท่านทรงแสวงหาเครื่องเล่นของท่านหลายอย่าง ทางช่าง ทางดนตรี แสวงหาของขลัง
๔. เมืองสุพรรณบุรี เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๕ คราวที่แต่งนิราศสุพรรณคำโคลง ว่าไปจำพรรษาที่วัดในอำเภอสองพี่น้อง สุนทรภู่น่าจะไปสุพรรณบุรีหลายคร้ัง
๕. เมืองกาญจนบุรี บอกไว่าว่าเคยไป "กาญจนบุรีที่เกรี่ยง ฟังแต่เสียงสีห์ชนีหนาว" คราวหลังสุดไปพระแท่นดงรัง เมืองกาญจนบุรี พร้อมเณรกลั่น เมื่อพ.ศ.๒๓๘๘ ตอนนี้ยังบวชอยู่วัดสระเกศ มีหลักฐานยืนยันอยู่ในนิราศพระแท่นดงรัง
๖.อยุธยา ไปภูเขาทอง เมื่อปีพ.ศ.๒๓๗๑ แล้วก็ไปวัดเจ้าฟ้าพระกลาโหม คือวัดใหญ่ไชยมงคล เมื่อพ.ศ.๒๓๗๙ ที่เณรพัดแต่งนิราศวัดเจ้าฟ้าไว้ ตอนนี้ท่านบวชอยู่วัดราชบูรณะและวัดพระเชตุพน
๗. พิษณุโลก บอกไว้ในรำพรรณพิลาปว่า "พิษณุโลกลายแทงแสวงหา" ท่านเป็นคนลุ่มหลงเล่นลายแทง เล่นแร่แปรธาตุ หายาอายุวัฒนะ กินแล้วเป็นหนุ่มได้ แสวงหาของขลัง ตามประสาคนสมัยนั้นที่ลุ่มหลงทางนี้กัน จึงอาสาไปหาของดีที่เมืองเพชรบุรีให้เจ้านาย
๘. นครปฐม คราวที่ไปนมัสการพระปฐมเจดีย์เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๘๕ แล้วแต่งนิราศพระปธมถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ไว้เป็นเรื่องสุดท้ายนั่นแหละ หลังจากนี้ก็ไม่แต่งนิราศอีกเลย ไปพระแท่นดงรังเมื่อพ.ศ.๒๓๘๘ก็ไม่แต่งนิราศ เณรกลั่น ลูกศิษย์จึงแต่งแทนครู เณรกลั่นนี้เป็นลูกนายจ่ายวด (แก้ว) ซึ่งเป็นมหาดเล็กอยู่ในรัชกาลที่ ๓ แล้วไปตายเสียคราวศึกเจ้าอนุวงศ์ เมื่อพ.ศ.๒๓๖๙ เณรกลั่นจึงเป็นกำพร้าอยู่กับย่า ซึ่งเป็นท่านผู้หญิงชื่อจำรัส ภรรยาพระยาสุรเสนา (ฉิม) (บิดาเจ้าจอมน้อย สุหรานากง พระสนมในรัชกาลที่ ๓ ผู้สร้างวัดคอกหมู แล้วได้รับพระราชทานนามว่า วัดอัปสรสวรค์ เณรกลั่นคนนี้ได้ทำหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับสุนทรภู่ไว้ว่า เมื่อพ.ศ.๒๓๘๘ สุนทรภู่ยังบวชอยู่วัดสระเกศ เดินทางไปพระแท่นดงรังพร้อมกัน และว่าสุนทรภู่เป็นพระสุปฎิปันโน เมื่อไปพระแท่นดงรัง สุนทรภู่อายุ ๔๙ ปี เณรกลั่นอายุ ๒๔ปี
อีกเรื่องคือ วงศ์วานของสุนทรภู่เป็นชาวเมืองไหนกันแน่ จากนิราศเมืองแกลง เรารู้ว่าสุนทรภู่มีวงศ์ญาติอยู่ที่เมืองแกลง ท่านบอกไว้ในคำกลอนว่า
"ก็เลยลาปิตุรงค์ทั้งวงศ์วาน ออกจากย่านบ้านกร่ำซ้ำวิโยค กำสรดโศกเศร้าหมองถึงสองหลาน เมื่อไข้หนักรักษาพยาบาล แต่นี้นานจะได้มาเห็นหน้ากัน" แสดงว่าวงศ์ญาติของสุนทรภู่อยู่ที่เมืองแกลง จนกระทั่งคุณเสวตร เปื่ยมพงศ์สานต์ ได้สร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ไว้ที่นั่น
เมื่อปี ๒๕๒๙ ปีครบรอบ ๒๐๐ ปีสุนทรภู่ คุณล้อม เพ็งแก้ว อาจารย์วิทยาลัยครูเพชรบุรี ได้พบนิราศเมืองเพชร สำนวนใหม่ว่า
"มาลงเรือเมื่อจะล่องแรมสองค่ำ ต้องไปล่ำลาพราหมณ์ตามวิสัย
ไปวอนว่าท่านยายคำให้นำไป บ้านประตูไม้ไผ่แต่ไรมา เป็นถิ่นฐานบ้านพราหมณ์รามราช ล้วนโคตรญาติย่ายายฝ่ายวงศา เทวสถานศาลสถิตย์อิศรา เสาชิงช้ายังเห็นเป็นสำคัญ ทั้งโบสถ์บ้านสถานที่ยังมีอยู่ แต่ท่านผู้ญาติกานั้นอาสัญ เพราะกรุงแตกแยกย้ายพรัดพรายกัน จนสิ้นพันธุ์พงศาเอกากาย ที่เหล่ากอหลอเหลือในเนื้อญาติ เป็นเชื้้อชาติชาวเพชรบุรียังมีหลาย แต่สิ้นบุญปู่ย่าพวกตายาย ญาติทั้งหลายมิได้รู้เรื่องบูราณ แต่ตัวเราเข้าใจได้ไต่ถาม จึงแจ้งความเทือกเถาถึงอวสาน จะบอกเล่าเผ่า่พงศ์พวกวงศ์วาน ก็เกรงท่านทั้งหลายจะอายครัน จึงกรวดน้ำรำพึงไปถึงญาติ ซึ่งสิ้นชาติชนมาม้วยอาสัญ ขอกุศลผลส่งให้พงศ์พันธุ์ สู่สวรรค์นฤพานสำราญใจ ...."
เมื่ออ่านดูทีแรกก็อยากจะเชื่อว่าเผ่าพงศ์สุนทรภู่เป็นชาวเพชรบุรีแล้วอพยพหนีพม่าไปอยู่ทางเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออก เหมือนชาวเพชรบุรีอพยพมาอยู่เมืองสมุทรสงครามเป็นจำนวนมาก แต่เมื่ออ่านทบทวนไปมาก็กริ่งใจว่าจะยังไงอยู่ สุนทรภู่คุ้นเคยกับเมืองเพชรบุรี ไปไหนก็มีคนรู้จัก ลูกศิษย์ลูกหาก็มาก คนรัก็มีตั้งหลายคนตามที่พรรณนาไว้ในนิราศ แต่เหตุไฉนเล่าตอนจะลากลับ จึงต้องไปไหว้วอนว่ายายคำให้พาไปหาพราหมณ์ บอกว่าญาติมีมาก แต่ญาติไม่รู้ "จะบอกเล่าเผ่าพงศ์พวกวงศ์วาน ก็เกรงท่านทั้งหลายจะอายครัน" ทำไมจึงต้องกลัวญาติอายด้วย ท่านก็เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นกวีคนสำคัญเช่นนั้น สุนทรภู่ไม่ใช่คนต่ำต้อยจนไม่กล้าลำดับญาติ ท่านทรนงตัว ท่านมีอหังการอยู่เต็มตัว
ข้อสะดุดใจที่แรงที่สุดคือ สุนทรภู่ไปเมืองเพชรบุรีปีพ.ศ. ๒๓๗๐ นั้น ท่านบวชเป็นพระอยู่ ถึงแก่สวดบังสกุลให้ขุนแพ่งเพื่อนรัก แต่เหตุไฉนจึงเที่ยวไปลาพราหมณ์เมืองเพชรเล่า สุนทรภู่ไม่รู้หรือว่า พระสงฆ์เป็นอุดมเพศ ส่วนพราหมณ์เป็นหินเพศ พระมีศีล พราหมณ์ไม่มีศีล สุนทรภู่จะเที่ยวลาพราหมณ์เชียวหรือ พราหมณ์ชั้่นพระราชครูพราหมณ์ในราชสำนัก สุนทรภู่ก็มิได้อ่อนน้อม อย่าว่าแต่พราหมณ์เลย กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระเจ้าลูกเธอแท้ๆ สุนทรภู่ยังไม่อ่อนน้อมจนเกิดเรื่องต้องหนีราชภัย คนที่เที่ยวลาพราหมณ์ ต้องไหว้วานยายคำไปร่ำลาพราหมณ์นั้น คงไม่ใช่สุนทรภู่ คงเป็นกวีชาวเมืองเพชรเสียมากกว่า คงเป็นกวีรุ่นหลังสุนทรภู่ในสมัยรัชกาลที่่ ๔
นิราศเมืองเพชรสำนวนนี้ จึงเข้าใจว่าเป็นสำนวนกลอนของนักกวีเมืองเพชรแต่งต่อเติมไว้แทรกเข้าไว้เป็นสำนวนใหม่ เพราะสมัยน้ันไม่ถือกัน นักกวีชอบแต่งต่อเติมบทกวีเก่ามาตลอดตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว กวีคนนี้เป็นชาวเมืองเพชรบุรี มีญาติอยู่ในเมืองเพชรบุรีมาก แต่จากบ้านไปนานแล้ว และตัวเองก็ไม่ได้โด่งดังอะไร คงเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย แต่มีความชำนาญทางบทกลอนอยู่ จึงแต่งต่อเติมให้เป็นสำนวนของตนเอง จะบอกเล่าชาวเมืองเพชรว่าเป็นญาติก็ยังอาย กลัวญาติจะอาย เพราะคนเมืองเพชรเป็นคนถือศักดิ์ศรีอยู่ กวีคนนี้คงไม่ได้บวชอยู่ จึงเที่ยวไปลาพราหมณ์ จะไปเองก็ไม่กล้า ต้องไหว้วานให้ยายคำนำไป จึงขอตั้งเป็นข้อสันนิษฐานไว้
๔. นิราศเมืองเพชร แต่งเมื่อเดินทางอาสาพระปิ่นเกล้าฯ ครั้งยังทรงพระยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เมื่อพ.ศ.๒๓๗๐ กล่าวถึงขุนแพ่งเพื่อนรักที่ไปตายในคราวศึกลาวเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ เมื่อพ.ศ. ๒๓๖๙ ว่าได้บังสกุลให้ ตอนนี้ท่านบวชเป็นพระแล้ว อายุได้ ๔๑ ปี อยู่วัดพระเชตุพนฯ
๕. นิราศภูเขาทอง แต่งเมื่อเดินทางไปแสวงหาทรัพย์สมบัติตามลายแทง เมื่อพ.ศ.๒๓๗๑ อายุได้ ๔๒ปี แต่งเมื่ออยู่วัดราชบูรณะ
๖. นิราศสุพรรณคำโคลง แต่งเมื่อพ.ศ.๒๓๘๔ ไปแสวงหายาอายุวัฒนะตามลายแทงที่เมืองสุพรรณบุรี บอกไว้ในรำพรรณพิลาปว่าไปสุพรรณเมื่อปลายปีฉลู แต่งฝากฝีมือว่าสามารถแต่งโคลงได้ไพเราะด้วย มีแบบแผนโคลงต่างๆ บอกไว้ด้วย ตอนนี้อายุ ๕๕ ปี แต่งเมื่ออยู่วัดเทพธิดา เรื่องนี้แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ กล่าวถึง "ดอกฟ้า"ไว้
๗. เพลงยาวรำพรรณพิลาป เป็นเพลงยาวสังวาส แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ(พระองค์เจ้าหญิงวิลาศ) พระธิดาพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่งเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๘๕ อายุได้ ๕๕ ปี แต่งเมื่ออยู่วัดเทพธิดา
๘. เพลงยาวสวัสดิรักษา แต่งถวายกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระเจ้าน้องยาเธอในพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งสุนทรภู่คาดว่าเป็น "พระหน่อบพิตรอิศรา" มีสิทธิืจะได้ครองราชสมบัติต่อไป จึงแต่งเพลงยาวถวาย หวังจะพึ่งบุญแล้วสุนทรภู่ก็ได้พึ่งบุญจริงๆ ได้รับแต่งตั้งเป็น พระสุนทรโวหาร จางวางกรมพระอาลักษณ์ของพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวในภายหลัง แต่งเมื่ออยู่วัดเทพธิดา เพราะสำนวนกลอนขึ้นต้นคล้ายกับเพลงยาวรำพรรณพิลาป ตอนแต่งอายุได้ ๕๕ ปี แต่งเมื่ออยู่วัดเทพธิดา
๙. เพลงยาวถวายโอวาท แต่งถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์กับเจ้าฟ้ามหามาลา พระราชโอรสในพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่งเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๗๒ แต่งเมื่ออยู่วัดราชบูรณะ อายุได้ ๔๓ ปี บอกไว้ว่า "ในวันนั้นวันอังคารพยานอยู่ ปีฉลูเอกศกแรมหกค่ำ" คือปีที่เจ้าฟ้าสององค์ได้เข้ามาถวายตัวเป็นศิษย์ ก็คงแต่งประมาณปีนั้นเอง
๑๐. นิราศพระปธม แต่งเมื่อเดินทางไปมนัสการพระปฐมเจดีย์เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๘๕ หลังจากแต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ปลายปีก็เดินทางไปนครปฐม นิราศพระปธมแต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ บอกไว้ว่า "อนึ่งน้อมจอมนิกรอัปศรราช บำรุงศาสนสงฆ์ทรงสิกขา จงไพบูลย์พูนสวัสดิ์วัฒนา ชนมาหมื่นแสนอยาแค้นเคือง" แต่งถวายเพื่อขออโสหิกรรมที่บังอาจแต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปไปเกี้ยวเจ้าหญิง
๑๑. พระอภัยมณี แต่งถวายเจ้าฟ้ามงกุฎ กับเจ้าฟ้าจุฑามณี เมื่อบวชอยู่วัดราชบูรณะ และแต่งถวายเจ้านายแสนสวยคือ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เมื่ออยู่วัดเทพธิดา ระหว่างพ.ศ.๒๓๗๑ ถึง พ.ศ. ๒๓๘๕ คือระหว่างเวลาที่อยู่วัดราชบูรณะกับวัดเทพธิดา
๑๒. สิงหไตรภพ แต่งถวายพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่ออยู่วัดพระเชตุพนฯ ระหว่างพ.ศ. ๒๓๖๘ ถึง พ.ศ.๒๓๗๐ ตอนที่ทรงพระยศเป็นกรมขุนอิศเรศรังสรรคื พระเจ้าน้องยาเธอ ในรัชกาลที่ ภ เจ้านายพระองค์นี้โปรดทางการช่างและการเล่นต่างๆ คือมีฤทธิ์เดชคล้ายๆ พระสิงหไตรภพ (ทรงเล่นมวยปล้ำ ตีกระบี่กระบอง ขี่ม้าเทส ขี่ช้าง )
ข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่ง คือเมืองต่างๆที่สุนทรภู่ไป ปรากฎหลักฐานในบทกวีของท่าน
๑. เมืองแกลง เมื่อพ.ศ.๒๓๕๐ ตามนิราศเมืองแกลง
๒. เมืองสระบุรี เมื่อพ.ศ. ๒๓๕๐ฟ ตามนิราศพระบาท แล้วไปอีกครั้งบอกไว้ในรำพรรณพิลาปว่าไปเขาม้าวิ่ง
๓. เมืองเพชรบุรี ไปเมื่อพ.ศ. ๒๓๕๒ จนถึงพ.ศ.๒๓๕๖ อาศัยอยู่กับหม่อมบุนนาค พระชายาในวังหลัง สุนทรภู่มีมิตรสหายและลูกศิษย์ในเมืองเพชรบุรีมาก บอกว่า "ศิษย์หามากันอึง" หม่อมบุนนาคก็เข้าใจว่าเป็นชาวเพชรบุรี สุนทรภู่ไปเมืองเพชรบุรีมากกว่า ๒ คร้ัง แต่ไม่ได้แต่งนิราศไว้ หรือต้นฉบับสูญหายไปเสียคร้ังหลังเมื่อสุนทรภู่ไปเมืองเพชรบุรี ปีพ.ศ.๒๓๗๐ นิราศเมืองเพชรบอกว่า ขุนแพ่งเพื่อนกันตายในคราวศึกลาวเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทร์ ปี พ.ศ.๒๓๖๙ ท่านจึงได้บังสกุลให้ ตอนนี้ท่านบวชอยู่วัดพระเชตุพน ฯ อาสากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ไปหาของดีที่เพชรบุรี เมืองนี้มีพระอาจารย์อาคมขลังแต่โบราณ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ท่านทรงแสวงหาเครื่องเล่นของท่านหลายอย่าง ทางช่าง ทางดนตรี แสวงหาของขลัง
๔. เมืองสุพรรณบุรี เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๕ คราวที่แต่งนิราศสุพรรณคำโคลง ว่าไปจำพรรษาที่วัดในอำเภอสองพี่น้อง สุนทรภู่น่าจะไปสุพรรณบุรีหลายคร้ัง
๕. เมืองกาญจนบุรี บอกไว่าว่าเคยไป "กาญจนบุรีที่เกรี่ยง ฟังแต่เสียงสีห์ชนีหนาว" คราวหลังสุดไปพระแท่นดงรัง เมืองกาญจนบุรี พร้อมเณรกลั่น เมื่อพ.ศ.๒๓๘๘ ตอนนี้ยังบวชอยู่วัดสระเกศ มีหลักฐานยืนยันอยู่ในนิราศพระแท่นดงรัง
๖.อยุธยา ไปภูเขาทอง เมื่อปีพ.ศ.๒๓๗๑ แล้วก็ไปวัดเจ้าฟ้าพระกลาโหม คือวัดใหญ่ไชยมงคล เมื่อพ.ศ.๒๓๗๙ ที่เณรพัดแต่งนิราศวัดเจ้าฟ้าไว้ ตอนนี้ท่านบวชอยู่วัดราชบูรณะและวัดพระเชตุพน
๗. พิษณุโลก บอกไว้ในรำพรรณพิลาปว่า "พิษณุโลกลายแทงแสวงหา" ท่านเป็นคนลุ่มหลงเล่นลายแทง เล่นแร่แปรธาตุ หายาอายุวัฒนะ กินแล้วเป็นหนุ่มได้ แสวงหาของขลัง ตามประสาคนสมัยนั้นที่ลุ่มหลงทางนี้กัน จึงอาสาไปหาของดีที่เมืองเพชรบุรีให้เจ้านาย
๘. นครปฐม คราวที่ไปนมัสการพระปฐมเจดีย์เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๘๕ แล้วแต่งนิราศพระปธมถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ไว้เป็นเรื่องสุดท้ายนั่นแหละ หลังจากนี้ก็ไม่แต่งนิราศอีกเลย ไปพระแท่นดงรังเมื่อพ.ศ.๒๓๘๘ก็ไม่แต่งนิราศ เณรกลั่น ลูกศิษย์จึงแต่งแทนครู เณรกลั่นนี้เป็นลูกนายจ่ายวด (แก้ว) ซึ่งเป็นมหาดเล็กอยู่ในรัชกาลที่ ๓ แล้วไปตายเสียคราวศึกเจ้าอนุวงศ์ เมื่อพ.ศ.๒๓๖๙ เณรกลั่นจึงเป็นกำพร้าอยู่กับย่า ซึ่งเป็นท่านผู้หญิงชื่อจำรัส ภรรยาพระยาสุรเสนา (ฉิม) (บิดาเจ้าจอมน้อย สุหรานากง พระสนมในรัชกาลที่ ๓ ผู้สร้างวัดคอกหมู แล้วได้รับพระราชทานนามว่า วัดอัปสรสวรค์ เณรกลั่นคนนี้ได้ทำหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับสุนทรภู่ไว้ว่า เมื่อพ.ศ.๒๓๘๘ สุนทรภู่ยังบวชอยู่วัดสระเกศ เดินทางไปพระแท่นดงรังพร้อมกัน และว่าสุนทรภู่เป็นพระสุปฎิปันโน เมื่อไปพระแท่นดงรัง สุนทรภู่อายุ ๔๙ ปี เณรกลั่นอายุ ๒๔ปี
อีกเรื่องคือ วงศ์วานของสุนทรภู่เป็นชาวเมืองไหนกันแน่ จากนิราศเมืองแกลง เรารู้ว่าสุนทรภู่มีวงศ์ญาติอยู่ที่เมืองแกลง ท่านบอกไว้ในคำกลอนว่า
"ก็เลยลาปิตุรงค์ทั้งวงศ์วาน ออกจากย่านบ้านกร่ำซ้ำวิโยค กำสรดโศกเศร้าหมองถึงสองหลาน เมื่อไข้หนักรักษาพยาบาล แต่นี้นานจะได้มาเห็นหน้ากัน" แสดงว่าวงศ์ญาติของสุนทรภู่อยู่ที่เมืองแกลง จนกระทั่งคุณเสวตร เปื่ยมพงศ์สานต์ ได้สร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ไว้ที่นั่น
เมื่อปี ๒๕๒๙ ปีครบรอบ ๒๐๐ ปีสุนทรภู่ คุณล้อม เพ็งแก้ว อาจารย์วิทยาลัยครูเพชรบุรี ได้พบนิราศเมืองเพชร สำนวนใหม่ว่า
"มาลงเรือเมื่อจะล่องแรมสองค่ำ ต้องไปล่ำลาพราหมณ์ตามวิสัย
ไปวอนว่าท่านยายคำให้นำไป บ้านประตูไม้ไผ่แต่ไรมา เป็นถิ่นฐานบ้านพราหมณ์รามราช ล้วนโคตรญาติย่ายายฝ่ายวงศา เทวสถานศาลสถิตย์อิศรา เสาชิงช้ายังเห็นเป็นสำคัญ ทั้งโบสถ์บ้านสถานที่ยังมีอยู่ แต่ท่านผู้ญาติกานั้นอาสัญ เพราะกรุงแตกแยกย้ายพรัดพรายกัน จนสิ้นพันธุ์พงศาเอกากาย ที่เหล่ากอหลอเหลือในเนื้อญาติ เป็นเชื้้อชาติชาวเพชรบุรียังมีหลาย แต่สิ้นบุญปู่ย่าพวกตายาย ญาติทั้งหลายมิได้รู้เรื่องบูราณ แต่ตัวเราเข้าใจได้ไต่ถาม จึงแจ้งความเทือกเถาถึงอวสาน จะบอกเล่าเผ่า่พงศ์พวกวงศ์วาน ก็เกรงท่านทั้งหลายจะอายครัน จึงกรวดน้ำรำพึงไปถึงญาติ ซึ่งสิ้นชาติชนมาม้วยอาสัญ ขอกุศลผลส่งให้พงศ์พันธุ์ สู่สวรรค์นฤพานสำราญใจ ...."
เมื่ออ่านดูทีแรกก็อยากจะเชื่อว่าเผ่าพงศ์สุนทรภู่เป็นชาวเพชรบุรีแล้วอพยพหนีพม่าไปอยู่ทางเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออก เหมือนชาวเพชรบุรีอพยพมาอยู่เมืองสมุทรสงครามเป็นจำนวนมาก แต่เมื่ออ่านทบทวนไปมาก็กริ่งใจว่าจะยังไงอยู่ สุนทรภู่คุ้นเคยกับเมืองเพชรบุรี ไปไหนก็มีคนรู้จัก ลูกศิษย์ลูกหาก็มาก คนรัก็มีตั้งหลายคนตามที่พรรณนาไว้ในนิราศ แต่เหตุไฉนเล่าตอนจะลากลับ จึงต้องไปไหว้วอนว่ายายคำให้พาไปหาพราหมณ์ บอกว่าญาติมีมาก แต่ญาติไม่รู้ "จะบอกเล่าเผ่าพงศ์พวกวงศ์วาน ก็เกรงท่านทั้งหลายจะอายครัน" ทำไมจึงต้องกลัวญาติอายด้วย ท่านก็เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นกวีคนสำคัญเช่นนั้น สุนทรภู่ไม่ใช่คนต่ำต้อยจนไม่กล้าลำดับญาติ ท่านทรนงตัว ท่านมีอหังการอยู่เต็มตัว
การเขียนประวัติสุนทรภู่ต้องว่ากันตามหลักฐานที่ชัดแจ้ง ไม่ควรว่าตามคำเขาว่า แม้คำเขาว่านั้นจะปรากฎอยู่ในนิราศเมืองเพชรที่พบใหม่ ควรจะพิสูจน์ว่าเป็นสำนวนกลอนสุนทรภู่แท้จริงหรือมีผู้แต่งต่อเติมขึ้นภายหลัง
เรื่องกวีแต่งต่อเติมบทกวีของเก่าขึ้นใหม่นั้น มีมาทุกยุคทุกสมัย ขอยกตัวอย่าง เรื่องกาพย์สังข์ศิลปชัย ที่เรียกกันว่า สังข์ศิลปชัยกลอนสวด มีอยู่ถึง ๕ ฉบับทึ่สำนวนแตกต่างกัน บางฉบับมีผู้แต่งต่อเติมไว้ เป็นสำนวนใหม่ในกรุงเทพฯนี่เอง ไม่ใช่สำนวนกรุงเก่า (ตอนที่แต่งต่อเติมนี้ยืดยาว สำนวนดีเสียด้วย เข้าใจว่าเป็นสำนวนของพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) เรื่องท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ที่ว่าเป็นสำนวนคร้ังกรุงสุโขทัยน้ัน ที่จริงคือสำนวนของพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือภาษิตพระร่วงที่นับถือกันว่าพระร่วงเจ้าครั้งกรุงสุโขทัยแต่งนั้น ที่จริงคือพระนิพนธ์ของพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องขุนช้างขุนแผนก็มีหลายสำนวน สำนวนครูแจ้งนักเลงเพลงเสภานั้นรสชาดถึงพริกถึงขิงนัก จนกรมสมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพทรงตัดออกเสียหมด เอาสำนวนคนอื่นมาใส่แทน คำกลอนสุนทรภู่เรื่องลักษณ์วงศ์ สุนทรภู่แต่งไว้ ๙ เล่มสมุดไทย แต่มีกวีอื่นแต่งเติมอีกยืดยาวถึง ๓๐ สมุดเล่มไทย
เรื่องกวีแต่งต่อเติมบทกวีของเก่าขึ้นใหม่นั้น มีมาทุกยุคทุกสมัย ขอยกตัวอย่าง เรื่องกาพย์สังข์ศิลปชัย ที่เรียกกันว่า สังข์ศิลปชัยกลอนสวด มีอยู่ถึง ๕ ฉบับทึ่สำนวนแตกต่างกัน บางฉบับมีผู้แต่งต่อเติมไว้ เป็นสำนวนใหม่ในกรุงเทพฯนี่เอง ไม่ใช่สำนวนกรุงเก่า (ตอนที่แต่งต่อเติมนี้ยืดยาว สำนวนดีเสียด้วย เข้าใจว่าเป็นสำนวนของพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) เรื่องท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ที่ว่าเป็นสำนวนคร้ังกรุงสุโขทัยน้ัน ที่จริงคือสำนวนของพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือภาษิตพระร่วงที่นับถือกันว่าพระร่วงเจ้าครั้งกรุงสุโขทัยแต่งนั้น ที่จริงคือพระนิพนธ์ของพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องขุนช้างขุนแผนก็มีหลายสำนวน สำนวนครูแจ้งนักเลงเพลงเสภานั้นรสชาดถึงพริกถึงขิงนัก จนกรมสมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพทรงตัดออกเสียหมด เอาสำนวนคนอื่นมาใส่แทน คำกลอนสุนทรภู่เรื่องลักษณ์วงศ์ สุนทรภู่แต่งไว้ ๙ เล่มสมุดไทย แต่มีกวีอื่นแต่งเติมอีกยืดยาวถึง ๓๐ สมุดเล่มไทย
นิราศเมืองเพชรสำนวนนี้ จึงเข้าใจว่าเป็นสำนวนกลอนของนักกวีเมืองเพชรแต่งต่อเติมไว้แทรกเข้าไว้เป็นสำนวนใหม่ เพราะสมัยน้ันไม่ถือกัน นักกวีชอบแต่งต่อเติมบทกวีเก่ามาตลอดตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว กวีคนนี้เป็นชาวเมืองเพชรบุรี มีญาติอยู่ในเมืองเพชรบุรีมาก แต่จากบ้านไปนานแล้ว และตัวเองก็ไม่ได้โด่งดังอะไร คงเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย แต่มีความชำนาญทางบทกลอนอยู่ จึงแต่งต่อเติมให้เป็นสำนวนของตนเอง จะบอกเล่าชาวเมืองเพชรว่าเป็นญาติก็ยังอาย กลัวญาติจะอาย เพราะคนเมืองเพชรเป็นคนถือศักดิ์ศรีอยู่ กวีคนนี้คงไม่ได้บวชอยู่ จึงเที่ยวไปลาพราหมณ์ จะไปเองก็ไม่กล้า ต้องไหว้วานให้ยายคำนำไป จึงขอตั้งเป็นข้อสันนิษฐานไว้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น