วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอนที่ ๕ หลวงสุนทรโวหาร



๕. หลวงสุนทรโวหาร

     
     แน่อน  สุนทรภู่เป็นข้าราชการสังกัดกรมพระราชวังบวรสถานภิมุขมาแต่เดิมที  บิดาก็รับราชการทหารเป็นทหารล้อมวัง   มารดาก็เป็นแม่นมพระฺธิดาในวังหลัง   สุนทรภู่คงรับราชการอยู่ในสังกัดวังหลังมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๓๔๙  คือปีที่พระราชวังบวรสถานภิมุขสวรคต  จึงถูกโอนมาสังกัดวังหน้าตามธรรมเนียมราชการสมัยน้ัน   เมื่อวังหลังสวรคต  ข้าราชการทั้่งฝ่ายหน้าฝ่ายในก็ต้องโอนมาสังกัดวังหน้า  จะอยู่ลอยๆ โดยไม่มีสังกัดไม่ได้
    แต่แล้วจู่ๆ ก็ว่าสุนทรภู่ได้รับยศถาบรรดาศักดิ์เป็น   ขุนสุนทรโวหาร ว่าเป็นอาลักษณ์เสียด้วย   ตอนหลังสุนทรภุู่ก็อ้างว่าตัวท่านเป็น  "อาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว" เสียด้วย  แต่ไม่รู้ว่าท่านเป็นอาลักษณ์เมื่อไรแน่  แต่เป็นที่น่าสงสัยว่าเหตุไฉนอาลักษณ์จึงมียศศักดิ์ต่ำนัก  เป็นแต่เพียงขุนสุนทรโวหารเท่าน้้น   ตำแหน่งอาลักษณ์นี้ไม่ใช่เล็กน้อย  เท่ากับเป็นราชเลขาธิการในพระองค์พระมหากษัตริย์ทีเดียว    ขนาดต้องมีคนเกรงกลัวทีเดียว  เพราะเป็นคนใกล้ชิดพระยุคลบาท   แต่ทำไมหนอจึงมียศเป็นเพียงขุนสุนทรโวหารเท่าน้้น
     ความสงสัยนี้ทำให้ต้องค้นคว้าดูทำเนียบข้าราชการวังหลังใ้ห้แน่ใจ  เพราะตามธรรมเนียมราชการน้ัน  วังหลัง วังหน้า  มีสิทธิ์ต้ังยศขุนนางได้ตามทำเนียบยศที่มีอยู่ตามทีทรงพระอนุญาตไว้เท่าน้้น  ก็เหือนสมเด็จพระราชาคณะมีสิทธิ์ต้ังยศพระฐานานุกรมได้ตามกำหนดให้ไว้เพื่อประกอบเกียรติยศและเพื่อเป็นข้าราชการช่วยทำการงานราชการเท่าน้้น   จะต้ังนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ไมได้ เมื่อตรวจดูทำเนียบข้าราชการวังหลัง  ในกรมอาลักษณ์ และกรมราชบัณฑิต ก็ปรากฎดังนี้

     กรมอาลักษณ์
     พระสุนทรโวหาร            จางวาง              ศักดินา  ๒๕๐๐
     หลวงลิขิตปรีชา             เจ้ากรม             ศักดินา   ๑๘๐๐
     ขุนสารบรรจง                 ปลัดกรมขวา     ศักดินา   ๘๐๐
     ขุนจำนงสุนทร               ปลัดกรมซ้าย    ศักดินา    ๕๐๐

     กรมราชบัณฑิตย์(ขึ้นแก่กรมอาลักษณ์อีกทีหนึ่ง)
     พระมหาวิชาธรรม          จางวาง             ศักดินา     ๕๐๐
     หลวงสุนทรโวหาร          เจ้ากรม            ศักดินา     ๔๐๐
     หลวงญาณปรีชา            ปลัดจางวาง     ศักดินา     ๔๐๐
     ขุนธรรมพจนา                ปลัดจางวาง     ศักดินา      ๓๐๐
     ขุนเมธาภิรมย์                ปลัดกรม           ศักดินา      ๓๐๐
     ขุนอุดมปรีชา                 ปลัดกรม          ศักดินา       ๓๐๐

     ตามทำเนียบนามข้าราชการวังหลังนี้   ไม่มีตำแหน่ง "ขุนสุนทรโวหาร"   มีแต่ตำแหน่ง  ""หลวงสุนทรโวหาร"    เจ้ากรมราชบัณฑิตย์  ศักดินา ๔๐๐ เมื่อไม่มีตำแหนงก็ตั้งไม่่ได้    จะต้ังเอาตามพระทัยชอบนอกทำเนียบไม่ได้ด้วย  ตำแหน่งวังหน้าก็ไม่มี   มีแต่ตำแหน่ง หลวงสุนทรโวหาร  กับตำแหน่ง พระสุนทรโวหาร   เพราะฉน้ันจึงอยากจะสันนิษฐานว่า   สุนทรภู่  ได้เป็นหลวงสุนทรโวหาร  เจ้ากรมราชบัณฑิตย์  อยู่ในวังหลังแล้ว    เมื่อวังหลังสวรรคตในพ.ศ. ๒๓๔๙  สุนทรภู่ ก็ถูกโอนมาสังกัดวังหน้าในปี พ.ศ. ๒๓๕๐  สุนทรภู่จึงได้เดินทางไปเมืองแกลง   ตอนนี้ท่านก็เป็น   หลวงสุนทรโวหารอยู่แล้ว  คำกลอนตอนต้นแสดงเค้าเงื่อนอยู่คำหนึ่งว่า
   
     "ถึงทุกข์ใครในโลกที่โศกเศร้า                   ไม่เหมือนเราภุมรินถวิลหา
     จะพลัดพรากจากกันไม่ทันลา                    ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน"

     และบอกว่าไปคร้ังน้ันไปกัน   ๔ คน
    "กับศิษย์น้องสองนายล้วนชายหนุ่ม           น้อยกับพุ่มเพื่อนไร้ในไพรสัณฑ์
     กับนายแสงแจ้งางกลางอรัญ                     จะพากันแรมทางไปต่างเมือง"

     คำว่า   "สุนทรวอน"    คำหนึ่ง   กับที่บอกว่า   มีลูกศิษย์ลูกน้องสองนายกับนายแสง   คนนำทาง  อย่างนี้ก็ย่อมแสดงว่าไม่ได้ไปอย่างคนไม่มีบริวาร  แต่ไปอย่างคนมีบริวารพอสมควร  น่าจะไปอย่าง "หลวงสุนทรโวหาร"  ไม่ใช่ไปอย่างนายภู่   คนธรรมดาสามัญแบบชาวบ้านธรรมดา   ข้าราชการสมัยโน้นยังไม่มีเงินเดือน  มีแต่เบี้ยหวัดคือเงินปีบ้างไม่มากนัก  ที่เมืองแกลงน้ันสุนทรภู่เล่าถึงฐานะของกรมการเมืองแกลงว่า

     "แล้วไปชมกรมการบ้านเมืองดอนเด็ด                ล้วนเลี้ยงเป็ดหมูเนื้่อดูเหลือเข็ญ
     ยกกระบัตรคัดช้อนทุกเช้าเย็น                           เมียที่เป็นท่านผู้หญิงนั่้งปิ้งปลา"

    กรมการเมืองก็ต้องเลี้ยงหมู เลี้ยงเป็ด ยกกระบัตรเมือง (เทียบเท่าอัยการ และผู้กับกำการตำรวจภูธรรวมกัน)  ยังต้องยกยอช้อนกุ้งกินเอง  หลวงสุนทรโวหาร (ภู้่)  อย่างท่านก็ไม่ใช่จะโอ่โถงมั่งคั่งร่ำรวยอะไร  ทำงานฝ่ายบุ๋น เกียวกับหนังสือ  จึงไม่มีอำนาจราชศักดิ์อะไรหนักหนา   เดินทางไปเมืองแกลงมีลูกน้องเท่านี้ก็เรียกว่าดีนักหนาแล้ว   จึงเชื่อว่าท่านเดินทางไปน้ันเป็นหลวงสุนทรโวหารอยู่แล้ว   และตำแหน่งนี้ก็มีศักดินา  ๔๐๐ ไร่  ก็ไม่ใหญ่โตอะไรนักหนา   พอสมควรกับคุณวุฒฺิของท่าน  สุนทรภู่เดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันเสาร์ขึ้น  ๕ ค่ำ  เดือน ๙ ตรงกับวันที่  ๗ สิงหาคม  พ.ศ. ๒๓๕๐  
    พอถึงวันจันทร์ขึ้น ๑๒ ค่ำเดือน ๓ ตรงกับวัน่ที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๕๐ ปลายปีน้ัน สุนทรภู่ก็เดินทางไปพระบาทสระบุรี

     "จนพระหน่อสุริวงศ์ทรงพระนาม                  จากอารามแรมร้างทางกันดาร
     ด้วยเรียมรองมุลิกาเป็นข้าบาท                     จำนิราศแรมนุชสุดสงสาร"

     สุนทรภู่บอกว่า
     "เจ้าคุมแค้นแสนโกรธพิโรธพี่                      แต่เดือนยี่จนย่างเข้าเดือนสาม"

     ตอนนี้แต่งงานอยู่กินกับนางจันทร์แล้ว  นางจันทร์โกรธสุนทรภู่ด้วยเรื่องใดไม่ทราบ  แต่สุนทรภู่ไปเมืองแกลงก็ต้ังใจจะไปบวช  แต่ป่วยเส่ียจึงไม่ได้บวช กลับมาเดือนสิงหาคม ๒๓๕๐   พอเดือนกุมภาพันธ์ก็ไปพระบาท  อ่านนิราศเมืองแกลงดูก็ปรากฎว่าสุนทรภู่พรรณนาถึงหลานสาวสองคนที่ช่วยรักษาพยาบาลบอกว่า
   "จึงพากเพียรเขียนคำเป็นสำคัญ     ให้สองขวัญเนตรนางไว้ต่างกาย
     อยาเศร้าสร้อยคอยพี่พอปีหน้า     จึงจะมาทำขวัญเหมือนมั่นหมาย
     ไม่ทิ้งขว้างห่างเจ้าให้ได้อาย        คงรอกายแก้วตาอย่าอาวรณ์"

     แสดงว่าสุนทรภู่ไปมีสัมพันธฺฺสวาทกับหลานสาวที่เมืองแกลง พรรณนาถึงหลานสาวอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้แล้ว   นางจันทร์จะไม่คุมแค้นแสนโกรธอย่างไรได้ คงไม่ใช่เรื่องอื่นหรอก  เรื่องเจ้าชู้นี้เอง  ทีทำให้นางจันทร์แสนโกรธพิโรธนักหนา  ตั้งแต่เดือนยี่จนเข้าเดือนสาม    เมื่อเดินทางไปพระบาทคราวนี้ก็คงไปในตำแหน่ง หลวงสุนทรโวหาร   นั่นแหละ  แม้ว่าจะโอนสังกัดมาอยูํ่วังหน้าแล้ว  แต่เป็นข้าเก่าคงจะต้องขอพระบรมราชานุญาตเดินทางไปปรนนิบัติเจ้านายเก่า  คือ พระองค์เจ้าปฐมวงศ์ทียังทรงผนวชอยุู่   ราชการสมัยก่อนก็ไม่ใช่ว่าจะรัดตัวจนละทิ้งงานไปไม่ได้   ก็ทำราชการคุมๆ กันอยู่ตามสังกัดอย่างหลวมๆ พอมีเจ้านายเจ้าสังกัดเท่าน้ัน    เรียกว่าพออาศัยใบบุญเป็นที่พึ่งพำนักุคุ้มภัยอันตรายมากกว่า   เงินเดือนก็ไม่มี    มีแต่เงินปี  ก็ไม่มากมายอะไรพออยู่ไปได้ไม่เดือดร้อนเหมือนเป็นทาสท่าน   คือยังเป็นเสรีชนที่มีอิสระแก่ตัว  จะไปฝากตัวอยู่กับเจ้านายไหนก็ได้   จึงเชื่อว่าเมื่อไปพระบาท  สุนทรภู่ก็เป็นหลวงสุนทรโวหาร(ภู่)   เจ้ากรมราชบัณฑิตย์หนุ่มอยู่แล้ว  โอนมาสังกัดวังหน้าก็คงมียศถาบรรดาศักดิ์เหมือนเดิมเพราะไม่ได้ทำผิดอะไร  จึงไม่ถูกปลดถูกถอดอะไรตามที่ว่าๆกันอย่างเลือนลอยไม่มีหลักฐานน้ัน   ไม่น่าเชื่อถืออะไร   เชื่อว่าสุนทรภู่เป็นหลวงสุนทรโวหารต้ังแต่สังกัดวังหลัง  เมื่อมาอยู่วังหน้าก็ยังคงเป็นหลวงสุนทรโวหารอยู่ตามเดิม  เรื่องถอดยศ ลดตำแหน่ง เรื่องติดคุก ไม่เห็นท่านรำพันไว้ที่ไหนเลยสักแห่งเดียว   เป็นแต่เล่าลือกันลอยๆภายหลังทั้งสิ้น  ถ้าเป็นจริงท่านคงจะอดเล่าไว้ไม่่ได้   ในนิราศหรือเพลงยาวรำพรรณพิลาปของท่าน  คงจะต้องแย้มพรายออกมาจนได้  คนที่ประสบความสำเร็จได้เป็นพระสุนทรโวหารภายหลัง เป็นจางวางกรมพระอาลักษณ์แล้ว   คงจะอดเล่าไว้ไม่ได้ว่าท่านเคยผจญความยากแค้นมาอย่างไร  ตามประสาคนแก่เฒ่าชอบเล่าความหลังให้ลูกหลานฟัง หรือคนที่ประสบความสำเร็จเล่าชีวิตที่ตกต่ำให้ลูกหลานฟัง นี่เรื่องอะไรก็เล่าหมด   แต่เรื่องติดคุก  เรื่องถูกถอดยศ เหตุไฉนจึงไม่แย้มพรายเลย  ท่านเป็นนักกวีชอบเขียนชอบเล่าอะไรสารพัดอยู่แล้ว  แม้แต่เรื่องลี้ลับเป็นชู้กับแม่งิ้วก็ยังเล่าไว้ว่า

     "งิ้วกับพี่มิแคล้ว          ขึ้นงิ้ว  ลิ่วสูง"
   
     เล่าจนถึงเรื่องอย่างนี้แล้ว   เรื่องถูกถอดยศ เรื่องติดคุกทำไมจะเล่าไม่ได้  ลองคิดดูตามสามัญสำนึกดูเอาเถิด  
     เรื่องที่ว่าสุนทรภู่มียศถาบรรดาศักดิ์เป็น   "ขุนสุนทรโวหาร" หรือ  "หลวงสุนทรโวหาร" นั้น  มีหลักฐานสำคัญอยู่อีกเรื่องหนึ่ง  คือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริวงศ์ (ช่วง  บุนนาค)   ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ ๕ ท่านออกนามสุนทรภู่ว่า  "หลวงสุนทรโวหารไ  ปรากฎในคำกราบบังคมทูลฟ้องขุนพิพิธภักดี(ทิม สุขยางค์)  ผู้แต่งนิราศหนองคาย แต่งหนังสือล่วงเกิ่นท่าน ดังนี้

     "แผ่นดินพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จางวางเสือ ทำหน้าที่ทิ้งว่า หม่อมไกรสร ท่านก็เอาโทษ หมื่นไวย์เพ็ง  นอกราชการ  นายเถื่อนคางแพะ  พูดจาติเตียนแม่ทัพนายกอง ท่านก็เอาโทษถึงตายท้ังน้ัน  และผู้ทำนิราศแต่ก่อนมา พระยายมราช (กุน)  หม่อมพิมเสน คร้ังกรุงเก่า หลวงสุนทรภู่ คร่ั้่งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็ทำไว้หลายเรื่อง  หาได้กระทบกระเทือนถึงการแผ่นดินไม่  ผู้ทำนิราศฉบับนี้ว่าความก้าวร้าวนัก  ด้วยการจะบังคับบัญชารักษาแผ่นดินต่อไป  จะเป็นที่ชอกช่้ำด้วยถ้อยคำของคนที่กล่าวเหลือๆ เกินๆ"

     เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาท่านกราบทูลฟ้องกล่่าวโทษเช่นนี้  จึงมีพระบรมราชโองการ ให้เอาตัวอ้ายทิม ขุนพิพิธภักดี ในกรมพระสุรัศวดี  คนคิดนิราศหนองคายด้วยคำฟุ้งซ่านรานระเหลือเกินมากนัก  ให้ลงอาญาเฆี่ยน ๕๐ จำคุกไว้ ..."

     พระบรมราชโองการนี้รับส่ังเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ ๒๔๒๑  หลังจากที่สุนทรภู่สิ้นชีวิตแล้วเพียง ๒๒ปีเท่าน้ัน   จะว่าสมเด็จเจ้าพระยาท่านไม่รู้จักสุนทรภู่ไม่ได้   เพราะสมเด็จเจ้าพระยาองค์นี้  ท่านเกิดเมื่อวันที่   ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๕๑  เกิดทีหลังสุนทรภู่เพียง  ๒๒ ปีเท่านั้น  ท่านเป็นคนที่เกิดทันสุนทรภู่  มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยเดียวกัน  นิราศสุนทรภู่ ท่านก็ได้อ่านหมด   ท่านจึงกล่าวว่า  "หลวงสุนทรภู่"  คร้ังแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  ก็ทำไว้หลายเรื่อง" (คือแต่งนิราศไว้หลายเรื่อง)   ตัวสมเด็จเจ้าพระยาเองท่านก็เป็นนักเลงหนังสือ  ท่านได้บัญชาให้มีผู้แปลหนังสือเรื่องจีนขึ้นไว้หลายเรื่อง  ท่านจึงต้องเป็นแฟนของนิราศสุนทรภู่ด้วย  การที่ท่านเรียกว่า "หลวงสุนทรภู่" น้ัน ท่านน่าจะเรียกถูกต้อง   เพราะท่านออกชื่อคนอื่นๆ ไว้ถูกต้องหมดทุกคน  เช่น หม่อมไกรสร ทา่นก็ไม่เรียกว่า  พระองค์ไกรสร(เพราะถูกถอยยศ)  การที่ท่านเรียกสุนทรภู่ว่า  "หลวงสุนทรโวหาร"นั้นท่านคงเรียกถูกต้อง  เพราะสุนทรภู่เป็นหลวงสุนทรโวหารอยู่เป็นเวลานาน  จนคนท้ังหลายรู้จักในนามหลวงสุนทรโวหาร   กะประมาณว่าท่านเป็นหลวงสุนทรโวหารตั้งแต่อยู่วังหลัง  อย่างช้าท่านจะได้เป็นหลวงสุนทรโวหารเมื่อโอนมาอยู่วังหน้า พ.ศ.๒๓๕๐ อยู่สังกัดวังหน้า  ๑๐ ปี แล้วโอนมาอยู่วังหลวงเมื่อวังหน้าสวรรคต เมื่อพ.ศ.๒๓๖๐ ท่านอยู่วังหลวงต้้งแต่ พ.ศ.๒๓๖๐ จนถึง พ.ศ. ๒๓๓๖๗ วังหลวงสวรรคตเมื่อ พ.ศ.๒๓๖๗  ท่านก็คงอยู่ในตำแหน่ง "หลวงสุนทรโวหาร" อยุ่ตามเดิม เป็นเวลานานไม่น้อยกว่า  ๑๗ ปี  (คือต้ังแต่ปีพ.ศ. ๒๓๕๐ ถึงพ.ศ. ๒๓๖๗)  ท่านพ้นหน้าที่ราชการไปเพราะร้อนตัวกลัวราชภัยในรัชกาลที่ ๓ หนึออกบวชพึ่งผ้าเหลืองอยู่ที่วัดอรุณราชวราราม  ก็ออกในนามของหลวงสุนทรโวหาร  ท่านไม่ได้ถูกถอดยศแต่อย่างใด  เพราะฉนั้น  เมื่อท่านแต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปในปี พ.ศ. ๒๓๘๕  หลังจากออกจากหน้าที่ราชการนานถึง  ๑๘ ปีแล้ว  ท่านยังเรียกตัวเองว่า  "สุนทร"  อยู่โดยขึ้นต้นกลอนว่า   "สุนทรทำคำประดิษฐ์นิมิตรฝัน"  ไปสุพรรณบุรี  แต่งนิราศสุพรรณบุรีก็ออกชื่อตัวเองว่ า "สุนทร"  แสดงว่าท่านออกบวชในนามของ "หลวงสุนทรโวหาร"  ไม่ได้ถูกปลดถูกถอดอะไร  

     เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๓ แล้ว ท่านก็กลับเข้ารับราชการอยู่กับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยุ่หัว   เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๔ ตอนนี้ท่านจึงได้เป็น  "พระสุนทรโวหาร  จางวางกรมพระอาลักษณ์ วังหน้า ศักดินา ๒๕๐๐ ไร่"  ซึ่งมีตำแหน่งนี้อยู่   แต่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์  ท่านยังคงเรียก  หลวงสุนทรภู่ อยู่ตามเดิม  เพราะคนใหญ่ขนาดสมเด็จเจ้าพระยาผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน   ท่านคงไมสนใจกับตำแหน่งพระสุนทรโวหาร   จางวางกรมพระอาลักษณ์ ตำแหน่งใหม่ของสุนทรภู่   เพราะไม่ใช่่ตำแหน่งมีอำนาจราชศักดิ์อะไรนักหนา  ท่านยังคงเรียกว่า "หลวงสุนทรภู่"  อยู่ตามเดิมที่ท่านสุนทรภู่อยุ่ในตำแหน่งนี้มานานในรัชกาลที่ ๒  เรื่องอย่างนี้ข้าพเจ้ามีประสบการณ์  คือข้าพเจ้ามีญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง  ญาติพี่น้องรู้จักกันในนามของ  "จ่าพาสน์"   เพราะเป็นจ่านายสิบตำรวจมานานปี  ต่อมาภายหลังก็ได้เลื่อนยศเป็น  นายพันตำรวจตรีพาสน์  พาสน์ยงภิญโญ (บิดาของ พล.อ. สัมผัส พาส์นยงภิญโญ)   แต่บรรดาญาติพี่น้องยังคงเรียกว่า  "จ่าพาสน์)  อยู่จนตายก็ยังเรียกกันว่า  "จ่าพาส์น"  อยู่ตลอดมา   อีกท่านคือ  พระพนมสารนิรินทร์(กลึง)   เจ้าเมืองพนมสารคาม  ออกจากราชการแล้วคนก็ยังเรียกกันว่า "นรินทร์กลึง"  คำที่สมเด็จเจ้าพระยาท่านเรียกสุนทรภู่ว่า   "หลวงสุนทรภู่"  อย่างนี้ส่อแสดงว่าท่านเรียกวตอนออกจากราชการแล้ว   เรียกท่านสุนทรภู่นอกราชการนั่นเอง   ถึงแม้ว่าภายหลังจะเข้ารับราชการใหม่เป็นคุณพระในนามเดิม  สมเด็จท่านก็ยังติดในนามเดิมอยู่   สมัยเมื่อรับราชการอยู่วังหลวง  พอไปรับราชการอยุ่วังหน้าเหินห่างท่านออกไปแล้ว  ท่านจึงเรียกนามบรรดาศักดิืเดิมอยู่


     แตอย่างไรก็ดี  สุนทรภู่ เป็นหลวงสุนทรโวหาร  กับ พระสุนทรโวหาร  เท่าน้ัน  ท่านไม่เคยเป็น ขุนสุนทรโวหาร  เพราะตำแหน่งขุนสุนทรโวหาร ไม่มีอยู่ในทำเนียบนามบรรดาศักดิ์  ใครจะต้ังให้ท่ารนเป่็นอย่างไรเล่า 
   


(โปรดติดตามตอนต่อไป) 


   
    

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ดวงชะตาสุนทรภู่




ดวงชะตาสุนทรภู่ 

     ดวงชะตาสุนทรภู่   อังคารดาวอายุกุมลัคนา  ท่านว่อายุยืน  ดาวศุกร์คู่มิตรกุมลัคนาด้วยเช่นนี้  ท่านว่ามีอารมณ์แรงทางกามารมณ์  มีเสน่ห์แก่เพศตรงข้ามด้วย  แต่เสาร์เล็งลัคนาอยู่ในราศีมังกร  เป็นดาวเกษตตรเช่นนี้  ท่านว่าจะมีทุกข์โศกเพราะคู่ครองหาความสุขไม่ได้   ยิ่งมีดาวราหูคู่มิตรมาร่วมกับดาวเสาร์เช่นนี้แล้วยิ่งมีพลังแรงมากในทางให้ทุกข์ให้โทษ   ดวงชะตาอย่างนี้ท่านเรียกว่า ดวงแตก   ขึ้นแล้วตกไม่รุ่งโรจน์อยู่นานเลย   ดาวพฤหัสอยู่ราศีเมษ  เป็นดาวที่ให้คุณแรงมาก  มีสติปัญญาสูง  มีเทวดาคุ้มครองรักษา  จะไม่มีภัยอันตรายใดมากกล้ำกลายได้เลย   ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวเด่นมากในดวงชะตา   ดาวอาทิตย์ซึ่งเป็นดาวกาลกิณีเป็นวินาศแก่ลัคนา  ดาวอาทิตย์หมายถึงพระราชา เจ้านายผู้เป็นใหญ่ ดาวนี้ที่จริงให้โทษแรง  แต่เมื่อเป็นวินาศแก่ลัคนาเสียแล้ว  จึงไม่ให้โทษ  มีแต่กลับมาให้คุณ   ชีวิตของสุนทรภู่จึงได้พึ่งใบบุญพระเจ้าแผ่นดินตลอดมา    ดาวอย่างนี้พระราชาไม่ให้โทษ  ไม่มีภัย  สุนทรภู่  จะไม่ถูกถอดยศปลดตำแหน่งเลย  แต่เพราะมีอหังหารมีมมังการมากจากดวงอังคารและดาวศุกร์ที่กมลัคนานั่นแหละ  ทำให้สุนทรภู่ใช้อารมณ์มากกว่าใช้ปัญญา   หรือบางทีก็ใช้ปัญญานำหน้าสติ   สุนทรภู่จีงข้ามกรายหรมหมื่นเจษฎาบดินทรื โดยทนงในความเก่งกาจฉลาดในการกลอนของตนถือว่าตัวเองเก่งกว่า กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์  จึงได้กล่าวหักหน้าในที่ประชุมนักกวีต่อหน้าพระที่นั่ง   ทำให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เสียหน้าถึงสองครั้งสองหน  สุนทรภู่ไมเคยคาดคิดว่าพระเจ้าลูกยาเธอนอกเศวตฉัตรองค์นี้จะได้ราชสมบัติ  แต่พอพระนั่งเกล้าฯ เสวยราชสมบัติ  สุนทรภู่ก็ตกใจมากถึงแก่หนีออกบวชเอาผ้าเหลืองคุ้มราชภัยทันที   พระนั่งเกล้า ฯไม่ทันถอดยศปลดตำแหน่งอะไรเลย  สุนทรภู่ออกบวชในนามของหลวงสุนทรโหารนอกราชการ   จึงใช้นามในการแต่งบทกวีว่า "สุนทร" อยู่ตลอด ไม่ออกนามเดิมว่า  "ภู่" เลย 

     จันทร์ดาวกดุมภะเป็นวินาศแก่ลัคนาเช่นนี้แสดงว่า เงินขาดมืออยู่เป็นประจำ คือเป็นคนจนเงิน   แต่จันทร์ได้ดาวพุธเป็นคู่มิตรเช่นนี้  ทำให้สุนทรภู่เป็นคนมีอริยทรัพย์คือมีความรู้ในทางการพูดและการเขียนทางเจ้าบทเจ้ากลอนเลี้ยงตัวได้  ทำให้เป็นคนมีชื่อเสียงในทางนี้เรียกว่าร่ำรวยทางนี้  แต่ความรู้ในทางบทกลอนนี้เอง ก็มาทำลายตัวเองในภายหลังเหมือนกัน  เพราะดาวจันทร์และดาวพุธเป็นวินาศแก่ลัคนาเสียแล้ว   อย่างไรก็ดีดวงชะตานี้เป็นดาวชะตาพิเศษบุรุษ ไม่ใช่ดวงคนธรรมดา  ย่อมจะมีชื่อเสียง  ทั่้งในเวลาที่มีชีวิตอยู่และล่วงลับไปแล้ว ก็ยังมีชือติดแผ่นดินอยู่เป็นเวลานาน   เพราะดาวพฤหัสบดีนั้นส่งรังสีถึงดาวอังคารคู่สมพล  และส่งรังสีถึงดาวเสาร์คู่ราหูด้วย  ที่จริงดาวเสาร์ก็ให้คุณแรงอยู่ เพราะเป็ฺนดาวเกษตรอยู่ในราศีตุลเล็งกับดาวพฤหัสบดี  แต่ไปกุมลัคนาอยู่   ดาวศุกร์จึงให้คุณให้โทษแรงในอารมณ์รัก  อารมณ์เพ้อฝันอันลึกซึ้ง  มีดาวราหูเล็งอยู่ จึงหลงใหลอย่างลึกซึ้งในอารมณ์  เรียกว่าเพ้ออยู่ในบทกลอน  เมารัก เมาอักษร เมาตัว เมาตน  เมาสตรี เมาในความงาม เมาในธรรมชาติ เมาในความรู้  เรียกว่าเป็นคนมีอารมณ์มัวเมาทั้งที่เป็นนักปราชญ์  แต่เป็นนักปราชญ์ที่มีอารมณ์เพ้อฝัน ไม่แจ่มใสสว่างกระจ่างใจได้  คนอย่างนี้ย่อมจะไม่บรรลุธรรมเป็นพระอริยสงฆ์ได้แม้จะบวชอยู่ตลอดชีวิต   มักมีอารมณ์เข้ามาเป็นอุปสรรค  มีอหังการ มมังการอยู่เต็มตัว  ลักษณะเช่นนี้่แหละคือลักษณะของอารมณ์นักวีเอกทุกคน  แต่ดวงชะตานี้มีดาวพฤหัสบดีคุ้มอยู่ในราศีเมษ  จะเป็นคนขาดสติ ทุบตึมารดาไม่ได้เลย  ดวงชะตาแบบนี้ ก็จะไม่ขี้เมาด้วย

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ๑. บทนำเรื่อง


๑. บทนำเรื่อง 

      เรื่องประวัติสุนทรภู่นั้น เราจะต้องของพระเดชพระคุณสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ที่ได้ทรงพระราชนิพนธ์ชีวประวัติสุนทรภู่ไว้  ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๕  นับจนถึงบัดนี้  (๒๕๓๐)  ก็เป็นเวลา ๖๕ ปี  ก็ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องมีผู้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม  แล้วพบว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องอยู่บ้าง  เช่น   คุณธนิต  อยู่โพธิ์  พบว่า   นิราศพระแท่นดงรัง ไม่ใช่นิราศสุนทรภู่   แต่เป็นนิราศของหมื่นพรหมสมพัตสร ((มี)  ลูกศิษย์ของสุนทรภู่  
     ต่อมา   คุณสถิตย์ เสมานิล   ก็ได้พบว่า   สุภาษิตสอนหญิงนั้น  ไม่ใช่ของสุนทรภู่   แต่เป็๋นของนายภู่   กวีอีกคนหนึ่งชื่อเดียวกัน   และกวีคนนั้นได้แต่งนิยายเรื่อง  นกกระจาบคำกลอน   ไว้อีกเรื่องหนึ่ง   มีคำไหว้ครูบอกชื่อภู่ไว้เหมือนกัน   เรื่องนี้  ข่้าพเจ้าก็ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมต่อมา  จึงพบว่า  นายภู่  ผู้แต่งสุภาษิตสอนหญิงคนนี้  เคยบวชอยู่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร   ในสมัยรัชกาลที่ ๓  ได้เป็นเจ้าอาวาาฝ่ายคันธุระ  มีสมณศักดิ์๋ว่า   พระธรรมทานาจารย์ (ภู่)   เป็นคนรุ่นหลังสุนทรภู่  ได้ลาสึกขาออกมาเป็น  นายภู่ จุลละภมร  เป็นกวีคนหนึ่งได้แต่งคำกลอนไว้หลายเรื่อง  คือ 
     ๑. สุภาษิตสอนหญิงคำกลอน
     ๒. นครกายคำกลอน
     ๓. พระสมุทรคำกลอน
     ๔. นกกระจาบคำกลอน
     ๕. จันทโครบคำกลอน
     
     ต่อมาข้าพเจ้าจึงได้ค้นพบว่า  "นิราศอิเหนา" น้ันไม่ใช่ของท่านสุนทรภู่  แต่เป็นพระราชนิพนธ์ของกรมหลวงภูวเนตรนริทร์ฤทธิ์ (พระองค์เจ้าทินกร)  พระราชโอรสของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งเป็นศิษย์ของสุนทรภู่  แต่งกลอนได้ไพเราะเท่าสุนทรภู่  แต่ใช้คำสูงส่ง ประณีตกว่า  เป็นกลอนสุภาพไม่ใช่่่กลอนตลาดแบบสุนทรภู่    กรมหลวงภูวเนตรนริทร์ฤทธิ์ ได้นิพนธ์คำกลอนไว้หลายเรื่อง คือ 
     ๑. นิราศอิเหนา
     ๒. นิราศฉะเชิงเทรา
     ๓. เพลงยาวสังวาส ๔ สำนวน
     ๔. บทละครเรื่องมณีพิไชย
     ๕. บทละครเรื่องสุวรรณหงส์
     ๖. เรืองปิ่นทอง  แก้วหน้าม้า
     ๗. เรื่องเทวัญ นางกุลา
     
     ต่อมาได้พบว่า  นิราศวัดเจ้าฟ้า  ไม่ใช่ฝีปากของสุนทรภู่  แต่เป้นของเณรพัด  ลูกชายของสุนทรภู่   เณรพัดคนนี้มีอายุยืนยาวมาจนถึงรัชกาลที่ ๕ พ.ศ.๒๔๔๗  อายุ  ๘๖ ปี  เณรพัดหรือนายพัด จึงเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๑ ก่อนสุนทรภู่บวช ๖ ปี  นายพัดบอก ก.ศ.ร. กุหลาบว่า  ปู่ของเขาชื่อ ขุนศรีสังหาญ (พลับ)    ข้าพเจ้าจึงศึกษาค้นคว้าต่อมาพบว่า  ขุนศรีสังหาญ (พลับ)  มีตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวงอยู่ในกรมอาสาวิเศษซ้าย  มีศักดินา  ๓๐๐ ไร่  ได้ไปบวชอยู่วัดบ้านกร่ำ  เมืองแกลง  ต้ังแต่ปีพ.ศ. ๒๓๓๐ สุนทรภู่อายุ  ๑ ขวบ   เมื่อสุนทรภู่เดินทางไปหาบิดาน้ัน บวชมาได้  ๒๐ พรรษาแล้ว  มีสมณศักดิ์เป็นพระครูธรรมรังสี (พลับ)  ตำแหน่งเจ้าคณะเมืองแกลง  ฝ่ายอรัญวาสี  ไม่ใช่เป็นพระฐานานุกรม   

     ต่อมาได้พบหลักฐานเป็นเงื่อนงำว่ สุนทรภู่ไม่ใช่เป็นขุนสุนทรโวหารเท่าน้ัน แต่เป็น "หลวงสุุนทรโวหาร"   อยู่ในวังหน้า   เพราะทำเนียบนามบรรดาศักดิ์ไม่มีตำแหน่ง "ขุนสุนทรโวหาร"   มีแต่ตำแหน่ง "หลวงสุนทรโวหาร"  เจ้ากรมราชบัณฑิตย์ ศักดินา  ๔๐๐ ไร่

     ทีเรียกกันว่า วังหลัง นั้นคือ พระราชวังหลังต้ังอยู่ที่ตำบลสวนลิ้นจี่  คือตรงที่ต้ังโรงพยาบาลศิริราชปัจจุบันนี้  เป็นบริเวณสวนของสมเด็จเจ้าฟ้าหรมพระยาเทพสุดาวดี (สา)  พระพี่นางองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช   สมเด็จพระพี่นางองค์นี้มีพระโอรสรับราชการอยู่ในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช  ๓ พระองค์ คือ
     ๑. พระยาสุริยอภัย  (ทองอินทร์)   ได้เป็นสมเด็จพระเจ้าหลานยาเธอกรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ (ทองอินทร์)   ในสมัยรัชกาลที่หนึ่ง  เรียกว่า กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข  (คือ วังหลัง)   องค์ที่เป็นเจ้านายองค์แรกของสุนทรภู่  ประสูติ  ปีพ.ศ. ๒๒๘๙ สวรรคต พ.ศ. ๒๓๔๙ พระชนมายุ  ๖๐ พรรษา
     ๒. พระอภัยสุริยา  ได้เป็นสมเด็จพระะเจ้าหลานเธอ กรมหลวงธิเบศร์บดินทร์
     ๒. หลวงฤทธิ์นายเวร  มหาดเล็ก  ได้เป็น   สมเด็จพระเจ้าหลานเธอกรมหลวงนรินทร์รณเรศ  
    
     สมเด็จพระเจ้าหลานเธอกรมพระอนุรักษ์เทเวศร์  (ทองอินทร์)  กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข (วังหลัง)นั้น  มีพระโอรสธิดากับเจ้าจอมมารดาทองอยู่  พระอัครชายา  รวม ๕ องค์คือ
     ๑. พระองค์เจ้าชายปาน   ประสูติ ปีพ.ศ. ๒๓๑๓ ได้เป็นกรมหมื่นนราเทเวศร์  เป็นต้นสกุล  ปาลกวงศ์ ณ อยุธยา  ในปัจจุบันนี้   
     ๒.พระองค์เจ้าหญิงกระจับ  ประสูติ ปีพ.ศ. ๒๓๑๕
     ๓.พระองค์เจ้าชายบัว  ประสูติ ปีพ.ศ. ๒๓๑๘
     ๔.พระองค์เจ้าชายแดง  ประสูติ ปีพ.ศ. ๒๓๒๐   ได้เป็นกรมหมื่นเสนีบริรักษ์  เป็นต้นสกุล  เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา  ในปัจจุบันนี้
     ๕.พระองค์เจ้าชายปฐมวงศ์ ประสูติ  ปีพ.ศ.๒๓๒๕  ปีต้ังพระราชวงศ์จักรี   จึงได้รับพระราชทานพระนามว่า  พระองค์เจ้าชายปฐมวงศ์  ทรงผนวชอยู่ที่วัดอรุณราชวราราม   แล้วไปอยู่วัดระฆัง จนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓  เจ้าชายองค์นี้แหละที่สุนทรภู่เป็นมหาดเล็กรับใช้อยู่  และเจ้าจอมมารดาทองอยู่หรือทีเรียกกันว่า   เจ้าครอกทองอยู่ พระมารดาของพระองค์เจ้าชายปฐมวงศ์นี้แหละที่เณรพัดพรรณาคร่ำครวญถึงในนิราศวัดเจ้าฟ้า   เพราะนายพัดอาศัยอยู่กับเจ้าจอมมารดาทองอยู่นี้มาตั้งแต่เด็ก
     เมื่อวังหลังสวรรคตใน พ.ศ. ๒๓๔๙  นั้น  สุนทรภู่ต้องโอนมาสังกัดวังหน้าตามธรรมเนียม
     วังหน้า คือ  กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ (เจ้าฟ้าจุ้ย) ประสูติเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ.๒๓๑๕  สวรรคตเมื่อวันที่   ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๖๐  พระชนมายุได้  ๔๕ พรรษา  ทรงเป็นนักกวีเอก  เมื่อ พ..ศ. ๒๓๓๔   พระชนมายุได้  ๑๙ พรรษาได้ตามเสด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชไปตีเมืองทะวาย   ได้ทรงพระราชนิพนธ์ "นิราศแม่น้ำน้อย" ไว้โดยใช้พระนามแฝงว่า "ศิษย์ศรีปราชญ์"  เมื่อ พ.ศ.๒๓๕๒   ได้เสด็จเป็นแม่ทัพไปตีพม่าทางใต้  ได้ทรงพระราชนิพนธ์นิราศไว้อีกเรืองหนึ่ง   โดยใช้พระนามแฝงว่า  "นรินทร์อิน"  (คือ นามของนายนรินทร์ธิเบศร์ (อิน) มหาดเล็กคนทีตามเสด็จไปในครั้งนั้น)  ทำให้คนทั้งหลายเข้าใจผิดกันมานานเกือบ  ๒๐๐ ปีแล้วว่า  เป็นโคลงของนายนรินทร์อิน ทั้งๆที่นายนรินทร์ธิเบศร์(อิน) ไม่เคยเป็นกวีเลย นิราศนรินทร์นั้นไปหยุดพักพลกองทัพอยู่ทีอ่าวตะนาว  หรือ อ่าวมะนาวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์   ที่บอกว่า  "ตระนาวตระหน่ำซ้ำสงสาร"  และเข้าใจผิดกันมานานแล้วว่า  เป็นตะนาวศรีในเขตพม่่า   ที่จริงคือ อ่าวตะนาวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นี้เอง
     สุนทรภู่รับราชการอยู่ในวังหน้านี้้ต้ังแต่ พ.ศ.๒๓๕๐ ถึง พ.ศ.๒๓๖๐  ได้เป็นหลวงสุนทรโวหารในวังหน้านี้  สุนทรภู่รับราชการอยู่วังหน้า  ๑๑ ปี  ถึง พ.ศ. ๒๓๖๐   วังหน้าสวรรคต หลวงสุนทรโวหาร (ภู่)  จึงโอนมาสังกัดวังหลวงเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๐  ขีวิตสุนทรภู่รุ่งเรืองสูงสุดตอนนี้เอง  หลวงสนุทรโวหาร (ภู่)  รับราชการสังกัดวังหลวงอยู่   ๖ ปีก็สิ้นวาสนา   เมื่อวังหลวงเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. ๒๓๖๗   สุนทรภู่ก็หนีราชภัยออกบวชในปีพ.ศ.๒๓๖๗  ที่วัดอรุณราชวราราม   แล้วข้ามมาอยู่วัดพระเชตุพน ฯ แล้วย้ายไปอยู่วัดราชบูรณะ  แล้วไปอยู่วัดเทพธิดาเมื่อพ.ศ.๒๓๘๑  อยู่วัดเทพธิดาจนถึงปีพ.ศ. ๒๓๘๔    ไปสุพรรณบุรีแล้วก็ไปนครปฐม   ปีพ.ศ.๒๓๘๕ ก็ยังไม่ได้สึก  จนถึงปีเณรกลั่นไปพระแท่นดงรัง ปีพ.ศ.๒๓๘๘  สุนทรภู่ก็ยังไม่ได้ลาสึก   ได้ไปพระแท่นดงรังพร้อมเณรกลั่น   เณรกลั่นเรียกว่า  "มหาเถร"  (ซึ่งเป็นคำทีเรียกพระภิกษุที่บวชมาได้ ๒๐ พรรษาแล้ว)   สุนทรภู่บวชตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๓๖๗  จนถึงปีพ.ศ. ๒๓๘๘  จึงได้  ๒๑ พรรษา   จึงเป็น "มหาเถร" ตามคำเรียกของเณรกลั่น  ใครๆว่าสุน่ทรภู่บวชๆ สึกๆ   ทำท่าจะเป็นพระบวช ๓ โบสถ์น้ันไม่มีหลักฐานเลย   ว่ากันโดยเดาสวดแท้ๆ  บาปกรรมเปล่าๆ ปลี้ๆ   คนที่เป็นนักปราชญ์ราชกวี  "เป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว เขมราลาวลือเลื่องถึงเมืองนคร"  อย่างสุนทรภู่จะเป็นชายสามโบสถืไม่ได้  และคำกล่าวที่ว่าสุนทรภู่ต้องอาบัติเสพสุราเมื่อบวชอยุ่ก็เป็นคำเท็จที่ร้ายแรง  จากคำของเณรกลั่นในนิราศพระแท่นดงรัง  ปรากฎว่าสุนทรภู่เป็นพระสุปฎิปันโน  เคร่งครัดศีล กระทำสมถภาวนาปรากฎจากนิราศสุพรรณ  ท่านก็เกลียดพระที่ย่อหย่อนวินัย  ท่านกล่าวถึงพระที่เตะตะกร้อ ตีไก่่  ว่า  "เสียเทียนเสียธูปซ้ำ เสียศรัทธาเอย" ดังนี้     
     
     เพราะฉนั้น  ประวัติสุนทรภู่เราต้องขำระสะสางกันใหม่  ไม่ควรเล่ากันสนุกปากตามคำเขาว่าจระเข้มาที่ท่าน้ำกันต่อไป  ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะเห็นการศึกษาวิชาวรรณคดีไทยเป็นการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์  มีการวิเคราะห์ วิจัย  วิจารณ์ กันอย่างมีหลักฐาน  เป็นวรรณคดีวิเคราะห์ วรรณคดีวิจารณ์   วรรณคดีวิจัย  ไม่ใช่ว่าอะไรตามๆกันไปเหมือนแต่ก่อน   ขอให้เราศึกษาวรรณคดีกันอย่างบัณฑิตทำวิทยานิพนธ์   ไม่ใช่เพื่อจะบอกว่าใครผิดใครถูก  แตเพื่อจะบอกว่าอะไรผิดอะไรถูก   เพื่อลูกหลานหรือลูกศิษย์ของเรรุ่นต่อๆไป  จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร  โดยเฉพาะรู้ว่า   พระสุนทรโวหาร มหากวีเอกของโลกนั้น   มีประวัติชีวิตและการงานเป็นอย่างไรอย่างแท้จริง   ไม่ใช่มัวแต่สันนิษฐานกันเอาตามใจชอบ  เพียงเพื่อจะอวดรู้อวดดีอะไรเป็นส่วนตัว   แต่ควรจะมุ่งเพื่อยกย่องเทิดทูนมหากวีเอกของเราตามความเป็นจริง จึงจะเป็นการสมควร    ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้เพื่อจุดหมายนี้เป็นสำคัญ   เขียนเพื่อเป็นวิทยาทาน  ไม่ใช่เขียนเพื่อแสวงหาชื่อเสียง   ชื่อเสียงของข้าพเจ้ามีอยู่พอสมควรกับฐานานุรูปของข้าพเจ้าแล้ว  ไม่จำเป็นต้องแสวงหาอะไรอีก   การเขียนเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ก็คงจะไม่ทำให้ได้ชื่อเสียงอะไรขึ้นมาได้เลยด้วย   คงจะมีคนสนใจคนเขียนน้อยกว่าสนใจเรื่องของสุนทรภู่เป็นแน่นอน  
     ความดีของเรื่องนี้ถ้าหากจะมีอยู่บ้าง    ข้าพเจ้าก็ไม่อุทิศให้ใครแม้แต่ตัวเอง   ขออุทิศให้เป็นความสัจจริงแก่ชีวประวัติและการงานของท่านพระสุนทรโวหาร (ภู่  ภู่เรือหงส์)  ทั้งหมด


  

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ๓. บิดามารดา



๓. บิดามารดา

     บิดามารดาของสุนทรภู่ก็เป็นคนสำคัญที่เราควรจะต้องสืบรู้ด้วยว่าเป็นใคร  สุนทรภู่สืบายโลหิตมาจากไหนจึงเป็นกวีมีชื่อดีเ่ด่นถึงขนาดนี้   ถ้าบิดามารดาสุนทรภู่เป็นคนเหลวไหลไม่ได้เรื่อง   ขี้เมายำเปหรือปัญญาอ่อนแล้ว  สุนทรภู่จะเป็นกวีโด่งดังไม่ได้เลย  เพราะฉนั้น  สุนทรภู่จะต้องสืบสายโลหิตจากบิดามารดาที่ดีด้วย  ถึงแม้ว่าสุนทรภู่จะเป็นอภิชาตบุตร  ก็จะต้องมีบิดามารดาที่ดีเป็นพื้่นฐานรองรับอยู่อีกชั้นหนึ่ง   สุนทรภุ่เป็นมหากวีน้ัน  (หรือเรียกว่า  เป็นอัจฉริยบุรุษทางการกวีน้ัน)   แม้ว่าทางพระพุทธศาสนาจะว่าเป็นบุพกรรมแต่ชาติปางก่อนติดตามมาส่งเสริม  แต่ทางพระพุทธศาสนาก็รับรองว่าบุตรทีดีจะต้องสืบมาจากบิดามารดาที่ด้วย  ดั่งเช่นพระพุทธองค์ที่เป็นพระบรมศาสดาเอกของโลก  ไม่มีศาสดาใดจะเท่ียมเท่านั้น  ก็เพราะชาติวงศ์ของพรพุทธเจ้าก็เป็นกษัตริย์สุขุมาบยชาติ  เพราะฉนั้น  การศึกษาประวัติสุนทรภู่จึงควรสนใจบิดามารดาของท่านด้วย 
     สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ทรงกล่าวถึงบิดาสุนทรภู่ว่า

     "บิดาที่บวชอยู่  เป็นฐานานุประเทศอธิบดี  จอมกษัตริย์โปรดปรานประทานนาม  เจ้าอารามอรัญธรรมรังสี  ด่ั่งนี้สันนิษฐานว่า  เห็นจะเป็นฐานานุกรมของพระครูธรรมรังสี   เจ้าคณะเมืองแกลง  ไม่ใช่่ได้เป็นตำแหน่งพระครูเอง" 

     การที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานเช่นนี้  ก็สันนิษฐานจากคำว่า  "ฐานานุประเทศ" โดยทรงจับเอาคำ่า "ฐานา" มาว่าเป้น "ฐานานุกรม"  (ฐาน + อนุุ + กรม)  แต่ที่จริงแล้วคำว่า  "ฐานานุกรม"  กับ "ฐานานุประเทศ" มีความหมายต่างกัน

     "ฐานานุกรม" แปลว่า "ตำแหน่งกรมการน้อย"  หมายถึงพระภิกษุที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานน้อย   คือช่วยทำงานให้แก่พระราชาคณะผู้ใหญ่ เช่น ตำแหน่งพระราชาคณะ มีสิทธิ์ต้ังพระภิกษุให้เป็นฐานานุกรมได้ ๘ รูป ๑๐ รูป   อย่างเช่น สมเด็จพระสังฆราชพระกิตติวุฒโฑภิกขุ   เป็นพระอุดรคณาภิรักษ์  นี่ก็เป็นตำแหน่งฐานานุกรมของสมเด็จพระสังฆราชวัดพระเชตุพน   เป็นต้น คือ มีตำแหน่งเป็นคณะกรรมการน้อยของสมเด็จพระสังฆราช  ช่วยทำงานให้สมเด็จพระสังฆราชในการบริหารการคณะสงฆ์  ไม่ใช่มีตำแหน่งที่พระราชาทรงต้ังเองโดยตรง

          "ฐานานุกรม"  แปลว่า "ตำแหน่งกรมการเมือง"  (อนุประเทศ แปลว่า ประเทศน้อยหรือ หัวเมือง ) สุนทรภู่่่ท่านบอกว่าบิดาของท่านเป็น  "ฐานุประเทศอธิบดี" อธิบดี แปลว่า ใหญ่ ถ้าแปลคำว่า "ฐานานุประเทศอธิบดี" ก็ต้องแปลว่า  "มีตำแหน่งเป็นใหญ๋ในกรมการเมืองฝ่ายสงฆ์เมืองแกลง"   คือ เป็นใหญ่ในเมืองแกลงฝ่ายสงฆ์  ได้แก่ "เป็นเจ้าคณะเมืองแกลง" นั่นเอง    ไม่ใข่มีตำแหน่งเป็นฐานานุกรมของเจ้าคณะเมืองแกลงแต่อย่างใด  สุนทรภู่ยังบอกต่อไปว่า   "จอมกษัตริย์โปรดปรานประทานนาม"  จะโปรดปรานประทานนามใครไปไม่ได้  นอกจากโปรดปรานประทานนามบิดาสุนทรภู่นั่นเอง  เพราะสุนทรภู่ไม่ได้กล่าวถึงคนอื่น   ท่านกล่าวถึงบิดาโดยตรงว่า จอมกษัตริย์โปรดปรานประทานนาม  คือ พระราชทานราชทินนามสมณศักดิ์ให้  จอมกษัตริย์องค์น้ันคือองค์ใด  ก็บิดาสุนทรภู่บวชเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๐  จนถึงปีสุนทรภู่ไปเมืองแกลง พ.ศ. ๒๓๕๐  ก็อยู่ในสมัยรัชกาลที่ ๑  จอมกษัตริย์ในที่นี้คือ  รัชกาลที่ ๑ นั่นเอง  
     สุนทรภู่ยังได้กล่าวถึงบิดาต่อไปว่า  เป็น  "เจ้าอารามอรัญธรรมรังสี"  คือ บอกว่า เป็นเจ้าอาราม  มีราชทินนามสมณศักดิ์ว่า "พระครูธรรมรังสี"  เปิดดูในทำเนียบสมณศักดิ์แล้วปรากฎว่า   พระครูธรรมรังสีเป็นตำแหน่งเจ้าคณะเมืองแกลงฝ่ายอรัญวาสี บิดาสุนทรภู่เป็นพระสายปฎิบัติธุดงควัตร  หรือพระสายวิปัสสนาธุระ  ไม่ใช่พระฝ่ายคันถธูระ  คือ เป็นพระคณะวัดป่าแก้ว  เรียกว่าคงจะมีคนเคารพนับถือมาก   มีชื่อเสียงมากพอสมควรทีเดียว  ความจึงทราบถึงพระเนตรพระกรรณจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้มีสมณศักดิ์เป็น พระครูธรรมรังสี มีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะเมืองแกลง ฝ่ายอรัญวาสี ในสมัยน้ันเจ้าคณะสงฆ์แบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ  ฝ่ายคามวาสี และฝ่ายอรัญวาสี แม้วัดในกรุงเทพฯ เช่น วัดสระเกศ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ นี้ก็ยังมีเจ้าอาวาส ๒ รูป ครองอารามร่วมกันเป็นผู้ปกครองสงฆ์ คือ พระธรรมทานาจารย์ (ภู่)  เจ้าอาวาสฝ่ายคันถธุระ  พระวินยานุกูล (ศรี)  เจ้าอาวาสฝ่ายวิปัสสนาธุระ  
     เรื่องบิดาของสุนทรภู่นี้  แม้  ก.ศ.ร. กุหลาบ นักประวัติศาสตร์พงศาวดารสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็สนใจได้จดไว้เป็นหลักฐานในหนังสือ  "สยามประเทศ"  ว่า
     "ขุนสุนทรโวหาร (ภู่)  เป็นบุตร  ขุนศรีสังหาญ (พลับ)   บ้านมีอยู่หลังป้อมวังหลัง  เป็นสะเตเชั่นรถไฟ  สายเพชรบุรี  มารดาชื่อใดไม่ทราบ"  
     ก.ศ.ร.  กุหลาบ  คนนี้เป็นผู้สนใจในประวัติศาสตร์พงศาวดารโบราณคดี ได้ศึกษาค้นคว้าทางนี้มาก แต่สมัยน้นัยังหวงวิชากันอยู่  ก.ศ.ร. กุลาบจึงต้องเที่ยวลักค้นลอกเอาจากตำรับตำราในหอสมุดหลวง  แต่เกรงพระอาญา  จึงต้องคัดแปลงแต่งต่อเติมเอาบ้าง  ลบศักราชเสียบ้าง  เพื่อมิให้มีโทษว่าลักคัดลอกตำราหลวง  ทำให้เป็นที่สงสัยว่าไปเอามาแต่ไหน   ก.ศ.ร. กุลาบก็อ้าวว่าเอามาจากตำราเก่าของเจ้นายขุนนางที่เสียชีวิตไปแล้ว  คราวหนึ่งแต่งพระราชพงศาวดารเพิ่มเติมว่า   พระจอมเกศ พระจุลจอมเกศ  ล่อพระนามพระเจ้าอยู่หัว  จึงถูกสอบสวน ก.ศ.ร. กุหลาบก็สารภาพว่า  ทำให้เจ้านายไม่เชื่อถือ  ก.ศ.ร .กุหลาบว่า "กุเรื่อง"  คือ โกหก คำว่า กุหลาบ ก็เลยกลายเป็น" กุหก " หรือ "โกหก"  ไปเสีย  แต่ในหนังสือ  "สยามประเทศ"  ก็มีพงศาวดารและประวัติบุคคลที่เป็นจริงอยุู่เกือบทั้งหมด  เราจะโทษ ก.ศ.ร. กุหลาบไม่ได้  ต้องโทษเรื่องธรรมเนียมหวงวิชาของคนไทยเราทีทำให้  ก.ศ.ร. กุหลาบต้องเบือนต้องแปลงไปบ้าง  เพื่อมิให้ต้องได้รับโทษฐานคัดลอกหนังสือหลวง ก็น่าแปลกใจแม้หนังสือราชกิจจานุเบกษาก็มีข้อห้ามเอาไว้ว่า ห้ามคัดลอก  อย่างไรก็ดี เราก็ได้รู้จักชื่อของบิดาของสุนทรภู่จากหนังสือสยามประเทศว่าชื่อ "ขุนศรีสังหาญ (พลับ) ก.ศ.ร.กุหลาบยังบอกต่อไปอีกว่า ่"ได้พบตัวนายพัด  บุตรชายสุนทรภู่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗ ขณะนั้นนายพัดอายุ ๘๖ ปี ความจำยังดีไม่หลงลืม แต่ไม่เป็นนักปราชญ์เหมือนบิดา  

     สุนทรภู่บอกว่า เมื่อไปเยี่ยมบิดาในปีพ.ศ. ๒๓๕๐  นั้นบิดาของสุนทรภู่

     "เจริญพรตยศยิงโมลี
     กำหนดยี่สิบพรรษาสถาพร"
     บอกว่า   "เจริญพรตยศยิ่งโมลี"  คือ มียศศักดิ์สุงเหนือเกล้าของพระสงฆ์ทั่วไปด้วย
     บอกไว้ชัดเจนว่า่  "บวชมา ๒๐ พรรษาสถาพร"  เป็น "มหาเถร" แล้ว
     ได้ตรวจดูทำเนียบข้าราชการวังหลังดูแล้ว   ปรากฎว่า มีตำแหน่ง  ขุนศรีสังหาญ  ปลัดกรมขวา   กรมอาสาวิเศษซ้าย   ศักดินา  ๓๐๐ ไร่ จึงมีหลักฐานแน่ชัดว่า  ขุนศรีสังหาญ มีตำแหน่งนามบรรดาศักดิ์อยู่ในวังหลังจริง  เข้ากับเรื่องที่สุนทรภู่รับราชการอยู่ในสังกัดวังหลัง   ไม่ใช่เรื่องที่กล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยเลย   จะขอยกทำเนียบข้าราชการวังหลังมาให้ดู  ดังนี้
     กรมอาสาวิเศษซ้าย
     หลวงวิจารณ์ภักดี    เจ้ากรม ศักดินา  ๔๐๐
     ขุนศรีสังหาญ       ปลัดกรมขวา  ศักดินา  ๓๐๐ 
     ขุนพิมานนที           ปลัดกรมซ้าย  ศักดินา   ๓๐๐
     ทำเนียบนามตำแหน่งในกรมอาสาวิเศษซ้ายนี้  แสดงหลักฐานแน่ชัดว่า ขุุนศรีสังหาญ (พลับ)   มี่ตำแหน่งเป็นนายทหารสังกัดอยู่ในกรมอาสาวิเศษซ้ายนี้ ซึ่งเป็นกรมในสังกัดกรมล้อมวัง  ในกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข   เรียกในสมัยนี้ก็คงเท่ากับกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์  ซึ่งก็ไม่ใช่ตำแหน่งเล็กน้อยนัก  บุตรชายของท่านจึงได้เข้ารับราชการอยู่ในวังหลังด้วย ในตำแหน่งมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์  พระราชโอรสของวังหลัง  กรมพระราชวังหลังสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๓๔๙  พระชนมายุ ๖๑ พรรษา เม่ื่อวังหลังสวรรคตแล้วเป็นธรรมเนียมของข้าราชการจะต้องโอนมาสังกัดวังหน้า  ตอนนี้เองที่สุนทรภู่จะต้องโอนมาสังกัดวังหน้าด้วย ในปีพ.ศ.๒๓๔๙ นั้นเอง

     ปีพ.ศ.๒๓๕๐ สุนทรภุ่อายุครบ ๒๐ ปี  จีงได้เดินทางไปหาบิดา  ต้ังใจจะไปบวชด้วย ได้ไปหาบิดาที่วัดบ้านกร่ำ  เมืองแกลง วัดที่พระครูธรรมรังสีเป็นเจ้าอาวาสอยู่  แต่ก็เกิดป่วยเป็นไข้ต้ังแต่เดือน ๗ จนถึงเดือน ๙ เลยไม่่ได้บวช  จึงได้เดินทางกลับในเดือน ๙ ปีพ.ศ.๒๓๕๐ (วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๕๐) นั้น สุนทรภู่รำพันว่า
                                "โอ้ชนนีอยู่ศรีอยุธยา
                                   บิดามาอ้างว้างอยู่กลางไพร"

 สุนทรภู่ถึงจะไม่กำพร้าบิดาตายจากก็จริง   แต่ก็พลัดพรากจากบิดาตั้งแต่อายุเพียง ๑ ขวบ  ดาวอาทิตย์เป็นวินาศแก่ลัคนาตามตำราโหราศาสตร์ น่าจะต้องพลัดพรากจากบิดาจริงตามตำราว่าไว้  แต่บิดาของสุนทรภู่ไม่ใช่คนไร้หัวนอนปลายตีน  เป็นข้าราชการทหารมีบรรดาศักดิ์เป็นขุนศรีสังหาญ ตำแหน่งปลัดกรม ศักดินา ๓๐๐ ไร่  ศักดินาสูงกว่านายนรินทร์ธิเบศ ซึงมีศักดินา ๒๐๐ ไรเสียอีก   ถ้าเทียบตำแหน่งปัจจุบัน  ปลัดกรมก็เท่ากับเลขานุการกรม  น่าจะเทียบเท่ากับข้าราชการระดับพันโท พันเอก   เจ้านายผู้่ใหญ่แม้พระเจ้าอยู่หัวก็น่าจะทรงทราบประวัติดีอยู่ เมื่อไปบวชอยู่   จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็น  พระครูธรรมรังสี เจ้าคณะเมืองแกลง ฝ่ายอรัญวาสี  เทียบตำแหน่งปัจจุบันก็เท่ากับเจ้าคณะจังหวัด  เป็นพระราชาคณะแล้ว


     ส่วนมารดาสุนทรภู่น้ันพบในที่แห่งหนึ่งว่าชื่อ  ช้อย  เป็นชาวแปดริ้ว แต่แน่นอนเป็นแม่นมในพระราชธิดาของวังหลัง คือพระองค์เจ้าหญิงจงกล  แปลว่าทำงานอยู่ในวังหลังนั่นเอง  คนที่เป็นแม่นมโอรสธิดาเจ้านายนี้  ท่านมักจะเลือกสรรกันมากพอสมควรทีเดียว  คือต้องเลือกเอาคนมีชาติมีตระกูล รูปร่างลักษณะดี นมดีด้วย  เพราะว่าจะต้องให้ลูกท่านดื่มนมในอก   เท่ากับเป็นแม่คนที่สองของเจ้านายเล็กๆ  มีตำราท่านเลือกแม่นมมาแต่โบราณแล้ว   มีกล่าวในกาพย์มโนรา ว่าดังนี้


๐ สั่งให้หาแม่นม   อ้อนแอ้นเอวกลม  รูปทรงพร้อมด้วยลักษณา
เชื้อชาติผู้ดี           สกุลมีจึงเอามา     พงศ์เผ่าเหล่าพระยา  มีอัชฌาเชื่อผู้ดี 
๐ ลางนางผิวพรรณขาว นมยานยาวถึงนาภี  นมใสไม่สู้ดี  ลางนางมีนมเป็นพวง
๐ เลือกเสียมิให้เอา มิให้เฝ้าพระลูกหลวง  ลางนางนมคัดทรวง เต่งต้ังเต้าไม่เข้าการ
๐ ลางนางน้้นนมงอน  น้ำนมน้ันเปรี้ยวไม่สู้หวาน  เอาแต่พอประมาณ  พานคล้อยๆน้อยจึงดี
๐ เนื้อหนังอ่อนละไม  ทรงวิไลเลิศสตรี  ปัญจะกับยานิ  ผิวผ่องสีเนื้อดำแดง
๐ เอาใส่ในราชการ  น้ำนมหวานไม่แสลง  สั่งให้เร่งจัดแจง  รู้คล่องแคล่วกิริยา"

     แสดงว่าแม่นมนี้ท่านเลือกคนดีมีสกุล  รูปร่างดี  นมดีด้วย  คนที่เป็นแม่นมพระองค์เจ้านี้  จึงเป็นประกาศนียบัตรอยู่ในตัวว่ามีคุณภาพ   ก็เอาเป็นว่า  แม่ช้อยมารดาสุนทรภู้น้ันเป็นคนดีมีตระกูล  รูปร่างหน้าตาดี  เป็นคนคล่องแคล่วรู้ขนมธรรมเนียมในรั้่วในวังดีด้วย   บิดามารดาของสุนทรภู่จึงต้องเป็นคนดีทั้งสองฝ่าย  



(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ๒. วันเดือนปีเกิด



๒. วันเดือนปีเกิด

     สุนทรภู่เป็นกวีโบราณเพียงคนเดียวที่มีผู้จดวันเดือนปีเกิดไว้  แม้เวลาตกฟากก็จดไว้ด้วย  ไม่ได้จดเปล่าๆ ยังผูกดวงชะตาไว้เป็นตำราโหาราศาสตร์ด้วย  เพราะเหตุที่สุนทรภู่เป็นอัจฉริยบุรุษทางการกวี  มีชีวิตโลดโผนพิสดารมาก ได้ดีแล้วก็ตกยาก  รุ่มรวยคนรัก  แต่คนรักให้โทษให้ทุกข์  ได้ดีเพราะเป็นกวีแต่ตกยากก็เพราะเป็นกวี  บรรดาผู้สนใจในวิชาโหราศาสตร์  แม้เจ้านายก็สนใจจึงได้จดวันเดือนปีเกิดผูกดวงชะตาไว้   เข้าใจว่าสมเด็จกรมพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นผู้จดไว้แล้วผูกดวงชะตาดูว่า   ดวงดาวอะไรให้คุณ จึงเกิดมาเป็นกวีมีชื่อเสียงโด่งดังนัก  ดาวดาวอะไรให้คุณจึงเป็นกวีคนโปรดของพระเจ้าแผ่นดิน   ดาวดาวอะไรให้คุณจึงเจ้าชู้มีคู่หลายคน  ดาวดาวอะไรให้โทษจึงตกยาก  พลัดพรากจากคู่ จากยศถาบรรดาศักดิ์   การผูกดวงชะตานี้โหรต้องรู้เวลาตกฟากด้วย จึงจะวางลัคนาหรือจุดกำเนิดได้ว่าอยู่ราศีอะไร มีฤกษ์ยามอย่างไร   ฉนั้นเราจึงต้องขอบคุณโหราจารย์ คือ  กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ที่ทรงผูกดวงชะตาสุนทรภู่ไว้เป็นหลักฐาน  ทำให้เราได้ทราาบวันเดือนปีเกิดของสุนทรภู่โดยแน่นอน  และต้องขอบพระเดชพระคุณสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ที่ทรงนำดวงชะตาสุนทรภู่มาเผยแพร่ให้รู้กันอย่างแพร่หลายทั่วไป  ในดวงชะตาน้ันบอกไว้ด้วยว่า  "สุนทรภู่ อาลักษณ์ขี้เมา"     ทำให้เรานึกว่าสุนทรภู่เป็นคนขี้เหล้าเมายาถึงขนาดที่คนเอามาคุยกันสนุกปากว่า  เวลาสุนทรภู่ดื่มเหล้าเมาแล้ว   เสมียน ๒ คนซ้ายขวาก็จดคำกลอนที่สุนทรภู่คิดบอกให้จดไม่ทัน  เพื่อแสดงว่าถ้าสุนทรภู่เมาแล้วหัวสมองแล่นอะไรทำนองน้ัน  ดูจะเป็นสำนวนของนักเลงสุราอ้างสรรพคุณของสุรายาดองเสียมากกว่า  ความจริงแล้วไม่มีหลักฐานใดยืนยันเลยว่าสุนทรภู่เมาเหล้า  ถ้าดูตามชะตาแล้วอังคารศุกร์กุมลัคนาเสาร์ราหูเล็งเช่นนี้ น่าจะทำให้สุนทรภู่  "เมารัก เมาอักษร  เมาบทกลอน เมาสตรี เมาตัวเมาตนเสียมากกว่า"  คือ เมาอารมณ์ เมาใจภายในเสียมากกว่าเมาสุราสิ่งภายนอก
     วันเกิดสุนทรภู่มีหลักฐานแน่ชัดว่า  เกิดวันจันทร์ เดือน ๘ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีมะเมีย จ.ศ. ๑๑๔๘  เวลา ๒ โมงเช้า  ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙  ปีนี้นอกจากสุนทรภู่เกิดมาเป็นกวีแล้ว  ยังมีเจ้าหญิงนักกวีอีกองค์หนึ่งเกิดมาเป็นกวีด้วย  คือ พระองค์เจ้าหญิงกำภูฉัตร  พระราชธิดาของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท   ผู้ทรงนิพนธ์เพลงยาวนิพพานวังหน้า
     สุนทรภู่เกิด พ.ศ.๒๓๒๙  นับจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๖๕ ที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนิพนธ์ประวัติสุนทรภู่นั้น  ก็เป็นเวลานานถึง  ๑๓๖ ปี  ถ้านับจากปีพ.ศ.๒๓๙๙ ที่สุนทรภู่ถึงอนิจกรรม (เราต้องใช้คำว่า อนิจกรรม  เพราะท่านเป็นคุณพระ  จางวางกรมพระอาลักษณ์ ศักดินา  ๒๕๐๐ ไร่)  ก็เป็นเวลา ๖๕ ปี  ถ้านับถึงปี พ.ศ.๒๕๓๐ นี้   สุนทรภู่ก็เกิดมาในโลกนี้  ๒๐๑ ปี  และจากโลกนี้ไปนานถึง  ๑๓๑ ปีแล้ว   แต่ดูเหมือนว่าคนอ่านบทกวีของสุนทรภู่  จะรู้สึกว่าสุนทรภู่เกิดมาร่วมยุคร่วมสมัยเดียวกับเรา  เพราะบทกวีของท่านมีเสน่ห์ติดใจคน  ถึงใจคนยิ่งกว่ากวีอื่นใด   บทกวีของท่านอบอวลไปด้วยอารมณ์กวี  ใช้ถ้อยคำภาษาเป็นภาษาพูดธรรมดา  เป็นบทกวีประเภท "บรรยายโวหาร"  บรรยายให้เห็นภาพพจน์โดยเฉพาะคำกลอนนิราศ   ท่่านบรรยายเหมือนสารคดีท่องเที่ยว  บรรยายให้เห็นการเดินทางโดยตลอด   ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าเดินทางไปกับท่าน   นิราศสุพรรณกับนิราศนรินทร์ที่มีคนว่า   นิราศสุพรรณของสุนทรภู่ไพเราะสู้นิราศนรินทร์ไม่ได้นั้น    ถ้าจะเปรียบเทียบกันแล้ว  ก็เห็นได้ชัดว่า  นิราศนรินทร์เป็นประเภท  "พรรณาโวหาร"  พรรณนาแต่ความรักความอาลัย เป็นความเพ้อฝันตามอารมณ์  ไพเราะในแง่อักษรศาสตร์ก็จริง  แต่อ่านจบแล้วก็มัวเต็มที  มองไม่เห็นภาพพจน์เลย  ว่าตัวท่านผู้นิพนธ์คือใคร  ไปไหน เดินทางไปอย่างไร  ไปกับใครบ้าง  ถึงบ้านถึงเมืองไหนเป็นอย่างไร  การเคลื่อนไหวในการเดินทางเป็นอย่างไร  พร่ามัวเต็มที  (เพราะกวีผู้แต่งนั้น เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เป็นจอมทัพ เดินทางไปอย่างเจ้านายสูงศักดิ์  ไม่ได้สัมผัสกับผู้คนผู้ร่วมคณะเดินทางอะไรนัก  ไม่ได้สัมผัสกับผู้คนรายทางเลย เพราะท่านนักกวีเป็นถึงพระมหาอุปราชวังหน้า   กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์  ทรงพระนิพนธ์ไว้ในนามของนายนรินทร์ธิเบศร์ (อิน) มหาดเล็ก  ก็จำเป็นอยู่เองที่ต้องนิพนธ์แบบเพ้อฝันเช่นน้้น)    แต่นิราศสุพรรณของสุนทรภู่  เป็นนิราศบรรยายโวหาร  บรรยายไปตลอดทางให้เห็นภาพพจน์การเดินทางว่าไปกันอย่างไร  พักที่ไหน พบใคร เป็นอย่างไร  แม้แต่พบพระเตะตะกร้อ  เล่นตีไก่  ท่านก็ได้บรรยายไว้  เพราะท่านเดินทางแบบชาวบ้าน  ได้สัมผัสกับผู้คนร่วมคณะเดินทางและสัมผัสกับผู้คนระหว่างทางไปตลอด  ท่านจึงแต่งนิราศสุพรรณแบบบรรยายโวหาร   ทำให้เกิดความเป็นกันเองกับผู้อ่าน  โดยเฉพาะนิราศคำกลอน ที่เป็นความแตกต่างกันกับนิราศประเภทพรรณนาโวหาร  ถึงจะไพเราะแต่ก็ไม่เป็นกันเองกับอารมณ์คนอ่าน   และไม่มีเสน่ห์ติดใจคนอ่านเหมือนคำกลอนสุนทรภู่  เพราะเหตุที่คำกลอนของสุนทรภู่มีเสน่ห์ติดใจคนนี่แหละ  ทำให้ท่านเป็นกวีมีชื่อเสียง เป็นที่กล่าวขวัญกันมาก ทั้งสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่และถึงอนิจกรรมแล้วก็ยังดังอยู   เป็นเหตให้โหราจารย์ต้องจดวันเดือนปีเกิดของสุนทรภู่  เราจึงต้องขอบพระคุณโหราจารย์โดยเฉพาะสมเด็จกรมพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์  และสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ที่ได้ทรงผูกดวงชะตาและเผยแพร่ดวงชะตาของสุนทรภู่ไว้ให้เราทั้งหลายได้รู้กันโดยแพร่หลาย  จนอาจจะพูดได้ว่า   ในหมู่นักศึกษาวรรณคดีไทย  ใครไม่รู้วันเดือนปีเกิดของสุนทรภู่แล้ว   ก็เรียกว่า ยังไม่ผุดเกิดในวงวรรณคดีทีเดียว
     สำหรับข้าพเจ้านั้นขอขอบพระเดชพระคุณสมเด็จในกรมทั้งสองพระองค์เป็นอย่างสูง  เพราะถ้าไม่ได้สองพระองค์วางพื้นฐานไว้แล้ว  ก็ไม่สามารถจะเขียนเรื่องนี้ได้เลย  งานเขียนเรื่องนี้ได้อาศัยพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นพื้นฐานโดยตลอด 

     ข้างล่างนี้คือลักษณะดวงชะตาของสุนทรภู่ มหากวีผู้เมารัก เมาอักษร เมาตนจนเป็นมหากวีผู้ยิ่งใหญ่   




     ลักษณะดวงชะตาอย่างนี้  ถ้าหากว่าใครมีความรู้ท่างโหราศาสตร์พอสถานประมาณแล้ว  ก็จะรู้ได้ทันทีว่า  ไม่ใช่ดวงชะตาของคนธรรมดา  แต่เป็นดวงชะตาของ "พิเศษบุรุษ"  มีเกียรติยศ มีชื่อเสียง  เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต  เป็นคนเจ้าชู้  เจ้าอารมณ์ เจ้าแห่งความรัก  เป็นศิลปิน แต่จะมีทุกข์ ยากจน พลัดพรากจากบิดามารดา   และตำแหน่งหน้าที่   ส่วนว่าใครจะอ่านดวงได้ดีเพียงใด  ก็อยู่ที่วิทยาปรีชาญาณและปฎิภาณของผู้นั้นเป็นคนๆ ไป   แต่หลักวิชาโหราศาสตร์น้ันมีจริง  

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ชีวประวัติ พระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) คำนำ


คำนำ

     ประวัติสุนทรภู่ที่พบใหม่นี้  ได้อาศัยหนังสือเรื่อง "ชีวิตและผลงานของสุนทรภู่" ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงพระนิพนธ์ไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕  เป็นหลัก  โดยเอางานหนังสือของสุนทรภู่ทุกเรื่องมาศึกษา วิเคราะห์ วิจัย วิจารณ์ใหม่  ได้พบเงื่อนงำที่น่าสนใจหลายประการ คือ 
     ๑. สุนทรภู่  มิได้เคยเป็น  ขุนสุนทรโวหาร   เพราะตำแหน่งนี้ไม่มีในทำเนียบตำแหน่งข้าราชการวังหลังและวังหน้า   มีแต่ "หลวงสุนทรโวหาร"   เจ้ากรมราชบัณฑิตย์   จึงเห็นว่า  สุนทรภู่ไม่ได้เป็นขุน   แต่เป็นหลวงสุนทรโวหาร  
     ๒. ไม่ปรากฎหลักฐานจากทีใดๆ เลยว่ า สุนทรภู่ถูกถอดยศ  ถูกปลดตำแหน่ง  เรื่องที่ควรเป็นคือ สุนทภู่เกรงพระบารมี  เกรงราชภัยจากพระนั่งเกล้าฯ  ที่ตนเคยข้ามกรายไว้   จึงหนีออกบวชในนาม ของ  หลวงสุนทรภู่นอกราชการ   ท่านจึงออกนามของท่านว่า   "สุนทร"  อยู่เสมอมาในขณะที่บวชอยู่  
     ๓. เพลงยาวสุนทรสุภาษิตสอนหญิง  ทีว่าเป็นสำนวนกลอนสุนทรภู่น้ัน  ได้พบหลักฐานแน่ชัดว่า   เป็นของนายภู่  จุลละภมร   ลูกศิษย์สุนทรภู่   นายภู่ จุลละภมร  แต่งกลอนมีคำไหว้ครูสำนวนเดียวกันนี้ทุกเรื่อง   
     ๔. นิราศวัดเจ้าฟ้า   น้ัน เป็นสำนวนกลอนของนายพัด   ภู่เรือหงส์   ลูกชายสุนทรภู่  แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๙  นายพัด อายุุได้ ๑๙ ปี  พรรณาถึงเจ้าจอมทองอยู่  พระอัครชายาของกรมพระอนุรักษ์เทเวศร์
     ๕. นิราศพระแท่นดงรัง  ฉบับที่ขึ้นต้นว่า  "นิราศรักหักใจอาลัยหวน"   น้ัน  มีหลักฐานแน่ชัดว่า   เป็นของเสมียนมี  หมื่นพรหมสมพัตศร  (มี  มีระเสน)  โดยแน่นอนไม่มีที่สงสัยเลย  แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๙
     ๖. นิราศอิเหนา นั้น เป็นสำนวนกลอนของกรมหลวงภูวเนตรนริทร์ฤทธิ์ ลูกศิษย์สุนทรภู่  ใช้ถ้อยคำประณีต สูงส่งกว่ากลอนตลาดของสุนทรภู่   เจ้าชายขัตติยกวีพระองค์นี้ทรงนิพนธ์กลอนไพเราะยิ่งกว่าสุนทรภู่  
     ๗. นิราศพระแท่นดงรัง  ฉบับที่ขึ้นต้นว่า  "เณรหนูกลั่นวันทามหาเถร"  นั้น  เป็นสำนวนกลอนของนายกลั่น พลกนิษฐ์  หลานชายเจ้าพระยาพลเทพ (ฉิม พลกนิษฐ์)  แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๘  สุนทรภู่เดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรังด้วย   ยังบวชอยู่ ยังไม่ได้สึก  นายกลั่น พลกนิษฐ์ ยืนยันไว้มั่นคงในเรื่องนี้ว่า   สุนทรภู่บวชมา ๒๑ ปี  จนเป็นมหาเถร    พระที่จะเรียกว่า มหาเถรได้  ต้องบวช ๒๐ ปีขึ้นไป 
     ๘. พระอภัยมณี นั้น สุนทรภู่แต่งถวายเจ้าฟ้ามงกุฎและเจ้าฟาจุฑามณี ที่พลาดจากราชสมบัติ สุนทรภู่แต่งเป็นปริศนาธรรมสอนเจ้าฟ้าสองพระองค์นี้ แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๗
     ๙. เพลงยาวรำพรรณพิลาป นั้น สุนทรภู่แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เป็นเพลงยาวสังวาส แต่งเกี้ยวเจ้านายสาวผู้ทรงโฉมโสภาพระองค์น้ัน  ตามอารมณ์เพ้อฝันของกวีเอก  แต่งเมื่อ พ.ศ.๒๓๘๕
     ๑๐. นิราศเมืองเพชร  แต่งถวายเจ้าฟ้า กรมขุนอิศเรศรังสรรค์  เมื่ออาสาเดินทางไปหาของดีถวายเจ้านายพระองค์นัน  แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๐  ลงเรือที่ท่าหน้าวัดพระเชตุพน ฯ
     ๑๑. นิราศสุพรรณบุรี แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ที่มหากวีเอกคนนี้เพ้อฝันถึงอยู่ในอารมณ์ และยึดเอามาเป็นมิ่งขวัญสิ่งดลบันดาลใจทางกวีนิพนธ์ แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๔
     ๑๒. นิราศพระปธม  แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๕ แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ  เพื่อขอขมาที่แต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปไปถวายเมื่อเดือนมิถุนายน  พ.ศ. ๒๓๘๕ สุนทรภู่แต่งนิราศเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้าย
     ๑๓.สุนทรภู่  แต่งสุภาษิตไว้เรื่องหนึ่ง คือ  สุภาษิตโลกนิติคำกลอน  แต่งเมื่อบวชอยู่วัดสระเกศ ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๘๖ ถึง พ.ศ. ๒๓๙๓ ซึ่งยังไม่เคยมีใครศึกษาค้นคว้าพบมาก่อน  
     ๑๔. สุนทรภู่  สึกออกมารับราชการอยู่ในวังหน้า  พึ่งใบบุญอยู่กับสมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฑามณี  กรมขุนอิศเรศรังสรรค์  ซึงได้รับสถาปนาเป็น  พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  และได้ต้ังให้สุนทรภู่เป็น พระสุนทรโวหาร  (เลื่อนจาก หลวงสุนทรโวหาร นอกราชการ )   มีศักดินา  ๒๕๐๐ ไร่  ตำแหน่งจางวางกรมพระอาลักษณ์  (ไม่ใช่เจ้ากรมอาลักษณ์)
     ๑๕. สุนทรภู่ออกจากราชการเมื่อ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตเมื่อวันที่ ๗ มกราคม  พ.ศ. ๒๔๐๘ แล้วออกไปอยู่บ้านสวนฝั่งธนบุรี  จนถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐  อายุ ๘๑ ปี  คนทีดวงชะตา อายุกุมลัคนาอย่างสุนทรภู่นั้น  อายุเกิน ๘๐ ปีแน่นอน
     ประวัติสุนทรภู่ที่พบใหม่นี้ อาจจะเก่าสำหรับบางท่านที่ทราบอยู่แล้ว  แต่อาจจะทำให้บางท่านไม่เชื่อถือก็ได้  มันสุดแล้วแต่การศึกษาค้นคว้าตื้นลึกแคบกว้างใกล้ไกลของแต่ละคนไม่เหมือนกัน   บางท่านก็อาจจะยึดถืออยู่ในทฤษฎีเดิมที่สมเด็จกรมฯ พระยาดำรงราชานุภาพ  นักปราชญ์องค์น้ันได้ทรงวินิจฉัยไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๕ แต่บัดนี้เวลาล่วงเลยมานานถึง  ๖๕ ปีแล้ว ย่อมจะมี่ผู้พบหลักฐานใหม่ๆ  ขึ้นได้เสมอ  ทฤษฎีในทางวิทยาศาสตร์ยังมีผู้ค้นพบทฤษฎีใหม่ลบล้างทฤษฎีเก่ามาตลอดเวลา  ทฤษฎีในทางการวรรณคดีจึงอาจจะมีผู้ค้นพบทฤษฎีใหม่ลบล้างทฤษฎีเก่าได้  ไม่ใช่เรื่องศฺิษย์คิดล้างครูอะไรเลย  ถ้าแม้นสมเด็จพระองค์น้ันยังทรงมีพระชนม์อยู่   ท่านก็อาจจะยอมรับด้วยวิจารณญาณของนักปราชญ์ผู้รักสัจธรรม
     เพราะฉนั้น   ข้าพเจ้าจึงเสนอทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับสุนทรภู่ให้ท่านผู้สนใจ พิจารณากันใหม่   การศึกษาวิชาวรรณคดีในปัจจุบันนี้จำต้องมีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ มีการวิจัย  พิสูจน์ ตามหลักวิชา มิใช่ว่าอะไรตามกันไปเหมือนแต่ก่อน   การศึกษาจึงจะมีรสชาติ  ไม่น่าเบื่อหน่าย  ข้าพจ้าหวังว่าเรื่องนี้คงจะเป็นที่สนใจของท่านผู้ที่รักบทกวีของสุนทรภู่โดยทั่วกัน   เรืองผิดถูกไม่สำคัญ มันสำคัญอยู่ที่ว่าสุนทรภู่เป็นมหากวีของโลกแล้ว   เราจึงต้องพูดถึงสุนทรภู่กันด้วยจิตใจทีเคารพท่านมหากวีผู้ล่วงลับไปแล้ว ไม่บังควรที่จะพูดถึงท่านในทางเสื่อมเสียเกียรติยศ  เพราะท่านไม่สามารถจะลุกขึ้นมาแก้ตัวอะไรได้แล้ว   แม้บทกวีที่มิใช่ของท่านก็ไม่บังควรที่จะไปโมเมจับยัดปากท่าน  เพราะจะทำให้บทกวีของท่านเสื่อมเศร้าหมองลงไป  ตัวอย่างเช่น เพลงยาวสุภาษิตสอนหญิงนั้น  ฝีปากไมถึงขั้นมหากวีผู้นี้เลย  ก็ไม่บังควรจะดึงดันกันต่อไป  เมื่อมีหลักฐานตัวกวีผู้แต่งที่ชื่อ นายภู่ จุลละภมร  แต่งบทกวีใช้คำไหว้ครูสำนวนเดียวกันนี้ทุกเรื่อง  และสุนทรภู่แต่งบทกวีก็ไม่เคยไหว้ครูเลยแม้แต่เรืองเดียว  หรือแม้แต่กลอนที่ไพเราะเพราะพริ้งเกินกลอนสุนทรภู่    อย่างนิราศอิเหนา ของกรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิ์  ก็ต้องถวายพระเกียรติยศให้ท่านเจ้าชายนักกวี  โอรสพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ขัตติยกวีพระองค์นั้น  ไม่ควรจะเหนี่ยวลงมาเป็นกลอนสุนทรภู่ต่อไป 
     ข้าพเจ้าขอเรียนว่า  คนที่จะรู้ฝีมือของนักดนตรี จะต้องเป็นนักดนดรีด้วยกัน  คนที่จะรู้ฝืมือของนักกวีจะต้องเป็นนักกวีด้วยกัน   คนที่ไม่ใช่นักกวีน้ัน คงจะแยกแยะไม่ออกว่า  คำกวีอย่างไหน  เป็นฝีมือนักกวีระดับใด  คนที่จะวิจารณ์กวีสุนทรภู่ได้ดี  ควรเป็นกวีทีเข้าถึงอารมณ์กวี มีความชำนาญในอรรถรสของกวีพอสมควร 

                                    เทพ    สุนทรศารทูล
                                                                                        
                                    ๑  มิถุนายน  ๒๕๓๐

ป.ล. ข้าพเจ้าใช้เวลาเขียนเรื่องนี้อยู่  ๖ เดือน   แต่ใช้เวลาศึกษาค้นคว้ามาตั้งแต่พ.ศ.๒๔๙๕  จนถึง พ.ศ. ๒๕๓๐   เป็นเวลานานถึง  ๓๕ ปีเต็ม  ก็มีผลการศึกษาค้นคว้าออกมาอย่างนี้




วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ชีวประว้ติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ๔. การศึกษา


๔. การศึกษา


     สุนทรภู่เกิดในบริเวณวังหลัง  คือบริเวณที่เป็นโรงพยาบาลศิริราช และสถาณีรถไฟบางกอกน้อยทุกวันนี้  ขุนศรีสังหาญ (พลับ)  บิดารับราชการฝ่ายทหารอยู่ในสังกัดกรมทหารล้อมวัง  มีตำแหน่งเป็นปลัดกรมขวา  กรมอาสาวิเศษซ้าย  มีศักดินา ๓๐๐  ไร่  ก็ไม่ใช่ตำแหน่งนายทหารชั้นผู้น้อย   เทียบตำแหน่งปัจจุบันนี้ก็เท่ากับนายพันโทพันเอก  มารดาสุนทรภู่ก็รับราชการฝ่ายใน  เป็นแม่นมของพระธิดาวังหลัง   คือ พระองค์เจ้าจงกล  ก็นับว่าเป็นฝ่ายใกล้ชิดเจ้านายชั้นสูงระดับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน   สุนทรภู่จึงเติบโตขึ้นมาในวัง   เรียกว่าได้อยู่ในสำนักการศึกษาที่ดีมาแต่เด็ก   วัดและวังเป็นสถานการศึกษาของคนในสมัยก่อน  สุนทรภู่นับว่าโชคดีกว่าเด็กชายชาวบ้านคนอื่นๆ  อีกมาก   การที่ได้รับการศึกษาวิชาความรู้และสมบัติผู้ดีจากในวังนึ้แหละเป็นพื้นฐานชีวิตของสุนทรภู่ที่สำคัญมาก   เพราะเท่ากับสุนทรภู่ได้อยู่ในสำนักทีดี  อยู่ในสังคมชั้นสูง  ทำให้รู้ขนบธรรมเนียมประเพณี  ได้มีโอกาสศึกษา  อ่่านตำรับตำราจากในร้ัวในวังเจ้านาย  ถ้าจะว่าไปแล้วเท่ากับสุนทรภู่ได้ผ่านมหาวิทยาลัยในสมัยโบราณมาแล้่ว   โอกาสในชีวิตของสุนทรภู่ไม่่ด้อยไปกว่าบุตรธิดาของเจ้านายเลย   แม้ในชั้นหลังเจ้านายยังไว้ใจในความรู้และคุณสมบัติของสุนทรภู่ถึงแก่นำเอาโอรสมาฝากให้เป็นลูกศิษย์สุนทรภู่ด้วย  นี่คือประกาศนียบัตรรับรองความรู้และความเชื่อถือของเจ้านายในสมัยนั้น 
     ดูเหมือนว่านอกจากในวังแล้ว   สุนทรภู่ยังเคยเป็นเด็กวัดแจ้งด้วย   ได้กล่าวไว้ในนิราศสุพรรณบุรีว่าดังนี้
                         "วัดแจ้งแต่งตึกตั้ง              เตียงนอน
                           เคยปกนกน้อยคอน           คู่พร้อง
                           เคยลอบตอบสารสมร        สมานสมัคร  รักเอย
                           จำพรากจากนุชน้อย         นกน้อย  ลอยลม ฯ"

     แสดงว่าเคยเป็นเด็กวัดแจ้ง   จึงกล่าวถึงตึกเตียงที่นอน   แล้วกล่าวถึงหญิงชื่อนกว่าเคยแต่งสารโต้ตอบกัน   เคยมีสัมพันธสวาทกับหญิงชื่อนกคนนี้ แล้วก็พลัดพรากจากกันไป  เด็กวัดสมัยโน้นไม่ใช่เด็กเล็กๆ   อายุต้ังแต่  ๘ ปีจนถึง  ๑๕ ปี ๑๖ ปีก็ยังเป็นเด็กวัดอยู่   แม้ข้าพเจ้าเองก็เคยเป็นเด็กวัด   อาศัยวัดเรียนหนังสือมาจนอายุ ๑๕ ปี บางคนอายุ ๑๘ ปี  ๑๙ปีก็ยังมี   เรียกว่าอาศัยวัดมาจนเป็นหนุ่ม

     อีกตอนหนึ่งกล่าวว่า
               
                  "วัดชีปะขาวคราวรุ่นรู้           เรียนเขียน
                    ทำสูตรสอนเสมียน              สมุดน้อย
                    เดินระวางระวางเวียน          หว่างวัด ปะขาวเอย
                    เคยชื่นกลืนกลิ่นสร้อย        สวาทห้าง  กลางสวน ฯ"

     ว่าเคยอยู่วัดชีปะขาวด้วย  คือวัดศรีสุดารามบัดนี้  เคยทำสูตรสอนเสมียนด้วย   คือการสอนการแต่งหนังสือ แต่งสาร หรือแต่งเพลงยาวนั่นเอง  เคยเดินระวาง คือเป็นพนักงานรังวัดที่สวนของวังหลัง  เคยพบหญิงสาวชือสร้อย  เคยมีสัมพันธสวาทกันบนห้าง (โรง) เฝ้าสวน    





   



หอวรรณกรรมพระสุนทรโวหาร  วัดศรีสุดาราม

 

  อีกตอนหนึ่งกล่าวว่า
     "วัดพิกุลรุ่่นกลิ่นเกลี้ยง          กลอยใจ
      แรกรุ่นร้อยมาลัย                  ใส่เหล้น
      เรียบร้อยค่อยสอดไหม        เหมือนแน่  แลเอย
      ร้้อยคล่องต้องน่ังเฟ้น          นวดฟันท่านครู "  

     คงจะเป็นเมื่อสมัยยังเด็กอยู่ในวัง  นั่งร้อยดอกพิกุลทำพวงมาลัย  และต้องนวดเฟ้นครู คือหญิงชาววัง
     การเรียนหนังสือสมัยน้ัน  คือ การเรี่ยนหนังสือไทยและหนังสือขอมด้วยเพราะอักษรที่จารึกในสมุดข่อยและใบลานมักเป็นอักษรขอม  ที่จริงควรเข้าใจด้วยว่า  "หนังสือขอม"  ไม่ใช่หมายความว่าหนังสือเขมร  หนังสือเขมรแปลว่า "หนังสือใหญ่"   คนโบราณเรียกหนังสือขอมว่า  "หนังสือใหญ่"   เพราะ "ขอม" แปลว่า "ใหญ่"   ท่าขนอม   ที่นครศรีธรรมราชน้ัน แปลว่า  "ท่าเรือใหญ่"   ขอม แผลงเป็น ขนอม   แปลว่า ใหญ่  สถานีรถไฟที่มหาชัย ชือ่ สถานีบ้านขอม   แปลว่า  บ้านใหญ่  ไม่ได้แปลว่  บ้านเขมร   วัดวชิรคาม  ที่สมุทรสงคราม  สมภารคยว่า  สมัยก่อนเรียนหนังสือใหญ่ ถามว่าหนังสือใหญ่คือหนังสืออะไร   ท่านตอบว่ า  คือหนังสือโบราณแบบหนังสือขอมนั่นแหละ   ที่วัดยี่สาร  สมุทรสงคราม  มีตุ่มเคลือบขนาดใหญ่  เขาเรียกว่า  ตุ่มขอม   แปลว่า  ตุ่มใหญ่  ไม่ได้หมายความว่า  ตุ่มเขมร   คนโบราณตัวโตๆ  ร่างสูงใหญ่มักจะชือว่า  "ขอม"  หมายความว่า ร่างกายสูงใหญ่  สมัยสุนทรภู่น้ันแน่นอนต้องเรียนหนังสือใหญ่ด้วย  สุนทรภู่นั้ินคงจะสติปัญญาดี  สมองดี ความจำดี ช่างคิด ช่างฝัน ช่างสังเกตุ   ตามตำราโหราศาสตร์ว่า "ดูปัญญาบริสุทธิ์ให้ดูพฤหัส"  ดาวพฤหัสของสุนทรภู่อยูราศีเมษ  ตามตำราว่าเป็นดาวให้คุณแรง  เป็น ๑๐ แก่ลัคนาด้วย   ท่านว่า  เป็นคนมีสติปัญญาสูง  สัมพันธ์กับศุกร์ที่กุมลัคนาร่วมเป็นดาวอังคาร  แสดงว่ามีญาณพิเศษที่เพ้อฝันลึกซึ้ง ลึกล้ำ  สูงส่ง  ส่งผลให้เป็นกวีเอกอย่างไม่ต้องสงสัยเลย  เป็นศิลปิน  เป็นคนเจ้าชู้  มีความใฝ่ฝันอันบรรเจิดคลุกเคล้ามัวเมาอยู่ด้วยความรักความหลงเพราะมีเสาร์และราหูเล็งลัคนาอยู่ด้วย  เต็มไปด้วยอหังการ  คือความถือตัวถือตนว่าเป็นเลิศในทางการกวีไม่มีใครเท่าเทียม   มีมนังการคือนึกว่าตนเองเป็นเจ้าเป็นใหญ่อยู่ในบทกลอน  ขอให้สังเกตุดูประวัติชีวิตของท่านที่ต้องตกยากก็เพราะความหลงตัวหลงตนความทนงตนนี่เอง   "อันหม่อมฉันนี้ที่ดีและที่ชั่ว    ถึงลับตัวแต่ชื่อเขาลือฉาว  เป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว  เขมรลาวลือเลืองถึงเมืองนคร"  นี่คือความทนง ความอหังการของสุนทรภู่
   
     ต่อมาพระองค์เจ้าปฐมวงศ์  พระโอรสของวังหน้า ทรงผนวชที่วัดอรุณราชวราราม สุนทรภู่ก็ได้ติดตามไปเป้นมทาดเล็กรับใช้อยู่ทีวัดอรุณฯ ระยะนี้เองสุนทรภู่ได้แต่งนิยายเรื่อง โคบุตร ขึ้นถวายพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ เป็นเรืองแรก
     เรื่องโคบุตรนี้เป็นชาดกเรื่องหนึ่ง   ความวาแม่โคกับพ่อเสือ มีลูกคนละตัว ลูกโคกับลูกเสือเป็นเพื่อนกัน  วันหนึ่งแม่เสือได้กินแม่โคเสีย  ลูกโคกับลูกเสือรักัน  จึงช่วยกันขวิดและกัดแม่เสือจนตาย  และเป็นเพื่อนกันต่อมา
     สุนทรภู่คงจะติดใจชาดกเรืองนี้มา   เพราะตัวสุนทรภู่เองเปรียบเหมือนลูกโค   ไม่มีเขี้ยวเล็บอะไร  แต่ลูกเสือก็มารักใคร่เป็นมิตรสหายด้วย   พระองค์เจ้าปฐมวงศ์ซึงเปรียบเหมือนลูกเสือ  เพราะมีอำนาจวาสนาเป็นพระราชโอรสของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน  จึงได้แต่งเรื่องนี้ขึ้นทูลเกล้าถวายเป็นเครื่องหมายแห่งความกตัญญูของตน  ต่อมาเมื่อพระองค์เจ้าปฐมวงศ์เสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทที่สระบุรี  ในปลายปี พ.ศ. ๒๓๕๐  น้ัน สุนทรภู่ก็ได้ตามเสด็จไปด้วย จึงได้แต่งนิราศพระบาทขึ้นเป็นเรื่องที่สอง   รองจากนิราศเมืองแกลง ทั้งเรื่องโคบุตร  นิราศเมืองแกลง  นิราศพระบาท เป็นประกาศนียบัตรรับรองคุณวุฒิของท่านว่า   มีฝืมือในการกวีอยู่มาก  เรียกว่าเป็นวิทยานิพนธ์ที่เจ้านายรับรองว่าจบมหาวิทยาลัยแล้วในทางกวี  ได้ปริญญาทางกวีแล้วต้ังแต่น้ันมา  เพราะในสมัยโน้นคนที่จะมีความรู้ถึงขนาดแต่งหนังสือเป็นเรื่องราวได้ถึงขนาดนี้นั้นหาตัวได้ยาก   แม้ปัจจุบันนี้ว่าการศึกษาเจริญมากแล้ว  แต่คนที่จะแต่งกลอนได้ถีงขนาดสุนทรภู่ก็ยังหาได้ไม่มากนัก   ข้าพเจ้าเองก็ลองพยายามแต่งนิราศคำกลอน คำโคลงดูบ้าง แต่งเพลงยาวบ้าง  คิดว่าพอแต่งได้  ก็แต่งได้จริงอยู่แต่จะให้ไพเราะลึกซึ้งกินใจคนอ่าน อบอวลอยู่ด้วยอารมณ์กวีเหมือนสุนทรภู่น้ันทำไม่ได้ ถึงคนอื่นๆจะพยายามตะเกียดตะกายกันอยู่หลายคนในทุกวันนี้   ก็คงจะรู้ๆกันอยู่ว่าเป็นไปได้ขนาดไหน  แม้แต่คนที่่ตำหนิสุนทรภู่ต่างๆ ก็เหมือนนกกระจอกที่กำลังบินแข่งกับนกอินทรี  ถึงอยางไรมหาชนก็ยอมรับในความเป็นกวีเอกของสุนทรภู่   บัดนี้ท่านก็เป็นกวีเอกของโลกไปแล้ว  ท้ังหมดนี้ก็มาแต่พื้นฐานการศึกษาของท่านเป็นส่วนส่งเสริมอย่างสำคัญอยู่ส่วนหนึ่ง   พื้นฐานทางสังคมของท่านที่ได้รับจากบุคคลชั้นสูง   สุนทรภู่สัมพันธ์สัมผัสอยู่กับบุคคลในระดับสูงในรั้วในวัง  จากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินมาตลอดชีวิตของท่านต้ังแต่เล็กแต่น้อยมาจนกระทั่งบวชอยู่ก็อยู่วัดหลวงพระอารามหลวงตลอดท้ัง ๔ วัด  คือ วัดอรุณราชวราราม  วัดพระเชตุพน  ก็ต้ังติดๆอยู่กับวังหลวง วัดราชบูรณะ วัดเทพธิดา  และวัดสระเกศ     ล้วนแต่เป้นวัดหลวงมีเจ้านายเข้าออกทำบุญกุศลอยู่เสมอมา   นี่คือพื่นฐานทางสังคมของท่านสุนทรภู่  เรียกว่าท่านไม่ได้เสวนากับพาลานังเลย   แต่ท่านเสวนากับบัณฑิตมาตลอดชีวิตทีเดียว   เดี๋ยวนี้เราพูดกันว่าชีวิตคือการศึกษา   การศึกษาคือชีวิต  คลอดเวลาเราศึกษาจากชีวิตของการงานและผู้คนในสังคม  จะเห็นได้ว่่าสุนทรภู่มีการศึกษาจากสังคม และผู้คนในระดับบัณฑิตมาโดยตลอด  ชีวิตของท่านไม่ได้มั่วสุมกับพาลชนเสเพลที่ไหนเลย    นี่คืออิทธิพลการศึกษาที่มีต่อชีวิตของสุนทรภู่ 


(โปรดติดตามตอนต่อไป)