๓. บิดามารดา
บิดามารดาของสุนทรภู่ก็เป็นคนสำคัญที่เราควรจะต้องสืบรู้ด้วยว่าเป็นใคร สุนทรภู่สืบายโลหิตมาจากไหนจึงเป็นกวีมีชื่อดีเ่ด่นถึงขนาดนี้ ถ้าบิดามารดาสุนทรภู่เป็นคนเหลวไหลไม่ได้เรื่อง ขี้เมายำเปหรือปัญญาอ่อนแล้ว สุนทรภู่จะเป็นกวีโด่งดังไม่ได้เลย เพราะฉนั้น สุนทรภู่จะต้องสืบสายโลหิตจากบิดามารดาที่ดีด้วย ถึงแม้ว่าสุนทรภู่จะเป็นอภิชาตบุตร ก็จะต้องมีบิดามารดาที่ดีเป็นพื้่นฐานรองรับอยู่อีกชั้นหนึ่ง สุนทรภุ่เป็นมหากวีน้ัน (หรือเรียกว่า เป็นอัจฉริยบุรุษทางการกวีน้ัน) แม้ว่าทางพระพุทธศาสนาจะว่าเป็นบุพกรรมแต่ชาติปางก่อนติดตามมาส่งเสริม แต่ทางพระพุทธศาสนาก็รับรองว่าบุตรทีดีจะต้องสืบมาจากบิดามารดาที่ด้วย ดั่งเช่นพระพุทธองค์ที่เป็นพระบรมศาสดาเอกของโลก ไม่มีศาสดาใดจะเท่ียมเท่านั้น ก็เพราะชาติวงศ์ของพรพุทธเจ้าก็เป็นกษัตริย์สุขุมาบยชาติ เพราะฉนั้น การศึกษาประวัติสุนทรภู่จึงควรสนใจบิดามารดาของท่านด้วย
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวถึงบิดาสุนทรภู่ว่า
"บิดาที่บวชอยู่ เป็นฐานานุประเทศอธิบดี จอมกษัตริย์โปรดปรานประทานนาม เจ้าอารามอรัญธรรมรังสี ด่ั่งนี้สันนิษฐานว่า เห็นจะเป็นฐานานุกรมของพระครูธรรมรังสี เจ้าคณะเมืองแกลง ไม่ใช่่ได้เป็นตำแหน่งพระครูเอง"
การที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานเช่นนี้ ก็สันนิษฐานจากคำว่า "ฐานานุประเทศ" โดยทรงจับเอาคำ่า "ฐานา" มาว่าเป้น "ฐานานุกรม" (ฐาน + อนุุ + กรม) แต่ที่จริงแล้วคำว่า "ฐานานุกรม" กับ "ฐานานุประเทศ" มีความหมายต่างกัน
"ฐานานุกรม" แปลว่า "ตำแหน่งกรมการน้อย" หมายถึงพระภิกษุที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานน้อย คือช่วยทำงานให้แก่พระราชาคณะผู้ใหญ่ เช่น ตำแหน่งพระราชาคณะ มีสิทธิ์ต้ังพระภิกษุให้เป็นฐานานุกรมได้ ๘ รูป ๑๐ รูป อย่างเช่น สมเด็จพระสังฆราชพระกิตติวุฒโฑภิกขุ เป็นพระอุดรคณาภิรักษ์ นี่ก็เป็นตำแหน่งฐานานุกรมของสมเด็จพระสังฆราชวัดพระเชตุพน เป็นต้น คือ มีตำแหน่งเป็นคณะกรรมการน้อยของสมเด็จพระสังฆราช ช่วยทำงานให้สมเด็จพระสังฆราชในการบริหารการคณะสงฆ์ ไม่ใช่มีตำแหน่งที่พระราชาทรงต้ังเองโดยตรง
"ฐานานุกรม" แปลว่า "ตำแหน่งกรมการเมือง" (อนุประเทศ แปลว่า ประเทศน้อยหรือ หัวเมือง ) สุนทรภู่่่ท่านบอกว่าบิดาของท่านเป็น "ฐานุประเทศอธิบดี" อธิบดี แปลว่า ใหญ่ ถ้าแปลคำว่า "ฐานานุประเทศอธิบดี" ก็ต้องแปลว่า "มีตำแหน่งเป็นใหญ๋ในกรมการเมืองฝ่ายสงฆ์เมืองแกลง" คือ เป็นใหญ่ในเมืองแกลงฝ่ายสงฆ์ ได้แก่ "เป็นเจ้าคณะเมืองแกลง" นั่นเอง ไม่ใข่มีตำแหน่งเป็นฐานานุกรมของเจ้าคณะเมืองแกลงแต่อย่างใด สุนทรภู่ยังบอกต่อไปว่า "จอมกษัตริย์โปรดปรานประทานนาม" จะโปรดปรานประทานนามใครไปไม่ได้ นอกจากโปรดปรานประทานนามบิดาสุนทรภู่นั่นเอง เพราะสุนทรภู่ไม่ได้กล่าวถึงคนอื่น ท่านกล่าวถึงบิดาโดยตรงว่า จอมกษัตริย์โปรดปรานประทานนาม คือ พระราชทานราชทินนามสมณศักดิ์ให้ จอมกษัตริย์องค์น้ันคือองค์ใด ก็บิดาสุนทรภู่บวชเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๐ จนถึงปีสุนทรภู่ไปเมืองแกลง พ.ศ. ๒๓๕๐ ก็อยู่ในสมัยรัชกาลที่ ๑ จอมกษัตริย์ในที่นี้คือ รัชกาลที่ ๑ นั่นเอง
สุนทรภู่ยังได้กล่าวถึงบิดาต่อไปว่า เป็น "เจ้าอารามอรัญธรรมรังสี" คือ บอกว่า เป็นเจ้าอาราม มีราชทินนามสมณศักดิ์ว่า "พระครูธรรมรังสี" เปิดดูในทำเนียบสมณศักดิ์แล้วปรากฎว่า พระครูธรรมรังสีเป็นตำแหน่งเจ้าคณะเมืองแกลงฝ่ายอรัญวาสี บิดาสุนทรภู่เป็นพระสายปฎิบัติธุดงควัตร หรือพระสายวิปัสสนาธุระ ไม่ใช่พระฝ่ายคันถธูระ คือ เป็นพระคณะวัดป่าแก้ว เรียกว่าคงจะมีคนเคารพนับถือมาก มีชื่อเสียงมากพอสมควรทีเดียว ความจึงทราบถึงพระเนตรพระกรรณจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้มีสมณศักดิ์เป็น พระครูธรรมรังสี มีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะเมืองแกลง ฝ่ายอรัญวาสี ในสมัยน้ันเจ้าคณะสงฆ์แบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายคามวาสี และฝ่ายอรัญวาสี แม้วัดในกรุงเทพฯ เช่น วัดสระเกศ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ นี้ก็ยังมีเจ้าอาวาส ๒ รูป ครองอารามร่วมกันเป็นผู้ปกครองสงฆ์ คือ พระธรรมทานาจารย์ (ภู่) เจ้าอาวาสฝ่ายคันถธุระ พระวินยานุกูล (ศรี) เจ้าอาวาสฝ่ายวิปัสสนาธุระ
เรื่องบิดาของสุนทรภู่นี้ แม้ ก.ศ.ร. กุหลาบ นักประวัติศาสตร์พงศาวดารสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็สนใจได้จดไว้เป็นหลักฐานในหนังสือ "สยามประเทศ" ว่า
"ขุนสุนทรโวหาร (ภู่) เป็นบุตร ขุนศรีสังหาญ (พลับ) บ้านมีอยู่หลังป้อมวังหลัง เป็นสะเตเชั่นรถไฟ สายเพชรบุรี มารดาชื่อใดไม่ทราบ"
ก.ศ.ร. กุหลาบ คนนี้เป็นผู้สนใจในประวัติศาสตร์พงศาวดารโบราณคดี ได้ศึกษาค้นคว้าทางนี้มาก แต่สมัยน้นัยังหวงวิชากันอยู่ ก.ศ.ร. กุลาบจึงต้องเที่ยวลักค้นลอกเอาจากตำรับตำราในหอสมุดหลวง แต่เกรงพระอาญา จึงต้องคัดแปลงแต่งต่อเติมเอาบ้าง ลบศักราชเสียบ้าง เพื่อมิให้มีโทษว่าลักคัดลอกตำราหลวง ทำให้เป็นที่สงสัยว่าไปเอามาแต่ไหน ก.ศ.ร. กุลาบก็อ้าวว่าเอามาจากตำราเก่าของเจ้นายขุนนางที่เสียชีวิตไปแล้ว คราวหนึ่งแต่งพระราชพงศาวดารเพิ่มเติมว่า พระจอมเกศ พระจุลจอมเกศ ล่อพระนามพระเจ้าอยู่หัว จึงถูกสอบสวน ก.ศ.ร. กุหลาบก็สารภาพว่า ทำให้เจ้านายไม่เชื่อถือ ก.ศ.ร .กุหลาบว่า "กุเรื่อง" คือ โกหก คำว่า กุหลาบ ก็เลยกลายเป็น" กุหก " หรือ "โกหก" ไปเสีย แต่ในหนังสือ "สยามประเทศ" ก็มีพงศาวดารและประวัติบุคคลที่เป็นจริงอยุู่เกือบทั้งหมด เราจะโทษ ก.ศ.ร. กุหลาบไม่ได้ ต้องโทษเรื่องธรรมเนียมหวงวิชาของคนไทยเราทีทำให้ ก.ศ.ร. กุหลาบต้องเบือนต้องแปลงไปบ้าง เพื่อมิให้ต้องได้รับโทษฐานคัดลอกหนังสือหลวง ก็น่าแปลกใจแม้หนังสือราชกิจจานุเบกษาก็มีข้อห้ามเอาไว้ว่า ห้ามคัดลอก อย่างไรก็ดี เราก็ได้รู้จักชื่อของบิดาของสุนทรภู่จากหนังสือสยามประเทศว่าชื่อ "ขุนศรีสังหาญ (พลับ) ก.ศ.ร.กุหลาบยังบอกต่อไปอีกว่า ่"ได้พบตัวนายพัด บุตรชายสุนทรภู่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗ ขณะนั้นนายพัดอายุ ๘๖ ปี ความจำยังดีไม่หลงลืม แต่ไม่เป็นนักปราชญ์เหมือนบิดา
สุนทรภู่บอกว่า เมื่อไปเยี่ยมบิดาในปีพ.ศ. ๒๓๕๐ นั้นบิดาของสุนทรภู่
"เจริญพรตยศยิงโมลี
กำหนดยี่สิบพรรษาสถาพร"
บอกว่า "เจริญพรตยศยิ่งโมลี" คือ มียศศักดิ์สุงเหนือเกล้าของพระสงฆ์ทั่วไปด้วย
บอกไว้ชัดเจนว่า่ "บวชมา ๒๐ พรรษาสถาพร" เป็น "มหาเถร" แล้ว
ได้ตรวจดูทำเนียบข้าราชการวังหลังดูแล้ว ปรากฎว่า มีตำแหน่ง ขุนศรีสังหาญ ปลัดกรมขวา กรมอาสาวิเศษซ้าย ศักดินา ๓๐๐ ไร่ จึงมีหลักฐานแน่ชัดว่า ขุนศรีสังหาญ มีตำแหน่งนามบรรดาศักดิ์อยู่ในวังหลังจริง เข้ากับเรื่องที่สุนทรภู่รับราชการอยู่ในสังกัดวังหลัง ไม่ใช่เรื่องที่กล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยเลย จะขอยกทำเนียบข้าราชการวังหลังมาให้ดู ดังนี้
กรมอาสาวิเศษซ้าย
หลวงวิจารณ์ภักดี เจ้ากรม ศักดินา ๔๐๐
ขุนศรีสังหาญ ปลัดกรมขวา ศักดินา ๓๐๐
ขุนพิมานนที ปลัดกรมซ้าย ศักดินา ๓๐๐
ทำเนียบนามตำแหน่งในกรมอาสาวิเศษซ้ายนี้ แสดงหลักฐานแน่ชัดว่า ขุุนศรีสังหาญ (พลับ) มี่ตำแหน่งเป็นนายทหารสังกัดอยู่ในกรมอาสาวิเศษซ้ายนี้ ซึ่งเป็นกรมในสังกัดกรมล้อมวัง ในกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข เรียกในสมัยนี้ก็คงเท่ากับกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ซึ่งก็ไม่ใช่ตำแหน่งเล็กน้อยนัก บุตรชายของท่านจึงได้เข้ารับราชการอยู่ในวังหลังด้วย ในตำแหน่งมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระราชโอรสของวังหลัง กรมพระราชวังหลังสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๓๔๙ พระชนมายุ ๖๑ พรรษา เม่ื่อวังหลังสวรรคตแล้วเป็นธรรมเนียมของข้าราชการจะต้องโอนมาสังกัดวังหน้า ตอนนี้เองที่สุนทรภู่จะต้องโอนมาสังกัดวังหน้าด้วย ในปีพ.ศ.๒๓๔๙ นั้นเอง
ปีพ.ศ.๒๓๕๐ สุนทรภุ่อายุครบ ๒๐ ปี จีงได้เดินทางไปหาบิดา ต้ังใจจะไปบวชด้วย ได้ไปหาบิดาที่วัดบ้านกร่ำ เมืองแกลง วัดที่พระครูธรรมรังสีเป็นเจ้าอาวาสอยู่ แต่ก็เกิดป่วยเป็นไข้ต้ังแต่เดือน ๗ จนถึงเดือน ๙ เลยไม่่ได้บวช จึงได้เดินทางกลับในเดือน ๙ ปีพ.ศ.๒๓๕๐ (วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๕๐) นั้น สุนทรภู่รำพันว่า
"โอ้ชนนีอยู่ศรีอยุธยา
บิดามาอ้างว้างอยู่กลางไพร"
สุนทรภู่ถึงจะไม่กำพร้าบิดาตายจากก็จริง แต่ก็พลัดพรากจากบิดาตั้งแต่อายุเพียง ๑ ขวบ ดาวอาทิตย์เป็นวินาศแก่ลัคนาตามตำราโหราศาสตร์ น่าจะต้องพลัดพรากจากบิดาจริงตามตำราว่าไว้ แต่บิดาของสุนทรภู่ไม่ใช่คนไร้หัวนอนปลายตีน เป็นข้าราชการทหารมีบรรดาศักดิ์เป็นขุนศรีสังหาญ ตำแหน่งปลัดกรม ศักดินา ๓๐๐ ไร่ ศักดินาสูงกว่านายนรินทร์ธิเบศ ซึงมีศักดินา ๒๐๐ ไรเสียอีก ถ้าเทียบตำแหน่งปัจจุบัน ปลัดกรมก็เท่ากับเลขานุการกรม น่าจะเทียบเท่ากับข้าราชการระดับพันโท พันเอก เจ้านายผู้่ใหญ่แม้พระเจ้าอยู่หัวก็น่าจะทรงทราบประวัติดีอยู่ เมื่อไปบวชอยู่ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็น พระครูธรรมรังสี เจ้าคณะเมืองแกลง ฝ่ายอรัญวาสี เทียบตำแหน่งปัจจุบันก็เท่ากับเจ้าคณะจังหวัด เป็นพระราชาคณะแล้ว
ส่วนมารดาสุนทรภู่น้ันพบในที่แห่งหนึ่งว่าชื่อ ช้อย เป็นชาวแปดริ้ว แต่แน่นอนเป็นแม่นมในพระราชธิดาของวังหลัง คือพระองค์เจ้าหญิงจงกล แปลว่าทำงานอยู่ในวังหลังนั่นเอง คนที่เป็นแม่นมโอรสธิดาเจ้านายนี้ ท่านมักจะเลือกสรรกันมากพอสมควรทีเดียว คือต้องเลือกเอาคนมีชาติมีตระกูล รูปร่างลักษณะดี นมดีด้วย เพราะว่าจะต้องให้ลูกท่านดื่มนมในอก เท่ากับเป็นแม่คนที่สองของเจ้านายเล็กๆ มีตำราท่านเลือกแม่นมมาแต่โบราณแล้ว มีกล่าวในกาพย์มโนรา ว่าดังนี้
๐ สั่งให้หาแม่นม อ้อนแอ้นเอวกลม รูปทรงพร้อมด้วยลักษณา
เชื้อชาติผู้ดี สกุลมีจึงเอามา พงศ์เผ่าเหล่าพระยา มีอัชฌาเชื่อผู้ดี
๐ ลางนางผิวพรรณขาว นมยานยาวถึงนาภี นมใสไม่สู้ดี ลางนางมีนมเป็นพวง
๐ เลือกเสียมิให้เอา มิให้เฝ้าพระลูกหลวง ลางนางนมคัดทรวง เต่งต้ังเต้าไม่เข้าการ
๐ ลางนางน้้นนมงอน น้ำนมน้ันเปรี้ยวไม่สู้หวาน เอาแต่พอประมาณ พานคล้อยๆน้อยจึงดี
๐ เนื้อหนังอ่อนละไม ทรงวิไลเลิศสตรี ปัญจะกับยานิ ผิวผ่องสีเนื้อดำแดง
๐ เอาใส่ในราชการ น้ำนมหวานไม่แสลง สั่งให้เร่งจัดแจง รู้คล่องแคล่วกิริยา"
แสดงว่าแม่นมนี้ท่านเลือกคนดีมีสกุล รูปร่างดี นมดีด้วย คนที่เป็นแม่นมพระองค์เจ้านี้ จึงเป็นประกาศนียบัตรอยู่ในตัวว่ามีคุณภาพ ก็เอาเป็นว่า แม่ช้อยมารดาสุนทรภู้น้ันเป็นคนดีมีตระกูล รูปร่างหน้าตาดี เป็นคนคล่องแคล่วรู้ขนมธรรมเนียมในรั้่วในวังดีด้วย บิดามารดาของสุนทรภู่จึงต้องเป็นคนดีทั้งสองฝ่าย
การที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานเช่นนี้ ก็สันนิษฐานจากคำว่า "ฐานานุประเทศ" โดยทรงจับเอาคำ่า "ฐานา" มาว่าเป้น "ฐานานุกรม" (ฐาน + อนุุ + กรม) แต่ที่จริงแล้วคำว่า "ฐานานุกรม" กับ "ฐานานุประเทศ" มีความหมายต่างกัน
"ฐานานุกรม" แปลว่า "ตำแหน่งกรมการน้อย" หมายถึงพระภิกษุที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานน้อย คือช่วยทำงานให้แก่พระราชาคณะผู้ใหญ่ เช่น ตำแหน่งพระราชาคณะ มีสิทธิ์ต้ังพระภิกษุให้เป็นฐานานุกรมได้ ๘ รูป ๑๐ รูป อย่างเช่น สมเด็จพระสังฆราชพระกิตติวุฒโฑภิกขุ เป็นพระอุดรคณาภิรักษ์ นี่ก็เป็นตำแหน่งฐานานุกรมของสมเด็จพระสังฆราชวัดพระเชตุพน เป็นต้น คือ มีตำแหน่งเป็นคณะกรรมการน้อยของสมเด็จพระสังฆราช ช่วยทำงานให้สมเด็จพระสังฆราชในการบริหารการคณะสงฆ์ ไม่ใช่มีตำแหน่งที่พระราชาทรงต้ังเองโดยตรง
"ฐานานุกรม" แปลว่า "ตำแหน่งกรมการเมือง" (อนุประเทศ แปลว่า ประเทศน้อยหรือ หัวเมือง ) สุนทรภู่่่ท่านบอกว่าบิดาของท่านเป็น "ฐานุประเทศอธิบดี" อธิบดี แปลว่า ใหญ่ ถ้าแปลคำว่า "ฐานานุประเทศอธิบดี" ก็ต้องแปลว่า "มีตำแหน่งเป็นใหญ๋ในกรมการเมืองฝ่ายสงฆ์เมืองแกลง" คือ เป็นใหญ่ในเมืองแกลงฝ่ายสงฆ์ ได้แก่ "เป็นเจ้าคณะเมืองแกลง" นั่นเอง ไม่ใข่มีตำแหน่งเป็นฐานานุกรมของเจ้าคณะเมืองแกลงแต่อย่างใด สุนทรภู่ยังบอกต่อไปว่า "จอมกษัตริย์โปรดปรานประทานนาม" จะโปรดปรานประทานนามใครไปไม่ได้ นอกจากโปรดปรานประทานนามบิดาสุนทรภู่นั่นเอง เพราะสุนทรภู่ไม่ได้กล่าวถึงคนอื่น ท่านกล่าวถึงบิดาโดยตรงว่า จอมกษัตริย์โปรดปรานประทานนาม คือ พระราชทานราชทินนามสมณศักดิ์ให้ จอมกษัตริย์องค์น้ันคือองค์ใด ก็บิดาสุนทรภู่บวชเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๐ จนถึงปีสุนทรภู่ไปเมืองแกลง พ.ศ. ๒๓๕๐ ก็อยู่ในสมัยรัชกาลที่ ๑ จอมกษัตริย์ในที่นี้คือ รัชกาลที่ ๑ นั่นเอง
สุนทรภู่ยังได้กล่าวถึงบิดาต่อไปว่า เป็น "เจ้าอารามอรัญธรรมรังสี" คือ บอกว่า เป็นเจ้าอาราม มีราชทินนามสมณศักดิ์ว่า "พระครูธรรมรังสี" เปิดดูในทำเนียบสมณศักดิ์แล้วปรากฎว่า พระครูธรรมรังสีเป็นตำแหน่งเจ้าคณะเมืองแกลงฝ่ายอรัญวาสี บิดาสุนทรภู่เป็นพระสายปฎิบัติธุดงควัตร หรือพระสายวิปัสสนาธุระ ไม่ใช่พระฝ่ายคันถธูระ คือ เป็นพระคณะวัดป่าแก้ว เรียกว่าคงจะมีคนเคารพนับถือมาก มีชื่อเสียงมากพอสมควรทีเดียว ความจึงทราบถึงพระเนตรพระกรรณจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้มีสมณศักดิ์เป็น พระครูธรรมรังสี มีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะเมืองแกลง ฝ่ายอรัญวาสี ในสมัยน้ันเจ้าคณะสงฆ์แบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายคามวาสี และฝ่ายอรัญวาสี แม้วัดในกรุงเทพฯ เช่น วัดสระเกศ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ นี้ก็ยังมีเจ้าอาวาส ๒ รูป ครองอารามร่วมกันเป็นผู้ปกครองสงฆ์ คือ พระธรรมทานาจารย์ (ภู่) เจ้าอาวาสฝ่ายคันถธุระ พระวินยานุกูล (ศรี) เจ้าอาวาสฝ่ายวิปัสสนาธุระ
เรื่องบิดาของสุนทรภู่นี้ แม้ ก.ศ.ร. กุหลาบ นักประวัติศาสตร์พงศาวดารสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็สนใจได้จดไว้เป็นหลักฐานในหนังสือ "สยามประเทศ" ว่า
"ขุนสุนทรโวหาร (ภู่) เป็นบุตร ขุนศรีสังหาญ (พลับ) บ้านมีอยู่หลังป้อมวังหลัง เป็นสะเตเชั่นรถไฟ สายเพชรบุรี มารดาชื่อใดไม่ทราบ"
ก.ศ.ร. กุหลาบ คนนี้เป็นผู้สนใจในประวัติศาสตร์พงศาวดารโบราณคดี ได้ศึกษาค้นคว้าทางนี้มาก แต่สมัยน้นัยังหวงวิชากันอยู่ ก.ศ.ร. กุลาบจึงต้องเที่ยวลักค้นลอกเอาจากตำรับตำราในหอสมุดหลวง แต่เกรงพระอาญา จึงต้องคัดแปลงแต่งต่อเติมเอาบ้าง ลบศักราชเสียบ้าง เพื่อมิให้มีโทษว่าลักคัดลอกตำราหลวง ทำให้เป็นที่สงสัยว่าไปเอามาแต่ไหน ก.ศ.ร. กุลาบก็อ้าวว่าเอามาจากตำราเก่าของเจ้นายขุนนางที่เสียชีวิตไปแล้ว คราวหนึ่งแต่งพระราชพงศาวดารเพิ่มเติมว่า พระจอมเกศ พระจุลจอมเกศ ล่อพระนามพระเจ้าอยู่หัว จึงถูกสอบสวน ก.ศ.ร. กุหลาบก็สารภาพว่า ทำให้เจ้านายไม่เชื่อถือ ก.ศ.ร .กุหลาบว่า "กุเรื่อง" คือ โกหก คำว่า กุหลาบ ก็เลยกลายเป็น" กุหก " หรือ "โกหก" ไปเสีย แต่ในหนังสือ "สยามประเทศ" ก็มีพงศาวดารและประวัติบุคคลที่เป็นจริงอยุู่เกือบทั้งหมด เราจะโทษ ก.ศ.ร. กุหลาบไม่ได้ ต้องโทษเรื่องธรรมเนียมหวงวิชาของคนไทยเราทีทำให้ ก.ศ.ร. กุหลาบต้องเบือนต้องแปลงไปบ้าง เพื่อมิให้ต้องได้รับโทษฐานคัดลอกหนังสือหลวง ก็น่าแปลกใจแม้หนังสือราชกิจจานุเบกษาก็มีข้อห้ามเอาไว้ว่า ห้ามคัดลอก อย่างไรก็ดี เราก็ได้รู้จักชื่อของบิดาของสุนทรภู่จากหนังสือสยามประเทศว่าชื่อ "ขุนศรีสังหาญ (พลับ) ก.ศ.ร.กุหลาบยังบอกต่อไปอีกว่า ่"ได้พบตัวนายพัด บุตรชายสุนทรภู่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗ ขณะนั้นนายพัดอายุ ๘๖ ปี ความจำยังดีไม่หลงลืม แต่ไม่เป็นนักปราชญ์เหมือนบิดา
สุนทรภู่บอกว่า เมื่อไปเยี่ยมบิดาในปีพ.ศ. ๒๓๕๐ นั้นบิดาของสุนทรภู่
"เจริญพรตยศยิงโมลี
กำหนดยี่สิบพรรษาสถาพร"
บอกว่า "เจริญพรตยศยิ่งโมลี" คือ มียศศักดิ์สุงเหนือเกล้าของพระสงฆ์ทั่วไปด้วย
บอกไว้ชัดเจนว่า่ "บวชมา ๒๐ พรรษาสถาพร" เป็น "มหาเถร" แล้ว
ได้ตรวจดูทำเนียบข้าราชการวังหลังดูแล้ว ปรากฎว่า มีตำแหน่ง ขุนศรีสังหาญ ปลัดกรมขวา กรมอาสาวิเศษซ้าย ศักดินา ๓๐๐ ไร่ จึงมีหลักฐานแน่ชัดว่า ขุนศรีสังหาญ มีตำแหน่งนามบรรดาศักดิ์อยู่ในวังหลังจริง เข้ากับเรื่องที่สุนทรภู่รับราชการอยู่ในสังกัดวังหลัง ไม่ใช่เรื่องที่กล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยเลย จะขอยกทำเนียบข้าราชการวังหลังมาให้ดู ดังนี้
กรมอาสาวิเศษซ้าย
หลวงวิจารณ์ภักดี เจ้ากรม ศักดินา ๔๐๐
ขุนศรีสังหาญ ปลัดกรมขวา ศักดินา ๓๐๐
ขุนพิมานนที ปลัดกรมซ้าย ศักดินา ๓๐๐
ทำเนียบนามตำแหน่งในกรมอาสาวิเศษซ้ายนี้ แสดงหลักฐานแน่ชัดว่า ขุุนศรีสังหาญ (พลับ) มี่ตำแหน่งเป็นนายทหารสังกัดอยู่ในกรมอาสาวิเศษซ้ายนี้ ซึ่งเป็นกรมในสังกัดกรมล้อมวัง ในกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข เรียกในสมัยนี้ก็คงเท่ากับกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ซึ่งก็ไม่ใช่ตำแหน่งเล็กน้อยนัก บุตรชายของท่านจึงได้เข้ารับราชการอยู่ในวังหลังด้วย ในตำแหน่งมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระราชโอรสของวังหลัง กรมพระราชวังหลังสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๓๔๙ พระชนมายุ ๖๑ พรรษา เม่ื่อวังหลังสวรรคตแล้วเป็นธรรมเนียมของข้าราชการจะต้องโอนมาสังกัดวังหน้า ตอนนี้เองที่สุนทรภู่จะต้องโอนมาสังกัดวังหน้าด้วย ในปีพ.ศ.๒๓๔๙ นั้นเอง
ปีพ.ศ.๒๓๕๐ สุนทรภุ่อายุครบ ๒๐ ปี จีงได้เดินทางไปหาบิดา ต้ังใจจะไปบวชด้วย ได้ไปหาบิดาที่วัดบ้านกร่ำ เมืองแกลง วัดที่พระครูธรรมรังสีเป็นเจ้าอาวาสอยู่ แต่ก็เกิดป่วยเป็นไข้ต้ังแต่เดือน ๗ จนถึงเดือน ๙ เลยไม่่ได้บวช จึงได้เดินทางกลับในเดือน ๙ ปีพ.ศ.๒๓๕๐ (วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๕๐) นั้น สุนทรภู่รำพันว่า
"โอ้ชนนีอยู่ศรีอยุธยา
บิดามาอ้างว้างอยู่กลางไพร"
สุนทรภู่ถึงจะไม่กำพร้าบิดาตายจากก็จริง แต่ก็พลัดพรากจากบิดาตั้งแต่อายุเพียง ๑ ขวบ ดาวอาทิตย์เป็นวินาศแก่ลัคนาตามตำราโหราศาสตร์ น่าจะต้องพลัดพรากจากบิดาจริงตามตำราว่าไว้ แต่บิดาของสุนทรภู่ไม่ใช่คนไร้หัวนอนปลายตีน เป็นข้าราชการทหารมีบรรดาศักดิ์เป็นขุนศรีสังหาญ ตำแหน่งปลัดกรม ศักดินา ๓๐๐ ไร่ ศักดินาสูงกว่านายนรินทร์ธิเบศ ซึงมีศักดินา ๒๐๐ ไรเสียอีก ถ้าเทียบตำแหน่งปัจจุบัน ปลัดกรมก็เท่ากับเลขานุการกรม น่าจะเทียบเท่ากับข้าราชการระดับพันโท พันเอก เจ้านายผู้่ใหญ่แม้พระเจ้าอยู่หัวก็น่าจะทรงทราบประวัติดีอยู่ เมื่อไปบวชอยู่ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็น พระครูธรรมรังสี เจ้าคณะเมืองแกลง ฝ่ายอรัญวาสี เทียบตำแหน่งปัจจุบันก็เท่ากับเจ้าคณะจังหวัด เป็นพระราชาคณะแล้ว
ส่วนมารดาสุนทรภู่น้ันพบในที่แห่งหนึ่งว่าชื่อ ช้อย เป็นชาวแปดริ้ว แต่แน่นอนเป็นแม่นมในพระราชธิดาของวังหลัง คือพระองค์เจ้าหญิงจงกล แปลว่าทำงานอยู่ในวังหลังนั่นเอง คนที่เป็นแม่นมโอรสธิดาเจ้านายนี้ ท่านมักจะเลือกสรรกันมากพอสมควรทีเดียว คือต้องเลือกเอาคนมีชาติมีตระกูล รูปร่างลักษณะดี นมดีด้วย เพราะว่าจะต้องให้ลูกท่านดื่มนมในอก เท่ากับเป็นแม่คนที่สองของเจ้านายเล็กๆ มีตำราท่านเลือกแม่นมมาแต่โบราณแล้ว มีกล่าวในกาพย์มโนรา ว่าดังนี้
๐ สั่งให้หาแม่นม อ้อนแอ้นเอวกลม รูปทรงพร้อมด้วยลักษณา
เชื้อชาติผู้ดี สกุลมีจึงเอามา พงศ์เผ่าเหล่าพระยา มีอัชฌาเชื่อผู้ดี
๐ ลางนางผิวพรรณขาว นมยานยาวถึงนาภี นมใสไม่สู้ดี ลางนางมีนมเป็นพวง
๐ เลือกเสียมิให้เอา มิให้เฝ้าพระลูกหลวง ลางนางนมคัดทรวง เต่งต้ังเต้าไม่เข้าการ
๐ ลางนางน้้นนมงอน น้ำนมน้ันเปรี้ยวไม่สู้หวาน เอาแต่พอประมาณ พานคล้อยๆน้อยจึงดี
๐ เนื้อหนังอ่อนละไม ทรงวิไลเลิศสตรี ปัญจะกับยานิ ผิวผ่องสีเนื้อดำแดง
๐ เอาใส่ในราชการ น้ำนมหวานไม่แสลง สั่งให้เร่งจัดแจง รู้คล่องแคล่วกิริยา"
แสดงว่าแม่นมนี้ท่านเลือกคนดีมีสกุล รูปร่างดี นมดีด้วย คนที่เป็นแม่นมพระองค์เจ้านี้ จึงเป็นประกาศนียบัตรอยู่ในตัวว่ามีคุณภาพ ก็เอาเป็นว่า แม่ช้อยมารดาสุนทรภู้น้ันเป็นคนดีมีตระกูล รูปร่างหน้าตาดี เป็นคนคล่องแคล่วรู้ขนมธรรมเนียมในรั้่วในวังดีด้วย บิดามารดาของสุนทรภู่จึงต้องเป็นคนดีทั้งสองฝ่าย
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น