๔. การศึกษา
สุนทรภู่เกิดในบริเวณวังหลัง คือบริเวณที่เป็นโรงพยาบาลศิริราช และสถาณีรถไฟบางกอกน้อยทุกวันนี้ ขุนศรีสังหาญ (พลับ) บิดารับราชการฝ่ายทหารอยู่ในสังกัดกรมทหารล้อมวัง มีตำแหน่งเป็นปลัดกรมขวา กรมอาสาวิเศษซ้าย มีศักดินา ๓๐๐ ไร่ ก็ไม่ใช่ตำแหน่งนายทหารชั้นผู้น้อย เทียบตำแหน่งปัจจุบันนี้ก็เท่ากับนายพันโทพันเอก มารดาสุนทรภู่ก็รับราชการฝ่ายใน เป็นแม่นมของพระธิดาวังหลัง คือ พระองค์เจ้าจงกล ก็นับว่าเป็นฝ่ายใกล้ชิดเจ้านายชั้นสูงระดับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน สุนทรภู่จึงเติบโตขึ้นมาในวัง เรียกว่าได้อยู่ในสำนักการศึกษาที่ดีมาแต่เด็ก วัดและวังเป็นสถานการศึกษาของคนในสมัยก่อน สุนทรภู่นับว่าโชคดีกว่าเด็กชายชาวบ้านคนอื่นๆ อีกมาก การที่ได้รับการศึกษาวิชาความรู้และสมบัติผู้ดีจากในวังนึ้แหละเป็นพื้นฐานชีวิตของสุนทรภู่ที่สำคัญมาก เพราะเท่ากับสุนทรภู่ได้อยู่ในสำนักทีดี อยู่ในสังคมชั้นสูง ทำให้รู้ขนบธรรมเนียมประเพณี ได้มีโอกาสศึกษา อ่่านตำรับตำราจากในร้ัวในวังเจ้านาย ถ้าจะว่าไปแล้วเท่ากับสุนทรภู่ได้ผ่านมหาวิทยาลัยในสมัยโบราณมาแล้่ว โอกาสในชีวิตของสุนทรภู่ไม่่ด้อยไปกว่าบุตรธิดาของเจ้านายเลย แม้ในชั้นหลังเจ้านายยังไว้ใจในความรู้และคุณสมบัติของสุนทรภู่ถึงแก่นำเอาโอรสมาฝากให้เป็นลูกศิษย์สุนทรภู่ด้วย นี่คือประกาศนียบัตรรับรองความรู้และความเชื่อถือของเจ้านายในสมัยนั้น
ดูเหมือนว่านอกจากในวังแล้ว สุนทรภู่ยังเคยเป็นเด็กวัดแจ้งด้วย ได้กล่าวไว้ในนิราศสุพรรณบุรีว่าดังนี้
"วัดแจ้งแต่งตึกตั้ง เตียงนอน
เคยปกนกน้อยคอน คู่พร้อง
เคยลอบตอบสารสมร สมานสมัคร รักเอย
จำพรากจากนุชน้อย นกน้อย ลอยลม ฯ"
แสดงว่าเคยเป็นเด็กวัดแจ้ง จึงกล่าวถึงตึกเตียงที่นอน แล้วกล่าวถึงหญิงชื่อนกว่าเคยแต่งสารโต้ตอบกัน เคยมีสัมพันธสวาทกับหญิงชื่อนกคนนี้ แล้วก็พลัดพรากจากกันไป เด็กวัดสมัยโน้นไม่ใช่เด็กเล็กๆ อายุต้ังแต่ ๘ ปีจนถึง ๑๕ ปี ๑๖ ปีก็ยังเป็นเด็กวัดอยู่ แม้ข้าพเจ้าเองก็เคยเป็นเด็กวัด อาศัยวัดเรียนหนังสือมาจนอายุ ๑๕ ปี บางคนอายุ ๑๘ ปี ๑๙ปีก็ยังมี เรียกว่าอาศัยวัดมาจนเป็นหนุ่ม
อีกตอนหนึ่งกล่าวว่า
"วัดชีปะขาวคราวรุ่นรู้ เรียนเขียน
ทำสูตรสอนเสมียน สมุดน้อย
เดินระวางระวางเวียน หว่างวัด ปะขาวเอย
เคยชื่นกลืนกลิ่นสร้อย สวาทห้าง กลางสวน ฯ"
ว่าเคยอยู่วัดชีปะขาวด้วย คือวัดศรีสุดารามบัดนี้ เคยทำสูตรสอนเสมียนด้วย คือการสอนการแต่งหนังสือ แต่งสาร หรือแต่งเพลงยาวนั่นเอง เคยเดินระวาง คือเป็นพนักงานรังวัดที่สวนของวังหลัง เคยพบหญิงสาวชือสร้อย เคยมีสัมพันธสวาทกันบนห้าง (โรง) เฝ้าสวน
อีกตอนหนึ่งกล่าวว่า
"วัดพิกุลรุ่่นกลิ่นเกลี้ยง กลอยใจ
แรกรุ่นร้อยมาลัย ใส่เหล้น
เรียบร้อยค่อยสอดไหม เหมือนแน่ แลเอย
ร้้อยคล่องต้องน่ังเฟ้น นวดฟันท่านครู "
คงจะเป็นเมื่อสมัยยังเด็กอยู่ในวัง นั่งร้อยดอกพิกุลทำพวงมาลัย และต้องนวดเฟ้นครู คือหญิงชาววัง
การเรียนหนังสือสมัยน้ัน คือ การเรี่ยนหนังสือไทยและหนังสือขอมด้วยเพราะอักษรที่จารึกในสมุดข่อยและใบลานมักเป็นอักษรขอม ที่จริงควรเข้าใจด้วยว่า "หนังสือขอม" ไม่ใช่หมายความว่าหนังสือเขมร หนังสือเขมรแปลว่า "หนังสือใหญ่" คนโบราณเรียกหนังสือขอมว่า "หนังสือใหญ่" เพราะ "ขอม" แปลว่า "ใหญ่" ท่าขนอม ที่นครศรีธรรมราชน้ัน แปลว่า "ท่าเรือใหญ่" ขอม แผลงเป็น ขนอม แปลว่า ใหญ่ สถานีรถไฟที่มหาชัย ชือ่ สถานีบ้านขอม แปลว่า บ้านใหญ่ ไม่ได้แปลว่ บ้านเขมร วัดวชิรคาม ที่สมุทรสงคราม สมภารคยว่า สมัยก่อนเรียนหนังสือใหญ่ ถามว่าหนังสือใหญ่คือหนังสืออะไร ท่านตอบว่ า คือหนังสือโบราณแบบหนังสือขอมนั่นแหละ ที่วัดยี่สาร สมุทรสงคราม มีตุ่มเคลือบขนาดใหญ่ เขาเรียกว่า ตุ่มขอม แปลว่า ตุ่มใหญ่ ไม่ได้หมายความว่า ตุ่มเขมร คนโบราณตัวโตๆ ร่างสูงใหญ่มักจะชือว่า "ขอม" หมายความว่า ร่างกายสูงใหญ่ สมัยสุนทรภู่น้ันแน่นอนต้องเรียนหนังสือใหญ่ด้วย สุนทรภู่นั้ินคงจะสติปัญญาดี สมองดี ความจำดี ช่างคิด ช่างฝัน ช่างสังเกตุ ตามตำราโหราศาสตร์ว่า "ดูปัญญาบริสุทธิ์ให้ดูพฤหัส" ดาวพฤหัสของสุนทรภู่อยูราศีเมษ ตามตำราว่าเป็นดาวให้คุณแรง เป็น ๑๐ แก่ลัคนาด้วย ท่านว่า เป็นคนมีสติปัญญาสูง สัมพันธ์กับศุกร์ที่กุมลัคนาร่วมเป็นดาวอังคาร แสดงว่ามีญาณพิเศษที่เพ้อฝันลึกซึ้ง ลึกล้ำ สูงส่ง ส่งผลให้เป็นกวีเอกอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เป็นศิลปิน เป็นคนเจ้าชู้ มีความใฝ่ฝันอันบรรเจิดคลุกเคล้ามัวเมาอยู่ด้วยความรักความหลงเพราะมีเสาร์และราหูเล็งลัคนาอยู่ด้วย เต็มไปด้วยอหังการ คือความถือตัวถือตนว่าเป็นเลิศในทางการกวีไม่มีใครเท่าเทียม มีมนังการคือนึกว่าตนเองเป็นเจ้าเป็นใหญ่อยู่ในบทกลอน ขอให้สังเกตุดูประวัติชีวิตของท่านที่ต้องตกยากก็เพราะความหลงตัวหลงตนความทนงตนนี่เอง "อันหม่อมฉันนี้ที่ดีและที่ชั่ว ถึงลับตัวแต่ชื่อเขาลือฉาว เป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว เขมรลาวลือเลืองถึงเมืองนคร" นี่คือความทนง ความอหังการของสุนทรภู่
ต่อมาพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระโอรสของวังหน้า ทรงผนวชที่วัดอรุณราชวราราม สุนทรภู่ก็ได้ติดตามไปเป้นมทาดเล็กรับใช้อยู่ทีวัดอรุณฯ ระยะนี้เองสุนทรภู่ได้แต่งนิยายเรื่อง โคบุตร ขึ้นถวายพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ เป็นเรืองแรก
เรื่องโคบุตรนี้เป็นชาดกเรื่องหนึ่ง ความวาแม่โคกับพ่อเสือ มีลูกคนละตัว ลูกโคกับลูกเสือเป็นเพื่อนกัน วันหนึ่งแม่เสือได้กินแม่โคเสีย ลูกโคกับลูกเสือรักัน จึงช่วยกันขวิดและกัดแม่เสือจนตาย และเป็นเพื่อนกันต่อมา
สุนทรภู่คงจะติดใจชาดกเรืองนี้มา เพราะตัวสุนทรภู่เองเปรียบเหมือนลูกโค ไม่มีเขี้ยวเล็บอะไร แต่ลูกเสือก็มารักใคร่เป็นมิตรสหายด้วย พระองค์เจ้าปฐมวงศ์ซึงเปรียบเหมือนลูกเสือ เพราะมีอำนาจวาสนาเป็นพระราชโอรสของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน จึงได้แต่งเรื่องนี้ขึ้นทูลเกล้าถวายเป็นเครื่องหมายแห่งความกตัญญูของตน ต่อมาเมื่อพระองค์เจ้าปฐมวงศ์เสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทที่สระบุรี ในปลายปี พ.ศ. ๒๓๕๐ น้ัน สุนทรภู่ก็ได้ตามเสด็จไปด้วย จึงได้แต่งนิราศพระบาทขึ้นเป็นเรื่องที่สอง รองจากนิราศเมืองแกลง ทั้งเรื่องโคบุตร นิราศเมืองแกลง นิราศพระบาท เป็นประกาศนียบัตรรับรองคุณวุฒิของท่านว่า มีฝืมือในการกวีอยู่มาก เรียกว่าเป็นวิทยานิพนธ์ที่เจ้านายรับรองว่าจบมหาวิทยาลัยแล้วในทางกวี ได้ปริญญาทางกวีแล้วต้ังแต่น้ันมา เพราะในสมัยโน้นคนที่จะมีความรู้ถึงขนาดแต่งหนังสือเป็นเรื่องราวได้ถึงขนาดนี้นั้นหาตัวได้ยาก แม้ปัจจุบันนี้ว่าการศึกษาเจริญมากแล้ว แต่คนที่จะแต่งกลอนได้ถีงขนาดสุนทรภู่ก็ยังหาได้ไม่มากนัก ข้าพเจ้าเองก็ลองพยายามแต่งนิราศคำกลอน คำโคลงดูบ้าง แต่งเพลงยาวบ้าง คิดว่าพอแต่งได้ ก็แต่งได้จริงอยู่แต่จะให้ไพเราะลึกซึ้งกินใจคนอ่าน อบอวลอยู่ด้วยอารมณ์กวีเหมือนสุนทรภู่น้ันทำไม่ได้ ถึงคนอื่นๆจะพยายามตะเกียดตะกายกันอยู่หลายคนในทุกวันนี้ ก็คงจะรู้ๆกันอยู่ว่าเป็นไปได้ขนาดไหน แม้แต่คนที่่ตำหนิสุนทรภู่ต่างๆ ก็เหมือนนกกระจอกที่กำลังบินแข่งกับนกอินทรี ถึงอยางไรมหาชนก็ยอมรับในความเป็นกวีเอกของสุนทรภู่ บัดนี้ท่านก็เป็นกวีเอกของโลกไปแล้ว ท้ังหมดนี้ก็มาแต่พื้นฐานการศึกษาของท่านเป็นส่วนส่งเสริมอย่างสำคัญอยู่ส่วนหนึ่ง พื้นฐานทางสังคมของท่านที่ได้รับจากบุคคลชั้นสูง สุนทรภู่สัมพันธ์สัมผัสอยู่กับบุคคลในระดับสูงในรั้วในวัง จากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินมาตลอดชีวิตของท่านต้ังแต่เล็กแต่น้อยมาจนกระทั่งบวชอยู่ก็อยู่วัดหลวงพระอารามหลวงตลอดท้ัง ๔ วัด คือ วัดอรุณราชวราราม วัดพระเชตุพน ก็ต้ังติดๆอยู่กับวังหลวง วัดราชบูรณะ วัดเทพธิดา และวัดสระเกศ ล้วนแต่เป้นวัดหลวงมีเจ้านายเข้าออกทำบุญกุศลอยู่เสมอมา นี่คือพื่นฐานทางสังคมของท่านสุนทรภู่ เรียกว่าท่านไม่ได้เสวนากับพาลานังเลย แต่ท่านเสวนากับบัณฑิตมาตลอดชีวิตทีเดียว เดี๋ยวนี้เราพูดกันว่าชีวิตคือการศึกษา การศึกษาคือชีวิต คลอดเวลาเราศึกษาจากชีวิตของการงานและผู้คนในสังคม จะเห็นได้ว่่าสุนทรภู่มีการศึกษาจากสังคม และผู้คนในระดับบัณฑิตมาโดยตลอด ชีวิตของท่านไม่ได้มั่วสุมกับพาลชนเสเพลที่ไหนเลย นี่คืออิทธิพลการศึกษาที่มีต่อชีวิตของสุนทรภู่
"วัดแจ้งแต่งตึกตั้ง เตียงนอน
เคยปกนกน้อยคอน คู่พร้อง
เคยลอบตอบสารสมร สมานสมัคร รักเอย
จำพรากจากนุชน้อย นกน้อย ลอยลม ฯ"
แสดงว่าเคยเป็นเด็กวัดแจ้ง จึงกล่าวถึงตึกเตียงที่นอน แล้วกล่าวถึงหญิงชื่อนกว่าเคยแต่งสารโต้ตอบกัน เคยมีสัมพันธสวาทกับหญิงชื่อนกคนนี้ แล้วก็พลัดพรากจากกันไป เด็กวัดสมัยโน้นไม่ใช่เด็กเล็กๆ อายุต้ังแต่ ๘ ปีจนถึง ๑๕ ปี ๑๖ ปีก็ยังเป็นเด็กวัดอยู่ แม้ข้าพเจ้าเองก็เคยเป็นเด็กวัด อาศัยวัดเรียนหนังสือมาจนอายุ ๑๕ ปี บางคนอายุ ๑๘ ปี ๑๙ปีก็ยังมี เรียกว่าอาศัยวัดมาจนเป็นหนุ่ม
อีกตอนหนึ่งกล่าวว่า
"วัดชีปะขาวคราวรุ่นรู้ เรียนเขียน
ทำสูตรสอนเสมียน สมุดน้อย
เดินระวางระวางเวียน หว่างวัด ปะขาวเอย
เคยชื่นกลืนกลิ่นสร้อย สวาทห้าง กลางสวน ฯ"
ว่าเคยอยู่วัดชีปะขาวด้วย คือวัดศรีสุดารามบัดนี้ เคยทำสูตรสอนเสมียนด้วย คือการสอนการแต่งหนังสือ แต่งสาร หรือแต่งเพลงยาวนั่นเอง เคยเดินระวาง คือเป็นพนักงานรังวัดที่สวนของวังหลัง เคยพบหญิงสาวชือสร้อย เคยมีสัมพันธสวาทกันบนห้าง (โรง) เฝ้าสวน
หอวรรณกรรมพระสุนทรโวหาร วัดศรีสุดาราม
อีกตอนหนึ่งกล่าวว่า
"วัดพิกุลรุ่่นกลิ่นเกลี้ยง กลอยใจ
แรกรุ่นร้อยมาลัย ใส่เหล้น
เรียบร้อยค่อยสอดไหม เหมือนแน่ แลเอย
ร้้อยคล่องต้องน่ังเฟ้น นวดฟันท่านครู "
คงจะเป็นเมื่อสมัยยังเด็กอยู่ในวัง นั่งร้อยดอกพิกุลทำพวงมาลัย และต้องนวดเฟ้นครู คือหญิงชาววัง
การเรียนหนังสือสมัยน้ัน คือ การเรี่ยนหนังสือไทยและหนังสือขอมด้วยเพราะอักษรที่จารึกในสมุดข่อยและใบลานมักเป็นอักษรขอม ที่จริงควรเข้าใจด้วยว่า "หนังสือขอม" ไม่ใช่หมายความว่าหนังสือเขมร หนังสือเขมรแปลว่า "หนังสือใหญ่" คนโบราณเรียกหนังสือขอมว่า "หนังสือใหญ่" เพราะ "ขอม" แปลว่า "ใหญ่" ท่าขนอม ที่นครศรีธรรมราชน้ัน แปลว่า "ท่าเรือใหญ่" ขอม แผลงเป็น ขนอม แปลว่า ใหญ่ สถานีรถไฟที่มหาชัย ชือ่ สถานีบ้านขอม แปลว่า บ้านใหญ่ ไม่ได้แปลว่ บ้านเขมร วัดวชิรคาม ที่สมุทรสงคราม สมภารคยว่า สมัยก่อนเรียนหนังสือใหญ่ ถามว่าหนังสือใหญ่คือหนังสืออะไร ท่านตอบว่ า คือหนังสือโบราณแบบหนังสือขอมนั่นแหละ ที่วัดยี่สาร สมุทรสงคราม มีตุ่มเคลือบขนาดใหญ่ เขาเรียกว่า ตุ่มขอม แปลว่า ตุ่มใหญ่ ไม่ได้หมายความว่า ตุ่มเขมร คนโบราณตัวโตๆ ร่างสูงใหญ่มักจะชือว่า "ขอม" หมายความว่า ร่างกายสูงใหญ่ สมัยสุนทรภู่น้ันแน่นอนต้องเรียนหนังสือใหญ่ด้วย สุนทรภู่นั้ินคงจะสติปัญญาดี สมองดี ความจำดี ช่างคิด ช่างฝัน ช่างสังเกตุ ตามตำราโหราศาสตร์ว่า "ดูปัญญาบริสุทธิ์ให้ดูพฤหัส" ดาวพฤหัสของสุนทรภู่อยูราศีเมษ ตามตำราว่าเป็นดาวให้คุณแรง เป็น ๑๐ แก่ลัคนาด้วย ท่านว่า เป็นคนมีสติปัญญาสูง สัมพันธ์กับศุกร์ที่กุมลัคนาร่วมเป็นดาวอังคาร แสดงว่ามีญาณพิเศษที่เพ้อฝันลึกซึ้ง ลึกล้ำ สูงส่ง ส่งผลให้เป็นกวีเอกอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เป็นศิลปิน เป็นคนเจ้าชู้ มีความใฝ่ฝันอันบรรเจิดคลุกเคล้ามัวเมาอยู่ด้วยความรักความหลงเพราะมีเสาร์และราหูเล็งลัคนาอยู่ด้วย เต็มไปด้วยอหังการ คือความถือตัวถือตนว่าเป็นเลิศในทางการกวีไม่มีใครเท่าเทียม มีมนังการคือนึกว่าตนเองเป็นเจ้าเป็นใหญ่อยู่ในบทกลอน ขอให้สังเกตุดูประวัติชีวิตของท่านที่ต้องตกยากก็เพราะความหลงตัวหลงตนความทนงตนนี่เอง "อันหม่อมฉันนี้ที่ดีและที่ชั่ว ถึงลับตัวแต่ชื่อเขาลือฉาว เป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว เขมรลาวลือเลืองถึงเมืองนคร" นี่คือความทนง ความอหังการของสุนทรภู่
ต่อมาพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระโอรสของวังหน้า ทรงผนวชที่วัดอรุณราชวราราม สุนทรภู่ก็ได้ติดตามไปเป้นมทาดเล็กรับใช้อยู่ทีวัดอรุณฯ ระยะนี้เองสุนทรภู่ได้แต่งนิยายเรื่อง โคบุตร ขึ้นถวายพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ เป็นเรืองแรก
เรื่องโคบุตรนี้เป็นชาดกเรื่องหนึ่ง ความวาแม่โคกับพ่อเสือ มีลูกคนละตัว ลูกโคกับลูกเสือเป็นเพื่อนกัน วันหนึ่งแม่เสือได้กินแม่โคเสีย ลูกโคกับลูกเสือรักัน จึงช่วยกันขวิดและกัดแม่เสือจนตาย และเป็นเพื่อนกันต่อมา
สุนทรภู่คงจะติดใจชาดกเรืองนี้มา เพราะตัวสุนทรภู่เองเปรียบเหมือนลูกโค ไม่มีเขี้ยวเล็บอะไร แต่ลูกเสือก็มารักใคร่เป็นมิตรสหายด้วย พระองค์เจ้าปฐมวงศ์ซึงเปรียบเหมือนลูกเสือ เพราะมีอำนาจวาสนาเป็นพระราชโอรสของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน จึงได้แต่งเรื่องนี้ขึ้นทูลเกล้าถวายเป็นเครื่องหมายแห่งความกตัญญูของตน ต่อมาเมื่อพระองค์เจ้าปฐมวงศ์เสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทที่สระบุรี ในปลายปี พ.ศ. ๒๓๕๐ น้ัน สุนทรภู่ก็ได้ตามเสด็จไปด้วย จึงได้แต่งนิราศพระบาทขึ้นเป็นเรื่องที่สอง รองจากนิราศเมืองแกลง ทั้งเรื่องโคบุตร นิราศเมืองแกลง นิราศพระบาท เป็นประกาศนียบัตรรับรองคุณวุฒิของท่านว่า มีฝืมือในการกวีอยู่มาก เรียกว่าเป็นวิทยานิพนธ์ที่เจ้านายรับรองว่าจบมหาวิทยาลัยแล้วในทางกวี ได้ปริญญาทางกวีแล้วต้ังแต่น้ันมา เพราะในสมัยโน้นคนที่จะมีความรู้ถึงขนาดแต่งหนังสือเป็นเรื่องราวได้ถึงขนาดนี้นั้นหาตัวได้ยาก แม้ปัจจุบันนี้ว่าการศึกษาเจริญมากแล้ว แต่คนที่จะแต่งกลอนได้ถีงขนาดสุนทรภู่ก็ยังหาได้ไม่มากนัก ข้าพเจ้าเองก็ลองพยายามแต่งนิราศคำกลอน คำโคลงดูบ้าง แต่งเพลงยาวบ้าง คิดว่าพอแต่งได้ ก็แต่งได้จริงอยู่แต่จะให้ไพเราะลึกซึ้งกินใจคนอ่าน อบอวลอยู่ด้วยอารมณ์กวีเหมือนสุนทรภู่น้ันทำไม่ได้ ถึงคนอื่นๆจะพยายามตะเกียดตะกายกันอยู่หลายคนในทุกวันนี้ ก็คงจะรู้ๆกันอยู่ว่าเป็นไปได้ขนาดไหน แม้แต่คนที่่ตำหนิสุนทรภู่ต่างๆ ก็เหมือนนกกระจอกที่กำลังบินแข่งกับนกอินทรี ถึงอยางไรมหาชนก็ยอมรับในความเป็นกวีเอกของสุนทรภู่ บัดนี้ท่านก็เป็นกวีเอกของโลกไปแล้ว ท้ังหมดนี้ก็มาแต่พื้นฐานการศึกษาของท่านเป็นส่วนส่งเสริมอย่างสำคัญอยู่ส่วนหนึ่ง พื้นฐานทางสังคมของท่านที่ได้รับจากบุคคลชั้นสูง สุนทรภู่สัมพันธ์สัมผัสอยู่กับบุคคลในระดับสูงในรั้วในวัง จากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินมาตลอดชีวิตของท่านต้ังแต่เล็กแต่น้อยมาจนกระทั่งบวชอยู่ก็อยู่วัดหลวงพระอารามหลวงตลอดท้ัง ๔ วัด คือ วัดอรุณราชวราราม วัดพระเชตุพน ก็ต้ังติดๆอยู่กับวังหลวง วัดราชบูรณะ วัดเทพธิดา และวัดสระเกศ ล้วนแต่เป้นวัดหลวงมีเจ้านายเข้าออกทำบุญกุศลอยู่เสมอมา นี่คือพื่นฐานทางสังคมของท่านสุนทรภู่ เรียกว่าท่านไม่ได้เสวนากับพาลานังเลย แต่ท่านเสวนากับบัณฑิตมาตลอดชีวิตทีเดียว เดี๋ยวนี้เราพูดกันว่าชีวิตคือการศึกษา การศึกษาคือชีวิต คลอดเวลาเราศึกษาจากชีวิตของการงานและผู้คนในสังคม จะเห็นได้ว่่าสุนทรภู่มีการศึกษาจากสังคม และผู้คนในระดับบัณฑิตมาโดยตลอด ชีวิตของท่านไม่ได้มั่วสุมกับพาลชนเสเพลที่ไหนเลย นี่คืออิทธิพลการศึกษาที่มีต่อชีวิตของสุนทรภู่
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น