๕. หลวงสุนทรโวหาร
แน่อน สุนทรภู่เป็นข้าราชการสังกัดกรมพระราชวังบวรสถานภิมุขมาแต่เดิมที บิดาก็รับราชการทหารเป็นทหารล้อมวัง มารดาก็เป็นแม่นมพระฺธิดาในวังหลัง สุนทรภู่คงรับราชการอยู่ในสังกัดวังหลังมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๓๔๙ คือปีที่พระราชวังบวรสถานภิมุขสวรคต จึงถูกโอนมาสังกัดวังหน้าตามธรรมเนียมราชการสมัยน้ัน เมื่อวังหลังสวรคต ข้าราชการทั้่งฝ่ายหน้าฝ่ายในก็ต้องโอนมาสังกัดวังหน้า จะอยู่ลอยๆ โดยไม่มีสังกัดไม่ได้
แต่แล้วจู่ๆ ก็ว่าสุนทรภู่ได้รับยศถาบรรดาศักดิ์เป็น ขุนสุนทรโวหาร ว่าเป็นอาลักษณ์เสียด้วย ตอนหลังสุนทรภุู่ก็อ้างว่าตัวท่านเป็น "อาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว" เสียด้วย แต่ไม่รู้ว่าท่านเป็นอาลักษณ์เมื่อไรแน่ แต่เป็นที่น่าสงสัยว่าเหตุไฉนอาลักษณ์จึงมียศศักดิ์ต่ำนัก เป็นแต่เพียงขุนสุนทรโวหารเท่าน้้น ตำแหน่งอาลักษณ์นี้ไม่ใช่เล็กน้อย เท่ากับเป็นราชเลขาธิการในพระองค์พระมหากษัตริย์ทีเดียว ขนาดต้องมีคนเกรงกลัวทีเดียว เพราะเป็นคนใกล้ชิดพระยุคลบาท แต่ทำไมหนอจึงมียศเป็นเพียงขุนสุนทรโวหารเท่าน้้น
ความสงสัยนี้ทำให้ต้องค้นคว้าดูทำเนียบข้าราชการวังหลังใ้ห้แน่ใจ เพราะตามธรรมเนียมราชการน้ัน วังหลัง วังหน้า มีสิทธิ์ต้ังยศขุนนางได้ตามทำเนียบยศที่มีอยู่ตามทีทรงพระอนุญาตไว้เท่าน้้น ก็เหือนสมเด็จพระราชาคณะมีสิทธิ์ต้ังยศพระฐานานุกรมได้ตามกำหนดให้ไว้เพื่อประกอบเกียรติยศและเพื่อเป็นข้าราชการช่วยทำการงานราชการเท่าน้้น จะต้ังนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ไมได้ เมื่อตรวจดูทำเนียบข้าราชการวังหลัง ในกรมอาลักษณ์ และกรมราชบัณฑิต ก็ปรากฎดังนี้
กรมอาลักษณ์
พระสุนทรโวหาร จางวาง ศักดินา ๒๕๐๐
หลวงลิขิตปรีชา เจ้ากรม ศักดินา ๑๘๐๐
ขุนสารบรรจง ปลัดกรมขวา ศักดินา ๘๐๐
ขุนจำนงสุนทร ปลัดกรมซ้าย ศักดินา ๕๐๐
กรมราชบัณฑิตย์(ขึ้นแก่กรมอาลักษณ์อีกทีหนึ่ง)
พระมหาวิชาธรรม จางวาง ศักดินา ๕๐๐
หลวงสุนทรโวหาร เจ้ากรม ศักดินา ๔๐๐
หลวงญาณปรีชา ปลัดจางวาง ศักดินา ๔๐๐
ขุนธรรมพจนา ปลัดจางวาง ศักดินา ๓๐๐
ขุนเมธาภิรมย์ ปลัดกรม ศักดินา ๓๐๐
ขุนอุดมปรีชา ปลัดกรม ศักดินา ๓๐๐
ตามทำเนียบนามข้าราชการวังหลังนี้ ไม่มีตำแหน่ง "ขุนสุนทรโวหาร" มีแต่ตำแหน่ง ""หลวงสุนทรโวหาร" เจ้ากรมราชบัณฑิตย์ ศักดินา ๔๐๐ เมื่อไม่มีตำแหนงก็ตั้งไม่่ได้ จะต้ังเอาตามพระทัยชอบนอกทำเนียบไม่ได้ด้วย ตำแหน่งวังหน้าก็ไม่มี มีแต่ตำแหน่ง หลวงสุนทรโวหาร กับตำแหน่ง พระสุนทรโวหาร เพราะฉน้ันจึงอยากจะสันนิษฐานว่า สุนทรภู่ ได้เป็นหลวงสุนทรโวหาร เจ้ากรมราชบัณฑิตย์ อยู่ในวังหลังแล้ว เมื่อวังหลังสวรรคตในพ.ศ. ๒๓๔๙ สุนทรภู่ ก็ถูกโอนมาสังกัดวังหน้าในปี พ.ศ. ๒๓๕๐ สุนทรภู่จึงได้เดินทางไปเมืองแกลง ตอนนี้ท่านก็เป็น หลวงสุนทรโวหารอยู่แล้ว คำกลอนตอนต้นแสดงเค้าเงื่อนอยู่คำหนึ่งว่า
"ถึงทุกข์ใครในโลกที่โศกเศร้า ไม่เหมือนเราภุมรินถวิลหา
จะพลัดพรากจากกันไม่ทันลา ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน"
และบอกว่าไปคร้ังน้ันไปกัน ๔ คน
"กับศิษย์น้องสองนายล้วนชายหนุ่ม น้อยกับพุ่มเพื่อนไร้ในไพรสัณฑ์
กับนายแสงแจ้งางกลางอรัญ จะพากันแรมทางไปต่างเมือง"
คำว่า "สุนทรวอน" คำหนึ่ง กับที่บอกว่า มีลูกศิษย์ลูกน้องสองนายกับนายแสง คนนำทาง อย่างนี้ก็ย่อมแสดงว่าไม่ได้ไปอย่างคนไม่มีบริวาร แต่ไปอย่างคนมีบริวารพอสมควร น่าจะไปอย่าง "หลวงสุนทรโวหาร" ไม่ใช่ไปอย่างนายภู่ คนธรรมดาสามัญแบบชาวบ้านธรรมดา ข้าราชการสมัยโน้นยังไม่มีเงินเดือน มีแต่เบี้ยหวัดคือเงินปีบ้างไม่มากนัก ที่เมืองแกลงน้ันสุนทรภู่เล่าถึงฐานะของกรมการเมืองแกลงว่า
"แล้วไปชมกรมการบ้านเมืองดอนเด็ด ล้วนเลี้ยงเป็ดหมูเนื้่อดูเหลือเข็ญ
ยกกระบัตรคัดช้อนทุกเช้าเย็น เมียที่เป็นท่านผู้หญิงนั่้งปิ้งปลา"
กรมการเมืองก็ต้องเลี้ยงหมู เลี้ยงเป็ด ยกกระบัตรเมือง (เทียบเท่าอัยการ และผู้กับกำการตำรวจภูธรรวมกัน) ยังต้องยกยอช้อนกุ้งกินเอง หลวงสุนทรโวหาร (ภู้่) อย่างท่านก็ไม่ใช่จะโอ่โถงมั่งคั่งร่ำรวยอะไร ทำงานฝ่ายบุ๋น เกียวกับหนังสือ จึงไม่มีอำนาจราชศักดิ์อะไรหนักหนา เดินทางไปเมืองแกลงมีลูกน้องเท่านี้ก็เรียกว่าดีนักหนาแล้ว จึงเชื่อว่าท่านเดินทางไปน้ันเป็นหลวงสุนทรโวหารอยู่แล้ว และตำแหน่งนี้ก็มีศักดินา ๔๐๐ ไร่ ก็ไม่ใหญ่โตอะไรนักหนา พอสมควรกับคุณวุฒฺิของท่าน สุนทรภู่เดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๙ ตรงกับวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๕๐
พอถึงวันจันทร์ขึ้น ๑๒ ค่ำเดือน ๓ ตรงกับวัน่ที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๕๐ ปลายปีน้ัน สุนทรภู่ก็เดินทางไปพระบาทสระบุรี
"จนพระหน่อสุริวงศ์ทรงพระนาม จากอารามแรมร้างทางกันดาร
ด้วยเรียมรองมุลิกาเป็นข้าบาท จำนิราศแรมนุชสุดสงสาร"
สุนทรภู่บอกว่า
"เจ้าคุมแค้นแสนโกรธพิโรธพี่ แต่เดือนยี่จนย่างเข้าเดือนสาม"
ตอนนี้แต่งงานอยู่กินกับนางจันทร์แล้ว นางจันทร์โกรธสุนทรภู่ด้วยเรื่องใดไม่ทราบ แต่สุนทรภู่ไปเมืองแกลงก็ต้ังใจจะไปบวช แต่ป่วยเส่ียจึงไม่ได้บวช กลับมาเดือนสิงหาคม ๒๓๕๐ พอเดือนกุมภาพันธ์ก็ไปพระบาท อ่านนิราศเมืองแกลงดูก็ปรากฎว่าสุนทรภู่พรรณนาถึงหลานสาวสองคนที่ช่วยรักษาพยาบาลบอกว่า
"จึงพากเพียรเขียนคำเป็นสำคัญ ให้สองขวัญเนตรนางไว้ต่างกาย
อยาเศร้าสร้อยคอยพี่พอปีหน้า จึงจะมาทำขวัญเหมือนมั่นหมาย
ไม่ทิ้งขว้างห่างเจ้าให้ได้อาย คงรอกายแก้วตาอย่าอาวรณ์"
แสดงว่าสุนทรภู่ไปมีสัมพันธฺฺสวาทกับหลานสาวที่เมืองแกลง พรรณนาถึงหลานสาวอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้แล้ว นางจันทร์จะไม่คุมแค้นแสนโกรธอย่างไรได้ คงไม่ใช่เรื่องอื่นหรอก เรื่องเจ้าชู้นี้เอง ทีทำให้นางจันทร์แสนโกรธพิโรธนักหนา ตั้งแต่เดือนยี่จนเข้าเดือนสาม เมื่อเดินทางไปพระบาทคราวนี้ก็คงไปในตำแหน่ง หลวงสุนทรโวหาร นั่นแหละ แม้ว่าจะโอนสังกัดมาอยูํ่วังหน้าแล้ว แต่เป็นข้าเก่าคงจะต้องขอพระบรมราชานุญาตเดินทางไปปรนนิบัติเจ้านายเก่า คือ พระองค์เจ้าปฐมวงศ์ทียังทรงผนวชอยุู่ ราชการสมัยก่อนก็ไม่ใช่ว่าจะรัดตัวจนละทิ้งงานไปไม่ได้ ก็ทำราชการคุมๆ กันอยู่ตามสังกัดอย่างหลวมๆ พอมีเจ้านายเจ้าสังกัดเท่าน้ัน เรียกว่าพออาศัยใบบุญเป็นที่พึ่งพำนักุคุ้มภัยอันตรายมากกว่า เงินเดือนก็ไม่มี มีแต่เงินปี ก็ไม่มากมายอะไรพออยู่ไปได้ไม่เดือดร้อนเหมือนเป็นทาสท่าน คือยังเป็นเสรีชนที่มีอิสระแก่ตัว จะไปฝากตัวอยู่กับเจ้านายไหนก็ได้ จึงเชื่อว่าเมื่อไปพระบาท สุนทรภู่ก็เป็นหลวงสุนทรโวหาร(ภู่) เจ้ากรมราชบัณฑิตย์หนุ่มอยู่แล้ว โอนมาสังกัดวังหน้าก็คงมียศถาบรรดาศักดิ์เหมือนเดิมเพราะไม่ได้ทำผิดอะไร จึงไม่ถูกปลดถูกถอดอะไรตามที่ว่าๆกันอย่างเลือนลอยไม่มีหลักฐานน้ัน ไม่น่าเชื่อถืออะไร เชื่อว่าสุนทรภู่เป็นหลวงสุนทรโวหารต้ังแต่สังกัดวังหลัง เมื่อมาอยู่วังหน้าก็ยังคงเป็นหลวงสุนทรโวหารอยู่ตามเดิม เรื่องถอดยศ ลดตำแหน่ง เรื่องติดคุก ไม่เห็นท่านรำพันไว้ที่ไหนเลยสักแห่งเดียว เป็นแต่เล่าลือกันลอยๆภายหลังทั้งสิ้น ถ้าเป็นจริงท่านคงจะอดเล่าไว้ไม่่ได้ ในนิราศหรือเพลงยาวรำพรรณพิลาปของท่าน คงจะต้องแย้มพรายออกมาจนได้ คนที่ประสบความสำเร็จได้เป็นพระสุนทรโวหารภายหลัง เป็นจางวางกรมพระอาลักษณ์แล้ว คงจะอดเล่าไว้ไม่ได้ว่าท่านเคยผจญความยากแค้นมาอย่างไร ตามประสาคนแก่เฒ่าชอบเล่าความหลังให้ลูกหลานฟัง หรือคนที่ประสบความสำเร็จเล่าชีวิตที่ตกต่ำให้ลูกหลานฟัง นี่เรื่องอะไรก็เล่าหมด แต่เรื่องติดคุก เรื่องถูกถอดยศ เหตุไฉนจึงไม่แย้มพรายเลย ท่านเป็นนักกวีชอบเขียนชอบเล่าอะไรสารพัดอยู่แล้ว แม้แต่เรื่องลี้ลับเป็นชู้กับแม่งิ้วก็ยังเล่าไว้ว่า
"งิ้วกับพี่มิแคล้ว ขึ้นงิ้ว ลิ่วสูง"
เล่าจนถึงเรื่องอย่างนี้แล้ว เรื่องถูกถอดยศ เรื่องติดคุกทำไมจะเล่าไม่ได้ ลองคิดดูตามสามัญสำนึกดูเอาเถิด
เรื่องที่ว่าสุนทรภู่มียศถาบรรดาศักดิ์เป็น "ขุนสุนทรโวหาร" หรือ "หลวงสุนทรโวหาร" นั้น มีหลักฐานสำคัญอยู่อีกเรื่องหนึ่ง คือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ ๕ ท่านออกนามสุนทรภู่ว่า "หลวงสุนทรโวหารไ ปรากฎในคำกราบบังคมทูลฟ้องขุนพิพิธภักดี(ทิม สุขยางค์) ผู้แต่งนิราศหนองคาย แต่งหนังสือล่วงเกิ่นท่าน ดังนี้
"แผ่นดินพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จางวางเสือ ทำหน้าที่ทิ้งว่า หม่อมไกรสร ท่านก็เอาโทษ หมื่นไวย์เพ็ง นอกราชการ นายเถื่อนคางแพะ พูดจาติเตียนแม่ทัพนายกอง ท่านก็เอาโทษถึงตายท้ังน้ัน และผู้ทำนิราศแต่ก่อนมา พระยายมราช (กุน) หม่อมพิมเสน คร้ังกรุงเก่า หลวงสุนทรภู่ คร่ั้่งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็ทำไว้หลายเรื่อง หาได้กระทบกระเทือนถึงการแผ่นดินไม่ ผู้ทำนิราศฉบับนี้ว่าความก้าวร้าวนัก ด้วยการจะบังคับบัญชารักษาแผ่นดินต่อไป จะเป็นที่ชอกช่้ำด้วยถ้อยคำของคนที่กล่าวเหลือๆ เกินๆ"
เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาท่านกราบทูลฟ้องกล่่าวโทษเช่นนี้ จึงมีพระบรมราชโองการ ให้เอาตัวอ้ายทิม ขุนพิพิธภักดี ในกรมพระสุรัศวดี คนคิดนิราศหนองคายด้วยคำฟุ้งซ่านรานระเหลือเกินมากนัก ให้ลงอาญาเฆี่ยน ๕๐ จำคุกไว้ ..."
พระบรมราชโองการนี้รับส่ังเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ ๒๔๒๑ หลังจากที่สุนทรภู่สิ้นชีวิตแล้วเพียง ๒๒ปีเท่าน้ัน จะว่าสมเด็จเจ้าพระยาท่านไม่รู้จักสุนทรภู่ไม่ได้ เพราะสมเด็จเจ้าพระยาองค์นี้ ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๕๑ เกิดทีหลังสุนทรภู่เพียง ๒๒ ปีเท่านั้น ท่านเป็นคนที่เกิดทันสุนทรภู่ มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยเดียวกัน นิราศสุนทรภู่ ท่านก็ได้อ่านหมด ท่านจึงกล่าวว่า "หลวงสุนทรภู่" คร้ังแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็ทำไว้หลายเรื่อง" (คือแต่งนิราศไว้หลายเรื่อง) ตัวสมเด็จเจ้าพระยาเองท่านก็เป็นนักเลงหนังสือ ท่านได้บัญชาให้มีผู้แปลหนังสือเรื่องจีนขึ้นไว้หลายเรื่อง ท่านจึงต้องเป็นแฟนของนิราศสุนทรภู่ด้วย การที่ท่านเรียกว่า "หลวงสุนทรภู่" น้ัน ท่านน่าจะเรียกถูกต้อง เพราะท่านออกชื่อคนอื่นๆ ไว้ถูกต้องหมดทุกคน เช่น หม่อมไกรสร ทา่นก็ไม่เรียกว่า พระองค์ไกรสร(เพราะถูกถอยยศ) การที่ท่านเรียกสุนทรภู่ว่า "หลวงสุนทรโวหาร"นั้นท่านคงเรียกถูกต้อง เพราะสุนทรภู่เป็นหลวงสุนทรโวหารอยู่เป็นเวลานาน จนคนท้ังหลายรู้จักในนามหลวงสุนทรโวหาร กะประมาณว่าท่านเป็นหลวงสุนทรโวหารตั้งแต่อยู่วังหลัง อย่างช้าท่านจะได้เป็นหลวงสุนทรโวหารเมื่อโอนมาอยู่วังหน้า พ.ศ.๒๓๕๐ อยู่สังกัดวังหน้า ๑๐ ปี แล้วโอนมาอยู่วังหลวงเมื่อวังหน้าสวรรคต เมื่อพ.ศ.๒๓๖๐ ท่านอยู่วังหลวงต้้งแต่ พ.ศ.๒๓๖๐ จนถึง พ.ศ. ๒๓๓๖๗ วังหลวงสวรรคตเมื่อ พ.ศ.๒๓๖๗ ท่านก็คงอยู่ในตำแหน่ง "หลวงสุนทรโวหาร" อยุ่ตามเดิม เป็นเวลานานไม่น้อยกว่า ๑๗ ปี (คือต้ังแต่ปีพ.ศ. ๒๓๕๐ ถึงพ.ศ. ๒๓๖๗) ท่านพ้นหน้าที่ราชการไปเพราะร้อนตัวกลัวราชภัยในรัชกาลที่ ๓ หนึออกบวชพึ่งผ้าเหลืองอยู่ที่วัดอรุณราชวราราม ก็ออกในนามของหลวงสุนทรโวหาร ท่านไม่ได้ถูกถอดยศแต่อย่างใด เพราะฉนั้น เมื่อท่านแต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปในปี พ.ศ. ๒๓๘๕ หลังจากออกจากหน้าที่ราชการนานถึง ๑๘ ปีแล้ว ท่านยังเรียกตัวเองว่า "สุนทร" อยู่โดยขึ้นต้นกลอนว่า "สุนทรทำคำประดิษฐ์นิมิตรฝัน" ไปสุพรรณบุรี แต่งนิราศสุพรรณบุรีก็ออกชื่อตัวเองว่ า "สุนทร" แสดงว่าท่านออกบวชในนามของ "หลวงสุนทรโวหาร" ไม่ได้ถูกปลดถูกถอดอะไร
เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๓ แล้ว ท่านก็กลับเข้ารับราชการอยู่กับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยุ่หัว เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๔ ตอนนี้ท่านจึงได้เป็น "พระสุนทรโวหาร จางวางกรมพระอาลักษณ์ วังหน้า ศักดินา ๒๕๐๐ ไร่" ซึ่งมีตำแหน่งนี้อยู่ แต่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ท่านยังคงเรียก หลวงสุนทรภู่ อยู่ตามเดิม เพราะคนใหญ่ขนาดสมเด็จเจ้าพระยาผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ท่านคงไมสนใจกับตำแหน่งพระสุนทรโวหาร จางวางกรมพระอาลักษณ์ ตำแหน่งใหม่ของสุนทรภู่ เพราะไม่ใช่่ตำแหน่งมีอำนาจราชศักดิ์อะไรนักหนา ท่านยังคงเรียกว่า "หลวงสุนทรภู่" อยู่ตามเดิมที่ท่านสุนทรภู่อยุ่ในตำแหน่งนี้มานานในรัชกาลที่ ๒ เรื่องอย่างนี้ข้าพเจ้ามีประสบการณ์ คือข้าพเจ้ามีญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ญาติพี่น้องรู้จักกันในนามของ "จ่าพาสน์" เพราะเป็นจ่านายสิบตำรวจมานานปี ต่อมาภายหลังก็ได้เลื่อนยศเป็น นายพันตำรวจตรีพาสน์ พาสน์ยงภิญโญ (บิดาของ พล.อ. สัมผัส พาส์นยงภิญโญ) แต่บรรดาญาติพี่น้องยังคงเรียกว่า "จ่าพาสน์) อยู่จนตายก็ยังเรียกกันว่า "จ่าพาส์น" อยู่ตลอดมา อีกท่านคือ พระพนมสารนิรินทร์(กลึง) เจ้าเมืองพนมสารคาม ออกจากราชการแล้วคนก็ยังเรียกกันว่า "นรินทร์กลึง" คำที่สมเด็จเจ้าพระยาท่านเรียกสุนทรภู่ว่า "หลวงสุนทรภู่" อย่างนี้ส่อแสดงว่าท่านเรียกวตอนออกจากราชการแล้ว เรียกท่านสุนทรภู่นอกราชการนั่นเอง ถึงแม้ว่าภายหลังจะเข้ารับราชการใหม่เป็นคุณพระในนามเดิม สมเด็จท่านก็ยังติดในนามเดิมอยู่ สมัยเมื่อรับราชการอยู่วังหลวง พอไปรับราชการอยุ่วังหน้าเหินห่างท่านออกไปแล้ว ท่านจึงเรียกนามบรรดาศักดิืเดิมอยู่
แตอย่างไรก็ดี สุนทรภู่ เป็นหลวงสุนทรโวหาร กับ พระสุนทรโวหาร เท่าน้ัน ท่านไม่เคยเป็น ขุนสุนทรโวหาร เพราะตำแหน่งขุนสุนทรโวหาร ไม่มีอยู่ในทำเนียบนามบรรดาศักดิ์ ใครจะต้ังให้ท่ารนเป่็นอย่างไรเล่า
แต่แล้วจู่ๆ ก็ว่าสุนทรภู่ได้รับยศถาบรรดาศักดิ์เป็น ขุนสุนทรโวหาร ว่าเป็นอาลักษณ์เสียด้วย ตอนหลังสุนทรภุู่ก็อ้างว่าตัวท่านเป็น "อาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว" เสียด้วย แต่ไม่รู้ว่าท่านเป็นอาลักษณ์เมื่อไรแน่ แต่เป็นที่น่าสงสัยว่าเหตุไฉนอาลักษณ์จึงมียศศักดิ์ต่ำนัก เป็นแต่เพียงขุนสุนทรโวหารเท่าน้้น ตำแหน่งอาลักษณ์นี้ไม่ใช่เล็กน้อย เท่ากับเป็นราชเลขาธิการในพระองค์พระมหากษัตริย์ทีเดียว ขนาดต้องมีคนเกรงกลัวทีเดียว เพราะเป็นคนใกล้ชิดพระยุคลบาท แต่ทำไมหนอจึงมียศเป็นเพียงขุนสุนทรโวหารเท่าน้้น
ความสงสัยนี้ทำให้ต้องค้นคว้าดูทำเนียบข้าราชการวังหลังใ้ห้แน่ใจ เพราะตามธรรมเนียมราชการน้ัน วังหลัง วังหน้า มีสิทธิ์ต้ังยศขุนนางได้ตามทำเนียบยศที่มีอยู่ตามทีทรงพระอนุญาตไว้เท่าน้้น ก็เหือนสมเด็จพระราชาคณะมีสิทธิ์ต้ังยศพระฐานานุกรมได้ตามกำหนดให้ไว้เพื่อประกอบเกียรติยศและเพื่อเป็นข้าราชการช่วยทำการงานราชการเท่าน้้น จะต้ังนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ไมได้ เมื่อตรวจดูทำเนียบข้าราชการวังหลัง ในกรมอาลักษณ์ และกรมราชบัณฑิต ก็ปรากฎดังนี้
กรมอาลักษณ์
พระสุนทรโวหาร จางวาง ศักดินา ๒๕๐๐
หลวงลิขิตปรีชา เจ้ากรม ศักดินา ๑๘๐๐
ขุนสารบรรจง ปลัดกรมขวา ศักดินา ๘๐๐
ขุนจำนงสุนทร ปลัดกรมซ้าย ศักดินา ๕๐๐
กรมราชบัณฑิตย์(ขึ้นแก่กรมอาลักษณ์อีกทีหนึ่ง)
พระมหาวิชาธรรม จางวาง ศักดินา ๕๐๐
หลวงสุนทรโวหาร เจ้ากรม ศักดินา ๔๐๐
หลวงญาณปรีชา ปลัดจางวาง ศักดินา ๔๐๐
ขุนธรรมพจนา ปลัดจางวาง ศักดินา ๓๐๐
ขุนเมธาภิรมย์ ปลัดกรม ศักดินา ๓๐๐
ขุนอุดมปรีชา ปลัดกรม ศักดินา ๓๐๐
ตามทำเนียบนามข้าราชการวังหลังนี้ ไม่มีตำแหน่ง "ขุนสุนทรโวหาร" มีแต่ตำแหน่ง ""หลวงสุนทรโวหาร" เจ้ากรมราชบัณฑิตย์ ศักดินา ๔๐๐ เมื่อไม่มีตำแหนงก็ตั้งไม่่ได้ จะต้ังเอาตามพระทัยชอบนอกทำเนียบไม่ได้ด้วย ตำแหน่งวังหน้าก็ไม่มี มีแต่ตำแหน่ง หลวงสุนทรโวหาร กับตำแหน่ง พระสุนทรโวหาร เพราะฉน้ันจึงอยากจะสันนิษฐานว่า สุนทรภู่ ได้เป็นหลวงสุนทรโวหาร เจ้ากรมราชบัณฑิตย์ อยู่ในวังหลังแล้ว เมื่อวังหลังสวรรคตในพ.ศ. ๒๓๔๙ สุนทรภู่ ก็ถูกโอนมาสังกัดวังหน้าในปี พ.ศ. ๒๓๕๐ สุนทรภู่จึงได้เดินทางไปเมืองแกลง ตอนนี้ท่านก็เป็น หลวงสุนทรโวหารอยู่แล้ว คำกลอนตอนต้นแสดงเค้าเงื่อนอยู่คำหนึ่งว่า
"ถึงทุกข์ใครในโลกที่โศกเศร้า ไม่เหมือนเราภุมรินถวิลหา
จะพลัดพรากจากกันไม่ทันลา ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน"
และบอกว่าไปคร้ังน้ันไปกัน ๔ คน
"กับศิษย์น้องสองนายล้วนชายหนุ่ม น้อยกับพุ่มเพื่อนไร้ในไพรสัณฑ์
กับนายแสงแจ้งางกลางอรัญ จะพากันแรมทางไปต่างเมือง"
คำว่า "สุนทรวอน" คำหนึ่ง กับที่บอกว่า มีลูกศิษย์ลูกน้องสองนายกับนายแสง คนนำทาง อย่างนี้ก็ย่อมแสดงว่าไม่ได้ไปอย่างคนไม่มีบริวาร แต่ไปอย่างคนมีบริวารพอสมควร น่าจะไปอย่าง "หลวงสุนทรโวหาร" ไม่ใช่ไปอย่างนายภู่ คนธรรมดาสามัญแบบชาวบ้านธรรมดา ข้าราชการสมัยโน้นยังไม่มีเงินเดือน มีแต่เบี้ยหวัดคือเงินปีบ้างไม่มากนัก ที่เมืองแกลงน้ันสุนทรภู่เล่าถึงฐานะของกรมการเมืองแกลงว่า
"แล้วไปชมกรมการบ้านเมืองดอนเด็ด ล้วนเลี้ยงเป็ดหมูเนื้่อดูเหลือเข็ญ
ยกกระบัตรคัดช้อนทุกเช้าเย็น เมียที่เป็นท่านผู้หญิงนั่้งปิ้งปลา"
กรมการเมืองก็ต้องเลี้ยงหมู เลี้ยงเป็ด ยกกระบัตรเมือง (เทียบเท่าอัยการ และผู้กับกำการตำรวจภูธรรวมกัน) ยังต้องยกยอช้อนกุ้งกินเอง หลวงสุนทรโวหาร (ภู้่) อย่างท่านก็ไม่ใช่จะโอ่โถงมั่งคั่งร่ำรวยอะไร ทำงานฝ่ายบุ๋น เกียวกับหนังสือ จึงไม่มีอำนาจราชศักดิ์อะไรหนักหนา เดินทางไปเมืองแกลงมีลูกน้องเท่านี้ก็เรียกว่าดีนักหนาแล้ว จึงเชื่อว่าท่านเดินทางไปน้ันเป็นหลวงสุนทรโวหารอยู่แล้ว และตำแหน่งนี้ก็มีศักดินา ๔๐๐ ไร่ ก็ไม่ใหญ่โตอะไรนักหนา พอสมควรกับคุณวุฒฺิของท่าน สุนทรภู่เดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๙ ตรงกับวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๕๐
พอถึงวันจันทร์ขึ้น ๑๒ ค่ำเดือน ๓ ตรงกับวัน่ที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๕๐ ปลายปีน้ัน สุนทรภู่ก็เดินทางไปพระบาทสระบุรี
"จนพระหน่อสุริวงศ์ทรงพระนาม จากอารามแรมร้างทางกันดาร
ด้วยเรียมรองมุลิกาเป็นข้าบาท จำนิราศแรมนุชสุดสงสาร"
สุนทรภู่บอกว่า
"เจ้าคุมแค้นแสนโกรธพิโรธพี่ แต่เดือนยี่จนย่างเข้าเดือนสาม"
ตอนนี้แต่งงานอยู่กินกับนางจันทร์แล้ว นางจันทร์โกรธสุนทรภู่ด้วยเรื่องใดไม่ทราบ แต่สุนทรภู่ไปเมืองแกลงก็ต้ังใจจะไปบวช แต่ป่วยเส่ียจึงไม่ได้บวช กลับมาเดือนสิงหาคม ๒๓๕๐ พอเดือนกุมภาพันธ์ก็ไปพระบาท อ่านนิราศเมืองแกลงดูก็ปรากฎว่าสุนทรภู่พรรณนาถึงหลานสาวสองคนที่ช่วยรักษาพยาบาลบอกว่า
"จึงพากเพียรเขียนคำเป็นสำคัญ ให้สองขวัญเนตรนางไว้ต่างกาย
อยาเศร้าสร้อยคอยพี่พอปีหน้า จึงจะมาทำขวัญเหมือนมั่นหมาย
ไม่ทิ้งขว้างห่างเจ้าให้ได้อาย คงรอกายแก้วตาอย่าอาวรณ์"
แสดงว่าสุนทรภู่ไปมีสัมพันธฺฺสวาทกับหลานสาวที่เมืองแกลง พรรณนาถึงหลานสาวอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้แล้ว นางจันทร์จะไม่คุมแค้นแสนโกรธอย่างไรได้ คงไม่ใช่เรื่องอื่นหรอก เรื่องเจ้าชู้นี้เอง ทีทำให้นางจันทร์แสนโกรธพิโรธนักหนา ตั้งแต่เดือนยี่จนเข้าเดือนสาม เมื่อเดินทางไปพระบาทคราวนี้ก็คงไปในตำแหน่ง หลวงสุนทรโวหาร นั่นแหละ แม้ว่าจะโอนสังกัดมาอยูํ่วังหน้าแล้ว แต่เป็นข้าเก่าคงจะต้องขอพระบรมราชานุญาตเดินทางไปปรนนิบัติเจ้านายเก่า คือ พระองค์เจ้าปฐมวงศ์ทียังทรงผนวชอยุู่ ราชการสมัยก่อนก็ไม่ใช่ว่าจะรัดตัวจนละทิ้งงานไปไม่ได้ ก็ทำราชการคุมๆ กันอยู่ตามสังกัดอย่างหลวมๆ พอมีเจ้านายเจ้าสังกัดเท่าน้ัน เรียกว่าพออาศัยใบบุญเป็นที่พึ่งพำนักุคุ้มภัยอันตรายมากกว่า เงินเดือนก็ไม่มี มีแต่เงินปี ก็ไม่มากมายอะไรพออยู่ไปได้ไม่เดือดร้อนเหมือนเป็นทาสท่าน คือยังเป็นเสรีชนที่มีอิสระแก่ตัว จะไปฝากตัวอยู่กับเจ้านายไหนก็ได้ จึงเชื่อว่าเมื่อไปพระบาท สุนทรภู่ก็เป็นหลวงสุนทรโวหาร(ภู่) เจ้ากรมราชบัณฑิตย์หนุ่มอยู่แล้ว โอนมาสังกัดวังหน้าก็คงมียศถาบรรดาศักดิ์เหมือนเดิมเพราะไม่ได้ทำผิดอะไร จึงไม่ถูกปลดถูกถอดอะไรตามที่ว่าๆกันอย่างเลือนลอยไม่มีหลักฐานน้ัน ไม่น่าเชื่อถืออะไร เชื่อว่าสุนทรภู่เป็นหลวงสุนทรโวหารต้ังแต่สังกัดวังหลัง เมื่อมาอยู่วังหน้าก็ยังคงเป็นหลวงสุนทรโวหารอยู่ตามเดิม เรื่องถอดยศ ลดตำแหน่ง เรื่องติดคุก ไม่เห็นท่านรำพันไว้ที่ไหนเลยสักแห่งเดียว เป็นแต่เล่าลือกันลอยๆภายหลังทั้งสิ้น ถ้าเป็นจริงท่านคงจะอดเล่าไว้ไม่่ได้ ในนิราศหรือเพลงยาวรำพรรณพิลาปของท่าน คงจะต้องแย้มพรายออกมาจนได้ คนที่ประสบความสำเร็จได้เป็นพระสุนทรโวหารภายหลัง เป็นจางวางกรมพระอาลักษณ์แล้ว คงจะอดเล่าไว้ไม่ได้ว่าท่านเคยผจญความยากแค้นมาอย่างไร ตามประสาคนแก่เฒ่าชอบเล่าความหลังให้ลูกหลานฟัง หรือคนที่ประสบความสำเร็จเล่าชีวิตที่ตกต่ำให้ลูกหลานฟัง นี่เรื่องอะไรก็เล่าหมด แต่เรื่องติดคุก เรื่องถูกถอดยศ เหตุไฉนจึงไม่แย้มพรายเลย ท่านเป็นนักกวีชอบเขียนชอบเล่าอะไรสารพัดอยู่แล้ว แม้แต่เรื่องลี้ลับเป็นชู้กับแม่งิ้วก็ยังเล่าไว้ว่า
"งิ้วกับพี่มิแคล้ว ขึ้นงิ้ว ลิ่วสูง"
เล่าจนถึงเรื่องอย่างนี้แล้ว เรื่องถูกถอดยศ เรื่องติดคุกทำไมจะเล่าไม่ได้ ลองคิดดูตามสามัญสำนึกดูเอาเถิด
เรื่องที่ว่าสุนทรภู่มียศถาบรรดาศักดิ์เป็น "ขุนสุนทรโวหาร" หรือ "หลวงสุนทรโวหาร" นั้น มีหลักฐานสำคัญอยู่อีกเรื่องหนึ่ง คือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ ๕ ท่านออกนามสุนทรภู่ว่า "หลวงสุนทรโวหารไ ปรากฎในคำกราบบังคมทูลฟ้องขุนพิพิธภักดี(ทิม สุขยางค์) ผู้แต่งนิราศหนองคาย แต่งหนังสือล่วงเกิ่นท่าน ดังนี้
"แผ่นดินพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จางวางเสือ ทำหน้าที่ทิ้งว่า หม่อมไกรสร ท่านก็เอาโทษ หมื่นไวย์เพ็ง นอกราชการ นายเถื่อนคางแพะ พูดจาติเตียนแม่ทัพนายกอง ท่านก็เอาโทษถึงตายท้ังน้ัน และผู้ทำนิราศแต่ก่อนมา พระยายมราช (กุน) หม่อมพิมเสน คร้ังกรุงเก่า หลวงสุนทรภู่ คร่ั้่งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็ทำไว้หลายเรื่อง หาได้กระทบกระเทือนถึงการแผ่นดินไม่ ผู้ทำนิราศฉบับนี้ว่าความก้าวร้าวนัก ด้วยการจะบังคับบัญชารักษาแผ่นดินต่อไป จะเป็นที่ชอกช่้ำด้วยถ้อยคำของคนที่กล่าวเหลือๆ เกินๆ"
เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาท่านกราบทูลฟ้องกล่่าวโทษเช่นนี้ จึงมีพระบรมราชโองการ ให้เอาตัวอ้ายทิม ขุนพิพิธภักดี ในกรมพระสุรัศวดี คนคิดนิราศหนองคายด้วยคำฟุ้งซ่านรานระเหลือเกินมากนัก ให้ลงอาญาเฆี่ยน ๕๐ จำคุกไว้ ..."
พระบรมราชโองการนี้รับส่ังเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ ๒๔๒๑ หลังจากที่สุนทรภู่สิ้นชีวิตแล้วเพียง ๒๒ปีเท่าน้ัน จะว่าสมเด็จเจ้าพระยาท่านไม่รู้จักสุนทรภู่ไม่ได้ เพราะสมเด็จเจ้าพระยาองค์นี้ ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๕๑ เกิดทีหลังสุนทรภู่เพียง ๒๒ ปีเท่านั้น ท่านเป็นคนที่เกิดทันสุนทรภู่ มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยเดียวกัน นิราศสุนทรภู่ ท่านก็ได้อ่านหมด ท่านจึงกล่าวว่า "หลวงสุนทรภู่" คร้ังแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็ทำไว้หลายเรื่อง" (คือแต่งนิราศไว้หลายเรื่อง) ตัวสมเด็จเจ้าพระยาเองท่านก็เป็นนักเลงหนังสือ ท่านได้บัญชาให้มีผู้แปลหนังสือเรื่องจีนขึ้นไว้หลายเรื่อง ท่านจึงต้องเป็นแฟนของนิราศสุนทรภู่ด้วย การที่ท่านเรียกว่า "หลวงสุนทรภู่" น้ัน ท่านน่าจะเรียกถูกต้อง เพราะท่านออกชื่อคนอื่นๆ ไว้ถูกต้องหมดทุกคน เช่น หม่อมไกรสร ทา่นก็ไม่เรียกว่า พระองค์ไกรสร(เพราะถูกถอยยศ) การที่ท่านเรียกสุนทรภู่ว่า "หลวงสุนทรโวหาร"นั้นท่านคงเรียกถูกต้อง เพราะสุนทรภู่เป็นหลวงสุนทรโวหารอยู่เป็นเวลานาน จนคนท้ังหลายรู้จักในนามหลวงสุนทรโวหาร กะประมาณว่าท่านเป็นหลวงสุนทรโวหารตั้งแต่อยู่วังหลัง อย่างช้าท่านจะได้เป็นหลวงสุนทรโวหารเมื่อโอนมาอยู่วังหน้า พ.ศ.๒๓๕๐ อยู่สังกัดวังหน้า ๑๐ ปี แล้วโอนมาอยู่วังหลวงเมื่อวังหน้าสวรรคต เมื่อพ.ศ.๒๓๖๐ ท่านอยู่วังหลวงต้้งแต่ พ.ศ.๒๓๖๐ จนถึง พ.ศ. ๒๓๓๖๗ วังหลวงสวรรคตเมื่อ พ.ศ.๒๓๖๗ ท่านก็คงอยู่ในตำแหน่ง "หลวงสุนทรโวหาร" อยุ่ตามเดิม เป็นเวลานานไม่น้อยกว่า ๑๗ ปี (คือต้ังแต่ปีพ.ศ. ๒๓๕๐ ถึงพ.ศ. ๒๓๖๗) ท่านพ้นหน้าที่ราชการไปเพราะร้อนตัวกลัวราชภัยในรัชกาลที่ ๓ หนึออกบวชพึ่งผ้าเหลืองอยู่ที่วัดอรุณราชวราราม ก็ออกในนามของหลวงสุนทรโวหาร ท่านไม่ได้ถูกถอดยศแต่อย่างใด เพราะฉนั้น เมื่อท่านแต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปในปี พ.ศ. ๒๓๘๕ หลังจากออกจากหน้าที่ราชการนานถึง ๑๘ ปีแล้ว ท่านยังเรียกตัวเองว่า "สุนทร" อยู่โดยขึ้นต้นกลอนว่า "สุนทรทำคำประดิษฐ์นิมิตรฝัน" ไปสุพรรณบุรี แต่งนิราศสุพรรณบุรีก็ออกชื่อตัวเองว่ า "สุนทร" แสดงว่าท่านออกบวชในนามของ "หลวงสุนทรโวหาร" ไม่ได้ถูกปลดถูกถอดอะไร
เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๓ แล้ว ท่านก็กลับเข้ารับราชการอยู่กับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยุ่หัว เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๔ ตอนนี้ท่านจึงได้เป็น "พระสุนทรโวหาร จางวางกรมพระอาลักษณ์ วังหน้า ศักดินา ๒๕๐๐ ไร่" ซึ่งมีตำแหน่งนี้อยู่ แต่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ท่านยังคงเรียก หลวงสุนทรภู่ อยู่ตามเดิม เพราะคนใหญ่ขนาดสมเด็จเจ้าพระยาผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ท่านคงไมสนใจกับตำแหน่งพระสุนทรโวหาร จางวางกรมพระอาลักษณ์ ตำแหน่งใหม่ของสุนทรภู่ เพราะไม่ใช่่ตำแหน่งมีอำนาจราชศักดิ์อะไรนักหนา ท่านยังคงเรียกว่า "หลวงสุนทรภู่" อยู่ตามเดิมที่ท่านสุนทรภู่อยุ่ในตำแหน่งนี้มานานในรัชกาลที่ ๒ เรื่องอย่างนี้ข้าพเจ้ามีประสบการณ์ คือข้าพเจ้ามีญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ญาติพี่น้องรู้จักกันในนามของ "จ่าพาสน์" เพราะเป็นจ่านายสิบตำรวจมานานปี ต่อมาภายหลังก็ได้เลื่อนยศเป็น นายพันตำรวจตรีพาสน์ พาสน์ยงภิญโญ (บิดาของ พล.อ. สัมผัส พาส์นยงภิญโญ) แต่บรรดาญาติพี่น้องยังคงเรียกว่า "จ่าพาสน์) อยู่จนตายก็ยังเรียกกันว่า "จ่าพาส์น" อยู่ตลอดมา อีกท่านคือ พระพนมสารนิรินทร์(กลึง) เจ้าเมืองพนมสารคาม ออกจากราชการแล้วคนก็ยังเรียกกันว่า "นรินทร์กลึง" คำที่สมเด็จเจ้าพระยาท่านเรียกสุนทรภู่ว่า "หลวงสุนทรภู่" อย่างนี้ส่อแสดงว่าท่านเรียกวตอนออกจากราชการแล้ว เรียกท่านสุนทรภู่นอกราชการนั่นเอง ถึงแม้ว่าภายหลังจะเข้ารับราชการใหม่เป็นคุณพระในนามเดิม สมเด็จท่านก็ยังติดในนามเดิมอยู่ สมัยเมื่อรับราชการอยู่วังหลวง พอไปรับราชการอยุ่วังหน้าเหินห่างท่านออกไปแล้ว ท่านจึงเรียกนามบรรดาศักดิืเดิมอยู่
แตอย่างไรก็ดี สุนทรภู่ เป็นหลวงสุนทรโวหาร กับ พระสุนทรโวหาร เท่าน้ัน ท่านไม่เคยเป็น ขุนสุนทรโวหาร เพราะตำแหน่งขุนสุนทรโวหาร ไม่มีอยู่ในทำเนียบนามบรรดาศักดิ์ ใครจะต้ังให้ท่ารนเป่็นอย่างไรเล่า
(โปรดติดตามตอนต่อไป)