วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ๒. วันเดือนปีเกิด



๒. วันเดือนปีเกิด

     สุนทรภู่เป็นกวีโบราณเพียงคนเดียวที่มีผู้จดวันเดือนปีเกิดไว้  แม้เวลาตกฟากก็จดไว้ด้วย  ไม่ได้จดเปล่าๆ ยังผูกดวงชะตาไว้เป็นตำราโหาราศาสตร์ด้วย  เพราะเหตุที่สุนทรภู่เป็นอัจฉริยบุรุษทางการกวี  มีชีวิตโลดโผนพิสดารมาก ได้ดีแล้วก็ตกยาก  รุ่มรวยคนรัก  แต่คนรักให้โทษให้ทุกข์  ได้ดีเพราะเป็นกวีแต่ตกยากก็เพราะเป็นกวี  บรรดาผู้สนใจในวิชาโหราศาสตร์  แม้เจ้านายก็สนใจจึงได้จดวันเดือนปีเกิดผูกดวงชะตาไว้   เข้าใจว่าสมเด็จกรมพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นผู้จดไว้แล้วผูกดวงชะตาดูว่า   ดวงดาวอะไรให้คุณ จึงเกิดมาเป็นกวีมีชื่อเสียงโด่งดังนัก  ดาวดาวอะไรให้คุณจึงเป็นกวีคนโปรดของพระเจ้าแผ่นดิน   ดาวดาวอะไรให้คุณจึงเจ้าชู้มีคู่หลายคน  ดาวดาวอะไรให้โทษจึงตกยาก  พลัดพรากจากคู่ จากยศถาบรรดาศักดิ์   การผูกดวงชะตานี้โหรต้องรู้เวลาตกฟากด้วย จึงจะวางลัคนาหรือจุดกำเนิดได้ว่าอยู่ราศีอะไร มีฤกษ์ยามอย่างไร   ฉนั้นเราจึงต้องขอบคุณโหราจารย์ คือ  กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ที่ทรงผูกดวงชะตาสุนทรภู่ไว้เป็นหลักฐาน  ทำให้เราได้ทราาบวันเดือนปีเกิดของสุนทรภู่โดยแน่นอน  และต้องขอบพระเดชพระคุณสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ที่ทรงนำดวงชะตาสุนทรภู่มาเผยแพร่ให้รู้กันอย่างแพร่หลายทั่วไป  ในดวงชะตาน้ันบอกไว้ด้วยว่า  "สุนทรภู่ อาลักษณ์ขี้เมา"     ทำให้เรานึกว่าสุนทรภู่เป็นคนขี้เหล้าเมายาถึงขนาดที่คนเอามาคุยกันสนุกปากว่า  เวลาสุนทรภู่ดื่มเหล้าเมาแล้ว   เสมียน ๒ คนซ้ายขวาก็จดคำกลอนที่สุนทรภู่คิดบอกให้จดไม่ทัน  เพื่อแสดงว่าถ้าสุนทรภู่เมาแล้วหัวสมองแล่นอะไรทำนองน้ัน  ดูจะเป็นสำนวนของนักเลงสุราอ้างสรรพคุณของสุรายาดองเสียมากกว่า  ความจริงแล้วไม่มีหลักฐานใดยืนยันเลยว่าสุนทรภู่เมาเหล้า  ถ้าดูตามชะตาแล้วอังคารศุกร์กุมลัคนาเสาร์ราหูเล็งเช่นนี้ น่าจะทำให้สุนทรภู่  "เมารัก เมาอักษร  เมาบทกลอน เมาสตรี เมาตัวเมาตนเสียมากกว่า"  คือ เมาอารมณ์ เมาใจภายในเสียมากกว่าเมาสุราสิ่งภายนอก
     วันเกิดสุนทรภู่มีหลักฐานแน่ชัดว่า  เกิดวันจันทร์ เดือน ๘ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีมะเมีย จ.ศ. ๑๑๔๘  เวลา ๒ โมงเช้า  ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙  ปีนี้นอกจากสุนทรภู่เกิดมาเป็นกวีแล้ว  ยังมีเจ้าหญิงนักกวีอีกองค์หนึ่งเกิดมาเป็นกวีด้วย  คือ พระองค์เจ้าหญิงกำภูฉัตร  พระราชธิดาของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท   ผู้ทรงนิพนธ์เพลงยาวนิพพานวังหน้า
     สุนทรภู่เกิด พ.ศ.๒๓๒๙  นับจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๖๕ ที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนิพนธ์ประวัติสุนทรภู่นั้น  ก็เป็นเวลานานถึง  ๑๓๖ ปี  ถ้านับจากปีพ.ศ.๒๓๙๙ ที่สุนทรภู่ถึงอนิจกรรม (เราต้องใช้คำว่า อนิจกรรม  เพราะท่านเป็นคุณพระ  จางวางกรมพระอาลักษณ์ ศักดินา  ๒๕๐๐ ไร่)  ก็เป็นเวลา ๖๕ ปี  ถ้านับถึงปี พ.ศ.๒๕๓๐ นี้   สุนทรภู่ก็เกิดมาในโลกนี้  ๒๐๑ ปี  และจากโลกนี้ไปนานถึง  ๑๓๑ ปีแล้ว   แต่ดูเหมือนว่าคนอ่านบทกวีของสุนทรภู่  จะรู้สึกว่าสุนทรภู่เกิดมาร่วมยุคร่วมสมัยเดียวกับเรา  เพราะบทกวีของท่านมีเสน่ห์ติดใจคน  ถึงใจคนยิ่งกว่ากวีอื่นใด   บทกวีของท่านอบอวลไปด้วยอารมณ์กวี  ใช้ถ้อยคำภาษาเป็นภาษาพูดธรรมดา  เป็นบทกวีประเภท "บรรยายโวหาร"  บรรยายให้เห็นภาพพจน์โดยเฉพาะคำกลอนนิราศ   ท่่านบรรยายเหมือนสารคดีท่องเที่ยว  บรรยายให้เห็นการเดินทางโดยตลอด   ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าเดินทางไปกับท่าน   นิราศสุพรรณกับนิราศนรินทร์ที่มีคนว่า   นิราศสุพรรณของสุนทรภู่ไพเราะสู้นิราศนรินทร์ไม่ได้นั้น    ถ้าจะเปรียบเทียบกันแล้ว  ก็เห็นได้ชัดว่า  นิราศนรินทร์เป็นประเภท  "พรรณาโวหาร"  พรรณนาแต่ความรักความอาลัย เป็นความเพ้อฝันตามอารมณ์  ไพเราะในแง่อักษรศาสตร์ก็จริง  แต่อ่านจบแล้วก็มัวเต็มที  มองไม่เห็นภาพพจน์เลย  ว่าตัวท่านผู้นิพนธ์คือใคร  ไปไหน เดินทางไปอย่างไร  ไปกับใครบ้าง  ถึงบ้านถึงเมืองไหนเป็นอย่างไร  การเคลื่อนไหวในการเดินทางเป็นอย่างไร  พร่ามัวเต็มที  (เพราะกวีผู้แต่งนั้น เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เป็นจอมทัพ เดินทางไปอย่างเจ้านายสูงศักดิ์  ไม่ได้สัมผัสกับผู้คนผู้ร่วมคณะเดินทางอะไรนัก  ไม่ได้สัมผัสกับผู้คนรายทางเลย เพราะท่านนักกวีเป็นถึงพระมหาอุปราชวังหน้า   กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์  ทรงพระนิพนธ์ไว้ในนามของนายนรินทร์ธิเบศร์ (อิน) มหาดเล็ก  ก็จำเป็นอยู่เองที่ต้องนิพนธ์แบบเพ้อฝันเช่นน้้น)    แต่นิราศสุพรรณของสุนทรภู่  เป็นนิราศบรรยายโวหาร  บรรยายไปตลอดทางให้เห็นภาพพจน์การเดินทางว่าไปกันอย่างไร  พักที่ไหน พบใคร เป็นอย่างไร  แม้แต่พบพระเตะตะกร้อ  เล่นตีไก่  ท่านก็ได้บรรยายไว้  เพราะท่านเดินทางแบบชาวบ้าน  ได้สัมผัสกับผู้คนร่วมคณะเดินทางและสัมผัสกับผู้คนระหว่างทางไปตลอด  ท่านจึงแต่งนิราศสุพรรณแบบบรรยายโวหาร   ทำให้เกิดความเป็นกันเองกับผู้อ่าน  โดยเฉพาะนิราศคำกลอน ที่เป็นความแตกต่างกันกับนิราศประเภทพรรณนาโวหาร  ถึงจะไพเราะแต่ก็ไม่เป็นกันเองกับอารมณ์คนอ่าน   และไม่มีเสน่ห์ติดใจคนอ่านเหมือนคำกลอนสุนทรภู่  เพราะเหตุที่คำกลอนของสุนทรภู่มีเสน่ห์ติดใจคนนี่แหละ  ทำให้ท่านเป็นกวีมีชื่อเสียง เป็นที่กล่าวขวัญกันมาก ทั้งสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่และถึงอนิจกรรมแล้วก็ยังดังอยู   เป็นเหตให้โหราจารย์ต้องจดวันเดือนปีเกิดของสุนทรภู่  เราจึงต้องขอบพระคุณโหราจารย์โดยเฉพาะสมเด็จกรมพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์  และสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ที่ได้ทรงผูกดวงชะตาและเผยแพร่ดวงชะตาของสุนทรภู่ไว้ให้เราทั้งหลายได้รู้กันโดยแพร่หลาย  จนอาจจะพูดได้ว่า   ในหมู่นักศึกษาวรรณคดีไทย  ใครไม่รู้วันเดือนปีเกิดของสุนทรภู่แล้ว   ก็เรียกว่า ยังไม่ผุดเกิดในวงวรรณคดีทีเดียว
     สำหรับข้าพเจ้านั้นขอขอบพระเดชพระคุณสมเด็จในกรมทั้งสองพระองค์เป็นอย่างสูง  เพราะถ้าไม่ได้สองพระองค์วางพื้นฐานไว้แล้ว  ก็ไม่สามารถจะเขียนเรื่องนี้ได้เลย  งานเขียนเรื่องนี้ได้อาศัยพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นพื้นฐานโดยตลอด 

     ข้างล่างนี้คือลักษณะดวงชะตาของสุนทรภู่ มหากวีผู้เมารัก เมาอักษร เมาตนจนเป็นมหากวีผู้ยิ่งใหญ่   




     ลักษณะดวงชะตาอย่างนี้  ถ้าหากว่าใครมีความรู้ท่างโหราศาสตร์พอสถานประมาณแล้ว  ก็จะรู้ได้ทันทีว่า  ไม่ใช่ดวงชะตาของคนธรรมดา  แต่เป็นดวงชะตาของ "พิเศษบุรุษ"  มีเกียรติยศ มีชื่อเสียง  เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต  เป็นคนเจ้าชู้  เจ้าอารมณ์ เจ้าแห่งความรัก  เป็นศิลปิน แต่จะมีทุกข์ ยากจน พลัดพรากจากบิดามารดา   และตำแหน่งหน้าที่   ส่วนว่าใครจะอ่านดวงได้ดีเพียงใด  ก็อยู่ที่วิทยาปรีชาญาณและปฎิภาณของผู้นั้นเป็นคนๆ ไป   แต่หลักวิชาโหราศาสตร์น้ันมีจริง  

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ชีวประวัติ พระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) คำนำ


คำนำ

     ประวัติสุนทรภู่ที่พบใหม่นี้  ได้อาศัยหนังสือเรื่อง "ชีวิตและผลงานของสุนทรภู่" ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงพระนิพนธ์ไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕  เป็นหลัก  โดยเอางานหนังสือของสุนทรภู่ทุกเรื่องมาศึกษา วิเคราะห์ วิจัย วิจารณ์ใหม่  ได้พบเงื่อนงำที่น่าสนใจหลายประการ คือ 
     ๑. สุนทรภู่  มิได้เคยเป็น  ขุนสุนทรโวหาร   เพราะตำแหน่งนี้ไม่มีในทำเนียบตำแหน่งข้าราชการวังหลังและวังหน้า   มีแต่ "หลวงสุนทรโวหาร"   เจ้ากรมราชบัณฑิตย์   จึงเห็นว่า  สุนทรภู่ไม่ได้เป็นขุน   แต่เป็นหลวงสุนทรโวหาร  
     ๒. ไม่ปรากฎหลักฐานจากทีใดๆ เลยว่ า สุนทรภู่ถูกถอดยศ  ถูกปลดตำแหน่ง  เรื่องที่ควรเป็นคือ สุนทภู่เกรงพระบารมี  เกรงราชภัยจากพระนั่งเกล้าฯ  ที่ตนเคยข้ามกรายไว้   จึงหนีออกบวชในนาม ของ  หลวงสุนทรภู่นอกราชการ   ท่านจึงออกนามของท่านว่า   "สุนทร"  อยู่เสมอมาในขณะที่บวชอยู่  
     ๓. เพลงยาวสุนทรสุภาษิตสอนหญิง  ทีว่าเป็นสำนวนกลอนสุนทรภู่น้ัน  ได้พบหลักฐานแน่ชัดว่า   เป็นของนายภู่  จุลละภมร   ลูกศิษย์สุนทรภู่   นายภู่ จุลละภมร  แต่งกลอนมีคำไหว้ครูสำนวนเดียวกันนี้ทุกเรื่อง   
     ๔. นิราศวัดเจ้าฟ้า   น้ัน เป็นสำนวนกลอนของนายพัด   ภู่เรือหงส์   ลูกชายสุนทรภู่  แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๙  นายพัด อายุุได้ ๑๙ ปี  พรรณาถึงเจ้าจอมทองอยู่  พระอัครชายาของกรมพระอนุรักษ์เทเวศร์
     ๕. นิราศพระแท่นดงรัง  ฉบับที่ขึ้นต้นว่า  "นิราศรักหักใจอาลัยหวน"   น้ัน  มีหลักฐานแน่ชัดว่า   เป็นของเสมียนมี  หมื่นพรหมสมพัตศร  (มี  มีระเสน)  โดยแน่นอนไม่มีที่สงสัยเลย  แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๙
     ๖. นิราศอิเหนา นั้น เป็นสำนวนกลอนของกรมหลวงภูวเนตรนริทร์ฤทธิ์ ลูกศิษย์สุนทรภู่  ใช้ถ้อยคำประณีต สูงส่งกว่ากลอนตลาดของสุนทรภู่   เจ้าชายขัตติยกวีพระองค์นี้ทรงนิพนธ์กลอนไพเราะยิ่งกว่าสุนทรภู่  
     ๗. นิราศพระแท่นดงรัง  ฉบับที่ขึ้นต้นว่า  "เณรหนูกลั่นวันทามหาเถร"  นั้น  เป็นสำนวนกลอนของนายกลั่น พลกนิษฐ์  หลานชายเจ้าพระยาพลเทพ (ฉิม พลกนิษฐ์)  แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๘  สุนทรภู่เดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรังด้วย   ยังบวชอยู่ ยังไม่ได้สึก  นายกลั่น พลกนิษฐ์ ยืนยันไว้มั่นคงในเรื่องนี้ว่า   สุนทรภู่บวชมา ๒๑ ปี  จนเป็นมหาเถร    พระที่จะเรียกว่า มหาเถรได้  ต้องบวช ๒๐ ปีขึ้นไป 
     ๘. พระอภัยมณี นั้น สุนทรภู่แต่งถวายเจ้าฟ้ามงกุฎและเจ้าฟาจุฑามณี ที่พลาดจากราชสมบัติ สุนทรภู่แต่งเป็นปริศนาธรรมสอนเจ้าฟ้าสองพระองค์นี้ แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๗
     ๙. เพลงยาวรำพรรณพิลาป นั้น สุนทรภู่แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เป็นเพลงยาวสังวาส แต่งเกี้ยวเจ้านายสาวผู้ทรงโฉมโสภาพระองค์น้ัน  ตามอารมณ์เพ้อฝันของกวีเอก  แต่งเมื่อ พ.ศ.๒๓๘๕
     ๑๐. นิราศเมืองเพชร  แต่งถวายเจ้าฟ้า กรมขุนอิศเรศรังสรรค์  เมื่ออาสาเดินทางไปหาของดีถวายเจ้านายพระองค์นัน  แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๐  ลงเรือที่ท่าหน้าวัดพระเชตุพน ฯ
     ๑๑. นิราศสุพรรณบุรี แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ที่มหากวีเอกคนนี้เพ้อฝันถึงอยู่ในอารมณ์ และยึดเอามาเป็นมิ่งขวัญสิ่งดลบันดาลใจทางกวีนิพนธ์ แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๔
     ๑๒. นิราศพระปธม  แต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๕ แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ  เพื่อขอขมาที่แต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปไปถวายเมื่อเดือนมิถุนายน  พ.ศ. ๒๓๘๕ สุนทรภู่แต่งนิราศเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้าย
     ๑๓.สุนทรภู่  แต่งสุภาษิตไว้เรื่องหนึ่ง คือ  สุภาษิตโลกนิติคำกลอน  แต่งเมื่อบวชอยู่วัดสระเกศ ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๘๖ ถึง พ.ศ. ๒๓๙๓ ซึ่งยังไม่เคยมีใครศึกษาค้นคว้าพบมาก่อน  
     ๑๔. สุนทรภู่  สึกออกมารับราชการอยู่ในวังหน้า  พึ่งใบบุญอยู่กับสมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฑามณี  กรมขุนอิศเรศรังสรรค์  ซึงได้รับสถาปนาเป็น  พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  และได้ต้ังให้สุนทรภู่เป็น พระสุนทรโวหาร  (เลื่อนจาก หลวงสุนทรโวหาร นอกราชการ )   มีศักดินา  ๒๕๐๐ ไร่  ตำแหน่งจางวางกรมพระอาลักษณ์  (ไม่ใช่เจ้ากรมอาลักษณ์)
     ๑๕. สุนทรภู่ออกจากราชการเมื่อ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตเมื่อวันที่ ๗ มกราคม  พ.ศ. ๒๔๐๘ แล้วออกไปอยู่บ้านสวนฝั่งธนบุรี  จนถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐  อายุ ๘๑ ปี  คนทีดวงชะตา อายุกุมลัคนาอย่างสุนทรภู่นั้น  อายุเกิน ๘๐ ปีแน่นอน
     ประวัติสุนทรภู่ที่พบใหม่นี้ อาจจะเก่าสำหรับบางท่านที่ทราบอยู่แล้ว  แต่อาจจะทำให้บางท่านไม่เชื่อถือก็ได้  มันสุดแล้วแต่การศึกษาค้นคว้าตื้นลึกแคบกว้างใกล้ไกลของแต่ละคนไม่เหมือนกัน   บางท่านก็อาจจะยึดถืออยู่ในทฤษฎีเดิมที่สมเด็จกรมฯ พระยาดำรงราชานุภาพ  นักปราชญ์องค์น้ันได้ทรงวินิจฉัยไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๕ แต่บัดนี้เวลาล่วงเลยมานานถึง  ๖๕ ปีแล้ว ย่อมจะมี่ผู้พบหลักฐานใหม่ๆ  ขึ้นได้เสมอ  ทฤษฎีในทางวิทยาศาสตร์ยังมีผู้ค้นพบทฤษฎีใหม่ลบล้างทฤษฎีเก่ามาตลอดเวลา  ทฤษฎีในทางการวรรณคดีจึงอาจจะมีผู้ค้นพบทฤษฎีใหม่ลบล้างทฤษฎีเก่าได้  ไม่ใช่เรื่องศฺิษย์คิดล้างครูอะไรเลย  ถ้าแม้นสมเด็จพระองค์น้ันยังทรงมีพระชนม์อยู่   ท่านก็อาจจะยอมรับด้วยวิจารณญาณของนักปราชญ์ผู้รักสัจธรรม
     เพราะฉนั้น   ข้าพเจ้าจึงเสนอทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับสุนทรภู่ให้ท่านผู้สนใจ พิจารณากันใหม่   การศึกษาวิชาวรรณคดีในปัจจุบันนี้จำต้องมีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ มีการวิจัย  พิสูจน์ ตามหลักวิชา มิใช่ว่าอะไรตามกันไปเหมือนแต่ก่อน   การศึกษาจึงจะมีรสชาติ  ไม่น่าเบื่อหน่าย  ข้าพจ้าหวังว่าเรื่องนี้คงจะเป็นที่สนใจของท่านผู้ที่รักบทกวีของสุนทรภู่โดยทั่วกัน   เรืองผิดถูกไม่สำคัญ มันสำคัญอยู่ที่ว่าสุนทรภู่เป็นมหากวีของโลกแล้ว   เราจึงต้องพูดถึงสุนทรภู่กันด้วยจิตใจทีเคารพท่านมหากวีผู้ล่วงลับไปแล้ว ไม่บังควรที่จะพูดถึงท่านในทางเสื่อมเสียเกียรติยศ  เพราะท่านไม่สามารถจะลุกขึ้นมาแก้ตัวอะไรได้แล้ว   แม้บทกวีที่มิใช่ของท่านก็ไม่บังควรที่จะไปโมเมจับยัดปากท่าน  เพราะจะทำให้บทกวีของท่านเสื่อมเศร้าหมองลงไป  ตัวอย่างเช่น เพลงยาวสุภาษิตสอนหญิงนั้น  ฝีปากไมถึงขั้นมหากวีผู้นี้เลย  ก็ไม่บังควรจะดึงดันกันต่อไป  เมื่อมีหลักฐานตัวกวีผู้แต่งที่ชื่อ นายภู่ จุลละภมร  แต่งบทกวีใช้คำไหว้ครูสำนวนเดียวกันนี้ทุกเรื่อง  และสุนทรภู่แต่งบทกวีก็ไม่เคยไหว้ครูเลยแม้แต่เรืองเดียว  หรือแม้แต่กลอนที่ไพเราะเพราะพริ้งเกินกลอนสุนทรภู่    อย่างนิราศอิเหนา ของกรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิ์  ก็ต้องถวายพระเกียรติยศให้ท่านเจ้าชายนักกวี  โอรสพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ขัตติยกวีพระองค์นั้น  ไม่ควรจะเหนี่ยวลงมาเป็นกลอนสุนทรภู่ต่อไป 
     ข้าพเจ้าขอเรียนว่า  คนที่จะรู้ฝีมือของนักดนตรี จะต้องเป็นนักดนดรีด้วยกัน  คนที่จะรู้ฝืมือของนักกวีจะต้องเป็นนักกวีด้วยกัน   คนที่ไม่ใช่นักกวีน้ัน คงจะแยกแยะไม่ออกว่า  คำกวีอย่างไหน  เป็นฝีมือนักกวีระดับใด  คนที่จะวิจารณ์กวีสุนทรภู่ได้ดี  ควรเป็นกวีทีเข้าถึงอารมณ์กวี มีความชำนาญในอรรถรสของกวีพอสมควร 

                                    เทพ    สุนทรศารทูล
                                                                                        
                                    ๑  มิถุนายน  ๒๕๓๐

ป.ล. ข้าพเจ้าใช้เวลาเขียนเรื่องนี้อยู่  ๖ เดือน   แต่ใช้เวลาศึกษาค้นคว้ามาตั้งแต่พ.ศ.๒๔๙๕  จนถึง พ.ศ. ๒๕๓๐   เป็นเวลานานถึง  ๓๕ ปีเต็ม  ก็มีผลการศึกษาค้นคว้าออกมาอย่างนี้




วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ชีวประว้ติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ๔. การศึกษา


๔. การศึกษา


     สุนทรภู่เกิดในบริเวณวังหลัง  คือบริเวณที่เป็นโรงพยาบาลศิริราช และสถาณีรถไฟบางกอกน้อยทุกวันนี้  ขุนศรีสังหาญ (พลับ)  บิดารับราชการฝ่ายทหารอยู่ในสังกัดกรมทหารล้อมวัง  มีตำแหน่งเป็นปลัดกรมขวา  กรมอาสาวิเศษซ้าย  มีศักดินา ๓๐๐  ไร่  ก็ไม่ใช่ตำแหน่งนายทหารชั้นผู้น้อย   เทียบตำแหน่งปัจจุบันนี้ก็เท่ากับนายพันโทพันเอก  มารดาสุนทรภู่ก็รับราชการฝ่ายใน  เป็นแม่นมของพระธิดาวังหลัง   คือ พระองค์เจ้าจงกล  ก็นับว่าเป็นฝ่ายใกล้ชิดเจ้านายชั้นสูงระดับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน   สุนทรภู่จึงเติบโตขึ้นมาในวัง   เรียกว่าได้อยู่ในสำนักการศึกษาที่ดีมาแต่เด็ก   วัดและวังเป็นสถานการศึกษาของคนในสมัยก่อน  สุนทรภู่นับว่าโชคดีกว่าเด็กชายชาวบ้านคนอื่นๆ  อีกมาก   การที่ได้รับการศึกษาวิชาความรู้และสมบัติผู้ดีจากในวังนึ้แหละเป็นพื้นฐานชีวิตของสุนทรภู่ที่สำคัญมาก   เพราะเท่ากับสุนทรภู่ได้อยู่ในสำนักทีดี  อยู่ในสังคมชั้นสูง  ทำให้รู้ขนบธรรมเนียมประเพณี  ได้มีโอกาสศึกษา  อ่่านตำรับตำราจากในร้ัวในวังเจ้านาย  ถ้าจะว่าไปแล้วเท่ากับสุนทรภู่ได้ผ่านมหาวิทยาลัยในสมัยโบราณมาแล้่ว   โอกาสในชีวิตของสุนทรภู่ไม่่ด้อยไปกว่าบุตรธิดาของเจ้านายเลย   แม้ในชั้นหลังเจ้านายยังไว้ใจในความรู้และคุณสมบัติของสุนทรภู่ถึงแก่นำเอาโอรสมาฝากให้เป็นลูกศิษย์สุนทรภู่ด้วย  นี่คือประกาศนียบัตรรับรองความรู้และความเชื่อถือของเจ้านายในสมัยนั้น 
     ดูเหมือนว่านอกจากในวังแล้ว   สุนทรภู่ยังเคยเป็นเด็กวัดแจ้งด้วย   ได้กล่าวไว้ในนิราศสุพรรณบุรีว่าดังนี้
                         "วัดแจ้งแต่งตึกตั้ง              เตียงนอน
                           เคยปกนกน้อยคอน           คู่พร้อง
                           เคยลอบตอบสารสมร        สมานสมัคร  รักเอย
                           จำพรากจากนุชน้อย         นกน้อย  ลอยลม ฯ"

     แสดงว่าเคยเป็นเด็กวัดแจ้ง   จึงกล่าวถึงตึกเตียงที่นอน   แล้วกล่าวถึงหญิงชื่อนกว่าเคยแต่งสารโต้ตอบกัน   เคยมีสัมพันธสวาทกับหญิงชื่อนกคนนี้ แล้วก็พลัดพรากจากกันไป  เด็กวัดสมัยโน้นไม่ใช่เด็กเล็กๆ   อายุต้ังแต่  ๘ ปีจนถึง  ๑๕ ปี ๑๖ ปีก็ยังเป็นเด็กวัดอยู่   แม้ข้าพเจ้าเองก็เคยเป็นเด็กวัด   อาศัยวัดเรียนหนังสือมาจนอายุ ๑๕ ปี บางคนอายุ ๑๘ ปี  ๑๙ปีก็ยังมี   เรียกว่าอาศัยวัดมาจนเป็นหนุ่ม

     อีกตอนหนึ่งกล่าวว่า
               
                  "วัดชีปะขาวคราวรุ่นรู้           เรียนเขียน
                    ทำสูตรสอนเสมียน              สมุดน้อย
                    เดินระวางระวางเวียน          หว่างวัด ปะขาวเอย
                    เคยชื่นกลืนกลิ่นสร้อย        สวาทห้าง  กลางสวน ฯ"

     ว่าเคยอยู่วัดชีปะขาวด้วย  คือวัดศรีสุดารามบัดนี้  เคยทำสูตรสอนเสมียนด้วย   คือการสอนการแต่งหนังสือ แต่งสาร หรือแต่งเพลงยาวนั่นเอง  เคยเดินระวาง คือเป็นพนักงานรังวัดที่สวนของวังหลัง  เคยพบหญิงสาวชือสร้อย  เคยมีสัมพันธสวาทกันบนห้าง (โรง) เฝ้าสวน    





   



หอวรรณกรรมพระสุนทรโวหาร  วัดศรีสุดาราม

 

  อีกตอนหนึ่งกล่าวว่า
     "วัดพิกุลรุ่่นกลิ่นเกลี้ยง          กลอยใจ
      แรกรุ่นร้อยมาลัย                  ใส่เหล้น
      เรียบร้อยค่อยสอดไหม        เหมือนแน่  แลเอย
      ร้้อยคล่องต้องน่ังเฟ้น          นวดฟันท่านครู "  

     คงจะเป็นเมื่อสมัยยังเด็กอยู่ในวัง  นั่งร้อยดอกพิกุลทำพวงมาลัย  และต้องนวดเฟ้นครู คือหญิงชาววัง
     การเรียนหนังสือสมัยน้ัน  คือ การเรี่ยนหนังสือไทยและหนังสือขอมด้วยเพราะอักษรที่จารึกในสมุดข่อยและใบลานมักเป็นอักษรขอม  ที่จริงควรเข้าใจด้วยว่า  "หนังสือขอม"  ไม่ใช่หมายความว่าหนังสือเขมร  หนังสือเขมรแปลว่า "หนังสือใหญ่"   คนโบราณเรียกหนังสือขอมว่า  "หนังสือใหญ่"   เพราะ "ขอม" แปลว่า "ใหญ่"   ท่าขนอม   ที่นครศรีธรรมราชน้ัน แปลว่า  "ท่าเรือใหญ่"   ขอม แผลงเป็น ขนอม   แปลว่า ใหญ่  สถานีรถไฟที่มหาชัย ชือ่ สถานีบ้านขอม   แปลว่า  บ้านใหญ่  ไม่ได้แปลว่  บ้านเขมร   วัดวชิรคาม  ที่สมุทรสงคราม  สมภารคยว่า  สมัยก่อนเรียนหนังสือใหญ่ ถามว่าหนังสือใหญ่คือหนังสืออะไร   ท่านตอบว่ า  คือหนังสือโบราณแบบหนังสือขอมนั่นแหละ   ที่วัดยี่สาร  สมุทรสงคราม  มีตุ่มเคลือบขนาดใหญ่  เขาเรียกว่า  ตุ่มขอม   แปลว่า  ตุ่มใหญ่  ไม่ได้หมายความว่า  ตุ่มเขมร   คนโบราณตัวโตๆ  ร่างสูงใหญ่มักจะชือว่า  "ขอม"  หมายความว่า ร่างกายสูงใหญ่  สมัยสุนทรภู่น้ันแน่นอนต้องเรียนหนังสือใหญ่ด้วย  สุนทรภู่นั้ินคงจะสติปัญญาดี  สมองดี ความจำดี ช่างคิด ช่างฝัน ช่างสังเกตุ   ตามตำราโหราศาสตร์ว่า "ดูปัญญาบริสุทธิ์ให้ดูพฤหัส"  ดาวพฤหัสของสุนทรภู่อยูราศีเมษ  ตามตำราว่าเป็นดาวให้คุณแรง  เป็น ๑๐ แก่ลัคนาด้วย   ท่านว่า  เป็นคนมีสติปัญญาสูง  สัมพันธ์กับศุกร์ที่กุมลัคนาร่วมเป็นดาวอังคาร  แสดงว่ามีญาณพิเศษที่เพ้อฝันลึกซึ้ง ลึกล้ำ  สูงส่ง  ส่งผลให้เป็นกวีเอกอย่างไม่ต้องสงสัยเลย  เป็นศิลปิน  เป็นคนเจ้าชู้  มีความใฝ่ฝันอันบรรเจิดคลุกเคล้ามัวเมาอยู่ด้วยความรักความหลงเพราะมีเสาร์และราหูเล็งลัคนาอยู่ด้วย  เต็มไปด้วยอหังการ  คือความถือตัวถือตนว่าเป็นเลิศในทางการกวีไม่มีใครเท่าเทียม   มีมนังการคือนึกว่าตนเองเป็นเจ้าเป็นใหญ่อยู่ในบทกลอน  ขอให้สังเกตุดูประวัติชีวิตของท่านที่ต้องตกยากก็เพราะความหลงตัวหลงตนความทนงตนนี่เอง   "อันหม่อมฉันนี้ที่ดีและที่ชั่ว    ถึงลับตัวแต่ชื่อเขาลือฉาว  เป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว  เขมรลาวลือเลืองถึงเมืองนคร"  นี่คือความทนง ความอหังการของสุนทรภู่
   
     ต่อมาพระองค์เจ้าปฐมวงศ์  พระโอรสของวังหน้า ทรงผนวชที่วัดอรุณราชวราราม สุนทรภู่ก็ได้ติดตามไปเป้นมทาดเล็กรับใช้อยู่ทีวัดอรุณฯ ระยะนี้เองสุนทรภู่ได้แต่งนิยายเรื่อง โคบุตร ขึ้นถวายพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ เป็นเรืองแรก
     เรื่องโคบุตรนี้เป็นชาดกเรื่องหนึ่ง   ความวาแม่โคกับพ่อเสือ มีลูกคนละตัว ลูกโคกับลูกเสือเป็นเพื่อนกัน  วันหนึ่งแม่เสือได้กินแม่โคเสีย  ลูกโคกับลูกเสือรักัน  จึงช่วยกันขวิดและกัดแม่เสือจนตาย  และเป็นเพื่อนกันต่อมา
     สุนทรภู่คงจะติดใจชาดกเรืองนี้มา   เพราะตัวสุนทรภู่เองเปรียบเหมือนลูกโค   ไม่มีเขี้ยวเล็บอะไร  แต่ลูกเสือก็มารักใคร่เป็นมิตรสหายด้วย   พระองค์เจ้าปฐมวงศ์ซึงเปรียบเหมือนลูกเสือ  เพราะมีอำนาจวาสนาเป็นพระราชโอรสของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน  จึงได้แต่งเรื่องนี้ขึ้นทูลเกล้าถวายเป็นเครื่องหมายแห่งความกตัญญูของตน  ต่อมาเมื่อพระองค์เจ้าปฐมวงศ์เสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทที่สระบุรี  ในปลายปี พ.ศ. ๒๓๕๐  น้ัน สุนทรภู่ก็ได้ตามเสด็จไปด้วย จึงได้แต่งนิราศพระบาทขึ้นเป็นเรื่องที่สอง   รองจากนิราศเมืองแกลง ทั้งเรื่องโคบุตร  นิราศเมืองแกลง  นิราศพระบาท เป็นประกาศนียบัตรรับรองคุณวุฒิของท่านว่า   มีฝืมือในการกวีอยู่มาก  เรียกว่าเป็นวิทยานิพนธ์ที่เจ้านายรับรองว่าจบมหาวิทยาลัยแล้วในทางกวี  ได้ปริญญาทางกวีแล้วต้ังแต่น้ันมา  เพราะในสมัยโน้นคนที่จะมีความรู้ถึงขนาดแต่งหนังสือเป็นเรื่องราวได้ถึงขนาดนี้นั้นหาตัวได้ยาก   แม้ปัจจุบันนี้ว่าการศึกษาเจริญมากแล้ว  แต่คนที่จะแต่งกลอนได้ถีงขนาดสุนทรภู่ก็ยังหาได้ไม่มากนัก   ข้าพเจ้าเองก็ลองพยายามแต่งนิราศคำกลอน คำโคลงดูบ้าง แต่งเพลงยาวบ้าง  คิดว่าพอแต่งได้  ก็แต่งได้จริงอยู่แต่จะให้ไพเราะลึกซึ้งกินใจคนอ่าน อบอวลอยู่ด้วยอารมณ์กวีเหมือนสุนทรภู่น้ันทำไม่ได้ ถึงคนอื่นๆจะพยายามตะเกียดตะกายกันอยู่หลายคนในทุกวันนี้   ก็คงจะรู้ๆกันอยู่ว่าเป็นไปได้ขนาดไหน  แม้แต่คนที่่ตำหนิสุนทรภู่ต่างๆ ก็เหมือนนกกระจอกที่กำลังบินแข่งกับนกอินทรี  ถึงอยางไรมหาชนก็ยอมรับในความเป็นกวีเอกของสุนทรภู่   บัดนี้ท่านก็เป็นกวีเอกของโลกไปแล้ว  ท้ังหมดนี้ก็มาแต่พื้นฐานการศึกษาของท่านเป็นส่วนส่งเสริมอย่างสำคัญอยู่ส่วนหนึ่ง   พื้นฐานทางสังคมของท่านที่ได้รับจากบุคคลชั้นสูง   สุนทรภู่สัมพันธ์สัมผัสอยู่กับบุคคลในระดับสูงในรั้วในวัง  จากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินมาตลอดชีวิตของท่านต้ังแต่เล็กแต่น้อยมาจนกระทั่งบวชอยู่ก็อยู่วัดหลวงพระอารามหลวงตลอดท้ัง ๔ วัด  คือ วัดอรุณราชวราราม  วัดพระเชตุพน  ก็ต้ังติดๆอยู่กับวังหลวง วัดราชบูรณะ วัดเทพธิดา  และวัดสระเกศ     ล้วนแต่เป้นวัดหลวงมีเจ้านายเข้าออกทำบุญกุศลอยู่เสมอมา   นี่คือพื่นฐานทางสังคมของท่านสุนทรภู่  เรียกว่าท่านไม่ได้เสวนากับพาลานังเลย   แต่ท่านเสวนากับบัณฑิตมาตลอดชีวิตทีเดียว   เดี๋ยวนี้เราพูดกันว่าชีวิตคือการศึกษา   การศึกษาคือชีวิต  คลอดเวลาเราศึกษาจากชีวิตของการงานและผู้คนในสังคม  จะเห็นได้ว่่าสุนทรภู่มีการศึกษาจากสังคม และผู้คนในระดับบัณฑิตมาโดยตลอด  ชีวิตของท่านไม่ได้มั่วสุมกับพาลชนเสเพลที่ไหนเลย    นี่คืออิทธิพลการศึกษาที่มีต่อชีวิตของสุนทรภู่ 


(โปรดติดตามตอนต่อไป)