วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอน ตำราเศษพระจอมเกล้า ฯ

สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นพระบิดา แห่งวิทยาศาสตร์ไทย ทรงเป็นนักปราชญ์ฉลาดรอบรู้ทั้งคดีโลกคดีธรรม และทรงเป็นนักดาราศาสตร์ที่สามารถคำนวณ วัน เวลา และสถานที่ที่จะมองเห็นปรากฎการณ์สุริยุปราคาในปี พ.ศ. 2411 ได้อย่างแม่นยำ เป็นที่เลืองลือไปทั่วทวีปเอเชียและยุโรป โดยทรงคำนวณใว้ล่วงหน้าว่าจะเกิดสุริยุปราคาในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. ปี มะโรง เวลา 10.32 น. สถานที่ที่สามารถมองเห็น ได้ชัดเจนคือที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ตำราเศษนี้ เป็นตำราโหราศาสตร์ไทย ใช้สำหรับทำนายชะตาชีวิตของคนโดยย่อซึ่งแม่นยำมาก นับว่าเป็นหลักคำทำนายที่เป็นที่ยอมรับของคน ไทย มอญ ลาว เขมร ทั่วไปในเขตแหลมทอง
Supani Sundarasardula

วิธีการคำนวณ นำ วัน + เดือน + ปี = x-10 ถ้าเลขเกิน 10 ให้ลบด้วย10 จนกว่าจะได้เลขเศษ วัน 1 =อาทิตย์ 2=จันทร์ 3 =อังคาร 4= พุธ 5= พฤหัสบดี 6=ศุกร์ 7=เสาร์ เดือน 1 = ธันวาคม 2= มกราคม ....12 = พฤศจิกายน ปี 1= ชวด 2=ฉลู 3= ขาล 4=เถอะ 5 =มะโรง 6 = มะเส็ง 7= มะเมีย 8= มะแม 9= วอก 10 =ระกา 11 =จอ 12 =กุน ปล ไม่มีอะไรแน่นอน โปรแกรมยังมีผิดพลาดได้ ดวงชะตาก้สามารถแก้ไขได้ถ้าทราบว่ามันจะพลาดแบบใด เรื่องราวชีวิตของหลายท่านก้ต้องมีวันหยุดเช่นกันเพียงแต่ว่าเมื่อไรคือความเหมาะสม ไม่มีคำตอบ แต่แค่เก็บความรู้สึกดีๆไว้ก้เพียงพอ
เศษศูนย์ นกแขกเต้าเฝ้าทำรวงรังระวังผล แสวงดีย่อมมีผล อย่าคลอเคล้ากับเหล่าพาล เหมือนปักษีอันมีปีก รู้หลบหลีกธนูพราน ถ้าประมาทจะเสียการ ถึงชอกช้ำระกำกาย ดวงชะตาก้ำกึ่ง คุณเป็นผู้เลือกทางเดินชีวิตได้ เลือกไปทางดี ชีวิตก็จะได้ดี ถ้าเลือกคบกับคนพาล ก็จะเสียหาย

เศษ ๑ เสาเรือนไหม้ ชะตาใครทั้งชายหญิง ไร้เรือนที่พักพิง ที่พึ่งพักสำนักเนา ร่อนเร่ระเหระหน เร่งเจียมตนอย่าดูเบา เพราะว่าชะตาเรา โทษประกอบจึงเกิดกรรม ดวงชะตามีเคราะห์ โดนศัตรูเบียดเบียน ต้องเร่ร่อน มีเรือนก็ไม่ได้อยู่
เห็นแล้วโดย Supani Sundarasardula เวลา 11:55

ตกเศษ 2 ท่านว่าไม่ค่อยดีนัก สุขภาพไม่แข็งแรง มักเจ็บๆป่วยๆมักมาเยือนเป็นนิจ โดยเฉพาะในวัยเด็ก และถึงคราวอายุมาก มักต้องโรคที่เกี่ยวเนื่องจากบิดามารดาหรือเครือญาติ การงานการเงิน มักเก็บเงินไม่ค่อยอยู่มักต้องสูญเสียในเรื่องการดูแลสุขภาพหรือเรื่องอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับคนในครอบครัว แต่ภายหลังช่วงอายุกลางคนมักสร้างเนื้อสร้างตัว เก็บเงินเก็บทอง การอยู่การกินพอประมาณ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ครอบครัวมีความสุขรักใคร่สามัคคี แต่ปั้นปลายมักต้องใช้เงินในการดูแลสุขตัวเอง หากแต่ลูกหลานกลายเป็นกำลังทรัพย์หลักคอยค้ำจุนเกื้อหนุนตลอด การเดินทางต้องมีความระมัดระวังสูง โดยเฉพาะสัญจรทางรถยนต์ อาจประสบเหตุอันตราย และมักมีเรื่องวุ่นวายใจเป็นครั้งคราว ในเรื่องความรักมักต้องพบเนื้อคู่เมื่อตอนอายุมากแล้ว หากคบกันมักต้องใช้เวลานานกว่าจะลงเอยหรืออาจแบบฉับพลันถูกเนื้อต้องใจในเวลาอันสั้น ตกเศษ 3 ท่านทายว่า เกิดมามีบุญยาธิการ เทวดาปกปักรักษา สุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ สิ้นไร้โรคภัยไข้เจ็บ ความสบายความสบายมีอยู่เป็นนิจ ด้านการงาน มักเจริญเติบโตได้ดิบได้ดีด้วยสติปัญญาของตัวเอง เป็นที่รักใคร่ของผู้ใหญ่ มักมีผู้ใหญ่คอยสนับสนุนในหน้าที่การงาน มีทรัพย์สินเงินทองไม่เดือดไม่ร้อน หากมีการค้าการขายมักเจริญรุ่งเรือง ทรัพย์สินไหลมาเทมาด้วยไหวพริบ และเป็นคนฉลาดในการทำมาหากิน การคู่ครองมักพบรักแท้ครั้งแรก และรักเดียว คู่ครองปรองดอง ช่วยทำมาหากิน เข้าใจกันนัก ตกเศษ 4 ท่านว่า เกิดมาเป็นคนมาบุญญาวาสนา มีเทวดาอารัก

Supani Sundarasardula



เ เศษ 4 มีข้าครอก อเนกนอกคณานาง อุปถัมภ์ล้ำสำอาค์ บ่ไข้ชุกบ่ทุกข์เป็น เศษ 5 ชะตากลับ ทุนทรัพย์แลแสนเข็ญ ภายหลังชะตาเป็น ทุนทรัพย์นับหมื่นพัน เศษ 6 จะยกญาติ เป็นเชื้อชาติประเสริฐสรรพ์ เงินตรายศฐาพลัน ทุนทรัพย์ลำดับมี เศษ 7 ชั้นผ้าขาด จะนุ่งห่มก็เต็มที พักตราย่อมราคี ระคายยับทั้งทรัพย์สิน เศษ 8 นั้นเปรื่องยศ จะปรากฏกระเดื่องดิน ทรัพย์ศฤงคารสถานถิ่น ทั้งอำนาจแลวาสนา เศษ 9 กินข้าวกลางตลาด เสมอชาติสุนัข ถึงจะมีวาสนา ต้องประกอบทำการงาน แม้นตระกูลทลิทก ถึงต่ำตกก็บ่นาน ดังนักเลงสุราบาน พอขวนขวายใส่ท้องตน เศษ 10 เหมือนนกแขกเต้า ทำรวงรังระวังฝน แสวงดีย่อมมีผล อย่าคลอเคล้ากับเหล่าพาล เหมือนปักษีอันมีปัก รู้หลบหลีกธนูพราน ถ้าประมาทจะเสียการ จะชอกช้ำระกำกายฯ
Supani Sundarasardula

ษ์คุ้มครองป้องกันภัยอันตรายติดตามตััว มักเป็นคนมีสุขภาพแข็งแรงไม่มีโรคภัยก้ำกลาย แม้ยังเด็กจนถึงวัยชรา หากมีเจ็บไข้ได้ป่วยมักเป็นการเจ็บเพียงเล็กน้อย สุดท้ายก็หายไม่กี่วัน ในเรื่องคู่ครองมักพบรักตามใจปรารถนา มักเจ้าชู้ทั้งชาย และหญิง เปลี่ยนคู่ครองเป็นนิจ แต่ท้ายสุดมักพบรักแท้เลยวัยกลางคน การงานมักมีผู้ใหญ่คอยอุปถัมภ์เจริญก้าวหน้า ทรัพย์สินเงินทองพอประมาณ ไม่เดือดไม่ร้อน ตกเศษ 5 ท่านทายว่า ชะตาชีวิตเหมือนพายเรือทวนน้ำ ชะตาหวนกลับ พาลพบอุปสรรค ทุนทรัพย์แลแสนเข็ญ การลงทุนหรือค้าขายมักไม่ได้ผลกำไร การงานทั่วไปคงที่มักมีเรื่องวุ่นวายมาเกี่ยวข้องเป็นนิจ ภายช่วงหลังชะตาหวนกลับ ทุนทรัพย์นับหมื่นพัน ฟื้นคืนตามมา ความรักเหมือนดั่งต้นว่า มักมีอุปสรรค คนมีความรักมักต้องฟันฝ่า ภายหลังมาสุขสมเป็นนิจแล ตกเศษ 6 ท่านทายว่า เหมือนระฆังดังก้อง ชีวิตรุ่งโรจน์ทั้งชื่อเสียงเงินทอง ทำการใดๆมักประสบความสำเร็จดั่งใจหมาย การค้าการขายเจริญรุ่งเรือง โชคลาภไหลมาเทมา การงานเลื่อนขั้นมักมีคนคอยอุปถัมป์ ความรักสุขสม มักเจอคู่ครองรักเดียวใจเดียว อุปถัมภ์ค้ำชู ตกเศษ 7 ท่านทายว่า ชะตาชายหญิงนั้นเหมือนนุ่งผ้าขาด ชะตาถอยกลับ มักมีอุปสรรคปัญหา การค้าการขายไม่ดีนัก การงานมักมีเรื่องวุ่นวายใจเสมอ เงินทองขาดแคลน คู่ครองทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีความสุขเป็นนิจ จะคิดการใดต้องตรองให้รอบคอบ ตกเศษ 8 ท่านทายว่า เหมือนเทวดาลงมาโปรด ต้องประสงค์สิ่งใดมักสมดั่งปราถนา สุขภาพแข็งแรงมิมีโรคภัยอันตรายมาก้ำกลาย การงานหรือการค้าการขายเจริญก้าวหน้า มักเลื่อนขั้นเลื่อนยศ เนื้อคู่พอตัว ร่วมสร้างร่วมแปลงรักใคร่กลมเกลียว
Supani Sundarasardula

ตำราตรีภพในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตำราดูเศษนารี ๑


ตำราดูเศษนารี

     ตำราดูเศษนารีนี้เป็นสำนวนกลอนของสุนทรภู่แน่นอนไม่มีผิดเลย   น่าจะแต่งต้ังแต่ยังหนุ่มแน่นอยู่ ตำราเดิมเป็นร้อยแก้วธรรมดา แต่ท่านเอามาแต่งเป็นคำกลอนขึ้นใหม่ ตำรานี้แพร่หลายอยู่ในบุรุษเพศ มักจะแอบคัดลอกกันมาอย่างปกปิด  ไม่เปิดเผยเหมือนตำราอื่นๆ  จึงมักมีสำนวนแตกต่างกันออกไป  พึ่งเคยเห็นพิมพ์เผยแพร่ในตำราพรหมชาติฉบับหลวงของโหรสำนักหลวงแห่งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ แต่ข้าพเจ้าเคยพบตำรานี้มานานตั้งแต่ยังเป็นเด็ก  อ่านหนังสือออกก็พบตำรานี้แล้ว
     สำนวนนี้เป็นสำนวนที่ชำระแล้ว  คิดว่าน่าจะถูกต้องที่สุด  ถ้าท่านผู้ใดเห็นว่าหยาบคายก็โปรดให้อภัยด้วย  อันที่จริงตำรานี้ท่านมุ่งถึงคุณภาพและอุปนิสัยตลอดจนวาสนาของนารี  มากกว่าจะมุ่งเอาเรื่องรูปลักษณะภายนอก สุดแต่ท่านจะพิจารณา  นำมาลงไว้เพื่อแสดงว่านักกวีนั้นมักจะแต่งตำราโหรเป็นวรรณคดีคำกลอนไว้มากมาย ท่านเรียกว่า วรรณคดีโหราศาสตร์
     ตำราดูเศษนารีคำกลอนนี้ไม่มีหลักฐานว่าเป็นบทกวีของสุนทรภู่ก็จริงอยู่ แต่สำนวนกลอนแปดที่ใช่คำแปดคำ และมีสัมผัสในแพรวอย่างนี้  เป็นสำนวนกลอนสุนทรภู่ ไม่ใชยุคก่อนสุนทรภู่เป็นแน่นอน ท่านแต่งเรื่องลี้ลับลามก แต่ฟังได้ไม่หยาบคายเลย  แม้ว่าสตรีได้อ่านได้สบายใจ เป็นแต่ว่าต่อไปก็ต้องปกปิดในเดือนปีเกิด เหมือนสตรีชาวฝรั่งที่เขาไม่นิยมเปิดเผยวันเดือนปีเกิดนั่นแหละครับ

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอน ตำราดูอัฎกาลคำกลอน ของพระสุนทรโวหาร (ภู่)


ตำราดูยามอัฎกาลคำกลอน
ของ พระสุนทรโวหาร (ภู่ )

     วันอาทิตย์กลางวัน

     สุริชะแดดอุนอ่อน                             เมื่อวานรเนรคุณลิงรุ่นจิ๋ว
เห็นรังนกกระจาบรายอยู่ปลายนิ้ว  ก็ไพล่พลิ้วอาศัยอยู่ในรัง(๖.๐๐-๗.๓๐)
      ศุกรสิงไพรใจโกหก                   ลวงให้หลงรักใคร่เหมือนใจหวัง
จนปักษีมีไข่มิได้ระวัง               เพราะเชื่อฟังลมลิงไม่กริ่งใจ(๗.๓๑-๙.๐๐)
     พุธะลิงป่าอุลามก                  เห็นไข่นกนึกหมายน้ำลายไหล
จับขึ้นจูบลูบคลำแล้วกำไว้    อยากจะใคร่ได้กินแลบลิ้นเลีย(๙.๐๑-๑๐.๓๐)
     จันเทาเอาไข่เข้าใส่ปาก   กระโดดจากต้นงิ้วพลิ้วไปเสีย
แล้วซ่อนตัวกลัววิหกนกตัวเมีย เอาทรายเกลี่ยกลบไข่เสีย                                                                     ให้ลับ(๑๐.๓๑-๑๒.๐๐)
     เสารี สกุณีไม่เห็นไข่            ก็สงสัยลิงจุ่นหมุนไปจับ
พบลิงไพรถามไถ่ก็ไม่รั  โต้เถียงกับนกกระจาบก็หยาบ                                                               คาย(๑๐.๓๑-๑๕.๐๐)                                                               

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอน ตำราดูเศษนารี ๒


ตำราดูเศษนารี

                                                          ๐แถลงลักษณ์คัมภีร์นารีโหร
เป็นตำรับลับลี้เป็นที่โลน                    ทายแล้วโดนเหมือนว่าตำราครู
ในลักษณะที่จะทรงกำหนด                ทายถูกหมดไม่พ้นทุกคนผู้
จะโคกขาวยาวใหญ่เท่าใดดู               ก็คงรู้เที่ยงแท้แน่แก่ใจ
๐ เศษหนึ่งตำราท่านว่ามี                    รูปโยนีเท่าใบพูลไม่สู้ใหญ่
หนทางเข้านั้นขยับจะคับไป                ขนก็ไม่มีรกปกแคมรู
๐ ทำนายว่าอาภัพอัปภาค                   แต่ขันหมากก็ไม่จนคนไม่สู้
ราคะแรงนักหนาตำราครู                     มักหาคู่เอาเองไม่เกรงใคร
 ๐เศษสองทำนายบรรยายว่า            โตเท่าฝ่ามือกางอย่างใหญ่ใหญ่ 
ทั้งโลมาก็ดกรกกระไร                      เนื่องขึ้นไปจนบนหนอกดูออกดำ 
ทำนายว่าอาภัพอัปลักษณ์                ทั้งยศศักดิ์เสื่อมทรามแม่งามขำ
ทรัพย์สมบัติต้องหาอุตส่าห์ทำ   เงินทองทำกว่าจะได้เหงี่อไหลเซาะ 
๐เศษสามทำนายทายทักไว้       ว่าโตใหญ่ขาวโศกดูโหมกเหมาะ
ที่ร่องทางจะทำก็จำเพาะ          พอเหมาะเจาะไม่สู้กว้างเป็นอย่างดี
อันโลมามีอยู่ไม่สู้มาก                เว้นแต่หากดำสนิทดูมิดหมี
แม้นชายใดได้ร่วมรักภัคคินี        ต้องคลุกคลีเคล้าเคล้นเล่นร่ำไป
๐ เศษสี่ตำราท่านว่าถ่อย           เหมือนกาบหอยแมลงภู่ไม่สู้ใหญ่
ประการหนึ่งถ้าจะอุปไมย         พิเคราะห์ไปแล้วก็สืบเหมือนกีบกวาง
ทั้งโลมาดกดำดูรกเรี้ยว           หนทางเที่ยวทำเลลึกดูกว้างขวาง
ถึงมีคู่คู่คิดนอกจิตนาง             มักจะร้างแรมสนุกไปทุกคราว 
 ๐ เศษห้าว่าโคกกระเปาะเหลาะ เหมือนตาลเฉาะน่าดูสองพูขาว
พอสมกายสมกันไม่สั้นยาว   ไม่ห่างหาวเห็นสนิทมิดชิดีดี
   ๐ โลมามีรำไรไม่สู้ดก          ด้วยเศษตกเบญจเศษประเสริฐศรี
เป็นมหาสิทธิโชคโฉลกดี        ทรัพย์สินมีมากครันด้วยปัญญาฯ
     ๐เศษหกโคกขาวยาวสลวย เหมือนกาบกล้วยตานีดีนักหนา
ทั้งโตยาวขาวล้วนยวนวิญญาณ์  เส้นโลมาาละเอียดละออดูพอควร
     ๐ เมื่อรุ่นสาวมีทุกข์ไม่สุขแท้ ต่อเมื่อแก่จึงจักวายหายกำสรวญ
สุขสมบัติบริบูรณ์ประมูลมวล    ประเสริฐส่วนเศษโชคโฉลกงาม ฯ
     ๐ เศษเจ็ดเท็จถ่อยเหมือนหอยโข่ง กะเปาะโป่งติดตัวชั่วส่ำสาม
ตัณหามากราคะจัดกำดัดกาม       มักทำตามใจตัวไม่กลัวใคร
 ทิ้งก้าวร้าวห้าวหาญในการโลกย์ สาระโกกเกเรเถลไถล
น้ำจิตรรักนักเลงโทงเทงไป          มีผัวได้พึ่งพาแต่สามี
ลำพังตัวแล้วต้องเที่ยวช่องแช่ง ไม่เป็นแหล่งเป็นหลักสิ้นศักดิ์ศรี
แม้ชายใดได้ร่วมประเวณี          ก็เป็นที่มัวหมองเหมือนต้องไฟ ฯ
     ๐ เศษสูญนูนโหนกเป็นโคกเค้า เหมือนน้ำเต้าผ่าแล่งแถลงไข
โลมารายริมรอบตามขอบไป     ที่ลานใหญ่มีบ้างแต่บางเบา
น่าสงวนควรสนองประคองคู่     เป็นคนรู้จักเจียมเสงื่ยมเหงา
มักชิงชังสิ่งชั่วไม่มัวเมา            กอปรด้วยเชาวน์ปรีชาปัญญายง
ใจไม่พาลแต่อาการเมื่อเพ่งพิศ  เจือนักเลงอยู่สักนิดน่าพิศวง
ตำหรับท้าตำราทายที่หมายตรง  ใช่จะลงเลขผิดประดิษฐ์เดา
ผู้จะเรียนเที่ยงทำจำสังเกต         ประกอบเศษนารีดังนี้เข้า
เอาวันเดือนปีเกิดกำเนิดเนา       บวกกันเข้าเจ็ดลบหักกลบกัน
เอาสามคูณแปดหารการสำเร็จ   ย่อมเผด็จรู้จบภพสวรรค์
ทำนายตามเศษเห็นเป็นสำคัญ   ตำรับอันลับมิดปกปิดเอยฯ 
     
ู        

วันพุธที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2561

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์ ) ตอน ประวัติย่อสุนทรภู่ที่พบใหม่

 ประวัติย่อสุนทรภู่ที่พบใหม่ 

     ๑. เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๙ ในรัชกาลที่๑ เวลา ๘.๐๐ น. ลัคนาอยู่ราศีกรกฎ อังคารศุกร์กุมลัคน์ เสาร์ราหูเล็งลัคน์ พฤหัสบดีอยู่ราศีเมษ 
     ๒. บิดาชื่อขุนศรีสังหาร (พลับ)  ต่อมาบวชได้เป็น พระครูธรรมรังษี เจ้าคณะเมืองแกลงฝ่ายอรัญวาสี เท่ากับเจ้าคณะจังหวัดในปัจจุบัน 
     ๓. มารดาชื่อช้อย เป็นชาวแปดริ้ว เป็นแม่นมของพระองค์เจ้าหญิงจงกล พระราชธิดาของกรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ (ทองอินทร์)  กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข(วังหลัง) 
    ๔. สุนทรภู่ มีบรรดาศักดิ์เป็น หลวงสุนทรโวหาร  เจ้ากรมราชบัณฑิตอยู่ในวังหน้า สมัยกรมพระราชวังบวรอิศรสุนทร (คือ พระพุทธเลิศหลานภาลัย)   เมื่อ พ.ศ.๒๓๕๑  สุนทรภู่ไม่เคยเป็นขุนสุนทรโวหาร เพราะไม่มีตำแหน่งนี้ในวังหน้า
     ๕. สุนทรภู่ เข้ารับราชการอยู่ในวังหลวง เมื่อพ.ศ.๒๓๖๐ เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์สวรรคต
     ๖. เรื่องโคบุตร สุนทรภู่แต่งถวายพระองค์เจ้าชายปฐมวงศ์  
     ๗. นิราศเมืองแกลง  แต่งเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๓๕๐ เมื่อเดินทางไปบวชที่เมืองแกลง แต่ป่วยเสียจึงไม่ได้บวช  จึงแต่งนิราศเมืองแกลงให้นางจันทร์คนรัก 
     ๘. นิราศพระพุทธบาท  สุนทรภู่ แต่งเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๕๐ เมื่อตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ไปนมัสการพระพุทธบาท สระบุรี จึงแต่งนิราศพระพุทธบาทให้นางจันทร์เมียรัก
     ๙.พ.ศ.๒๓๖๗ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยสวรคต พระนั่งเกล้าฯ ขึ้นเสวยราชย์ สุนทรภู่จึงหนีราชภัยออกบวชในนาม หลวงสุนทรโวหาร มิได้ถูกปลดยศ ปลดตำแหน่งแต่อย่างใด บวชอยู่ที่วัดอรุณราชวรารามที่เคยบวชอยู่กับ พระองค์เจ้าปฐมวงศ์มาก่อน 
     ๑๐.พ.ศ.๒๓๖๘ ข้ามฝั่งมาอยู่วัดพระเชตุพนฯ อยู่ในอุปถัมภ์ของกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ 
     ๑๑.พ.ศ.๒๓๗๐ อาสากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ไปหาของดีที่เมืองเพชรบุรี และแต่งนิราศเพชรบุรีถวายกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ออกเดินทางจากวัดพระเชตุพนฯ ในขณะที่บวชอยู่ 
     ๑๒. พ.ศ.๒๓๗๑ ย้ายไปอยู่วัดราชบูรณะ  และได้เดินทางไปวัดภูเขาทอง  แล้วได้แต่งนิราศภูเขาทองขึ้น  ก่อนไปได้แต่งเพลงยาวถวายโอวาทถวายเจ้าฟ้าชายกลาง และเจ้าฟ้าอาภรณ์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ 
     ๑๓. พระอภัยมณี แต่งถวายเจ้าฟ้ามงกุฎและเจ้าฟ้าจุฑามณี ที่พลาดจากราชสมบัติ เพื่อเป็นปริศนาธรรมให้พระสติปัญญาแก่เจ้าฟ้าชายทั้งสองพระองค์ ตั้งแต่ออกบวชเมื่อพ.ศ.๒๓๖๗ จนกระทั่งไปอยู่วัดเทพธิดา ก็แต่งต่อถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ 
     ๑๔. พระสิงหไตรภพ แต่งถวายกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระราชโอรสในพระพุทธเลิศหล้าฯ เริ่มแต่งเมื่อเจ้าฟ้าจุฑามณีได้รับแต่งตั้งเป็นกรมขุน  โดยสุนทรภู่คาดหมายว่าเจ้าฟ้าองค์นี้จะสืบต่อราชสมบัติจากพระนั่งเกล้าฯ 
     ๑๕ นิราศสุพรรณ แต่งเมื่ออยู่วัดเทพธิดา เดินทางไปสุพรรณบุรี เมื่อพ.ศ.๒๓๘๔ แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เพื่ออวดฝีมือว่าแต่งคำโคลงนิราศได้อย่างไพเราะ 
     ๑๖.เพลงยาวรำพรรณพิลาป แต่งเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๘๕ แต่งถึงกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพโดยตรง 
     ๑๗. นิราศพระปธม แต่งเมื่อเดินทางไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๘๕ นิราศเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายของสุนทรภู่
     ๑๘. พ.ศ.๒๓๘๖ กลับจากพระปฐมเจดีย์ ก็ไปจำพรรษาอยู่วัดสระเกศตรงข้ามฝั่งคลองกับวัดเทพธิดา  ที่วัดนี้สุนทรภู่ได้แต่ง "โลกนิติคำกลอน" ไว้เรื่องหนึ่ง 
     ๑๙. พ.ศ.๒๓๘๘ สุนทรภู่ได้เดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรัง พร้อมด้วยเณรกลั่น สุนทรภู่บวชอยู่ เดินทางไปเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ.๒๓๘๘ จากวัดสระเกษ ตอนนี้สุนทรภู่บวชได้ ๒๑ พรรษาแล้ว เณรกลั่นเรียกสุนทรภู่ว่า "มหาเถร"  (คนที่จะเป็นมหาเถรได้ต้องบวชถึง ๒๐ พรรษา)
. ๒๐. พ.ศ.๒๓๙๔ สุนทรภู่ลาสิกขาออกมารับราชการวังหน้า  อาศัยใบบุญอยู่กับพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  ได้เป็น พระสุนทรโวหาร จางวางกรมพระอาลักษณ์ วังหน้า (ไม่ใช่เจ้ากรม)  มีศักดินา ๒๕๐๐ ไร่ สุนทรภู่บวชอยู่ ๒๗ พรรษาไม่เคยสึกเลย 

     ๒๑. พ.ศ.๒๔๐๘ พระปิ่นเกล้าฯ สวรรคต สุนทรภู่จึงออกจากราชการไปอยู่บ้านแถวฝั่งธนบุรี  จนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐ อายุ ๘๑ปี (ไม่ใช่มีอายุ ๖๙ ปีเท่านั้น)
     ๒๒. นิราศวัดเจ้าฟ้า  ที่ขึ้นต้นกลอนว่า "เณรหนู่พัดหัดประดิษฐ์คิดอักษร " เป็นสำนวนของนายพัด ภู่เรือหงส์  บุตรสุนทรภู่ แต่งเมื่อพ.ศ.๒๓๗๙ พรรณาถึงเจ้าจอมทองอยู่  พระอัครชายาของกรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ (ทองอินทร์)  ไว้ยืดยาวว่าเผาศพที่วัดระฆัง  ยังมีกองทรายอยู่ตามประวัติของเจ้าจอมทองอยู่  ได้รับพระราชทานเพลิงศพที่วัดระฆังเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๙  ตอนนี้นายพัด ภู่เรือหงส์ อายุได้ ๑๙ ปี 
     ๒๓. นิราศพระแท่นดงรัง  ฉบับที่ขึ้นต้นกลอนว่า "นิราศรักหักใจอาลัยหวน" นั้นเป็นสำนวนกลอนของเสมียนมี ศิษย์สุนทรภู่ไปพระแท่นดงรัง พ.ศ.๒๓๗๙ นายมีคนนี้แต่งนิราศไว้หลายเรื่อง  นิราศฉลาง นิราศพระแท่นดงรัง นิราศเดือน นิราศสุพรรณ และแต่งเพลงยาวเฉลิมพระเกียรติพระนั่งเกล้าฯ และกายนครคำกลอนไว้อีกสำนวนหนึ่ง  
     ๒๔. นิราศอิเหนา ที่ขึ้นต้นกลอนว่า "นิราศร้างห่างเหเสน่หา" เป็นสำนวนกลอนของกรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิ์  ลูกศิษย์สุนทรภู่ เป็นพระโอรสพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  เป็นกวีแต่งนิราศฉะเชิงเทรา และเพลงยาวสังวาสไว้ อรรถรสไพเราะลึกซึ้ง ใช้สำนวนปราณีต ผิดกับคำกลอนสุนทรภู่ที่่แต่งแบบกลอนตลาด  
    ๒๕.สุภาษิตสอนหญิงคำกลอน ที่ขึ้นต้นไหว้ครูว่า  "ประนมหัตถ์นมัสการขึ้นเหนือเศียร"  เป็นสำนวนกลอนของนายภู่ จุลละภมร  ลูกศิษย์สุนทรภู่อีกคนหนึ่ง สุนทรภู่แต่งกลอนไม่เคยไหว้ครูเลยแม้แต่เรื่องเดียว  แต่นายภู่ จุลละภมร มีคำไหว้ครูทุกเรื่อง  
     ๒๖. บทละครเรื่องอภัยนุราช  เป็นบทกวีของพระยาเสนาภูเบศร์(ใส สโรบล) แต่งขึ้นสำหรับเล่นละคร  ไม่ใช่บทกวีของสุนทรภู่
     ๒๗. บทกวีที่ไม่ใช่ของสุนทรภู่ ต้องตัดออกไปคือ ๑. นิราศวัดเจ้าฟ้า ของนายกลั่น พลกนิษฐ์ ๒. นิราศพระแท่นดงรัง ของนายมี มีระเสน ๓.นิราศอิเหนา ของ กรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิ์ ๔. สุภาษิตสอนหญิง ของ นายภู่ จุลละภมร ๕. บทละครเรื่องอภัยนุราช ของพระยาเสนาภูเบศร์ (ใส สโรบล)  
     ๒๘. บทกวีที่เพิ่มเข้ามาเป็นบทกวีของสุนทรภู่  คือ สุภาษิตโลกนิติคำกลอน  แต่งเมื่อบวชจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศ ระหว่างพ.ศ. ๒๓๘๖ ถึง พ.ศ. ๒๓๙๓ 
     ๒๙. บทกวีของสุนทรภู่จึงคงเหลือ ๒๐ เรื่อง มีนิราศ ๖ เรื่อง คือ 
     ๑. นิราศเมืองแกลง พ.ศ.๒๓๕๐
     ๒. นิราศพระพุทธบาท พ.ศ.๒๓๕๐
     ๓. นิราศภูเขาทอง พ.ศ.๒๓๗๑
     ๔. นิราศสุพรรณ พ.ศ. ๒๓๘๔
     ๕. นิราศพระปธม พ.ศ. ๒๓๘๕ เป็นนิราศเรื่องสุดท้าย หลังจากกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพสิ้นพระชนม์เมื่อพ.ศ. ๒๓๘๘ สุนทรภู่ไม่แต่งนิราศอีกเลย เพราะสิ้นสิ่งบันดาลใจทางการกวีนิพนธ์ 
     ๓๐. เรื่องลักษณวงศ์ แต่งถวายพระองค์เจาลักขณานุคุณ พระราชโอรสของพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  แสดงว่า สุนทรภู่เป็นอาจารย์ของพระราชโอรสพระราชธิดาของพระนั่งเกล้าฯ ถึง ๒ พระองค์ คือ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ แต่งหนังสือถวายหลายเรื่อง พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ ก็แต่งเรื่องลักษณวงศ์ถวาย  แสดงอยู่ชัดแจ้งว่าสุนทรภู่มิได้ถูกถอดยศ ปลดตำแหน่ง สุนทรภู่เกรงกลัวพระบารมีเพราะเคยข้ามกรายท่านไว้ในสมัยที่สุนทรภู่รุ่งเรือง  พอพระนั่งเกล้าฯ ขึ้นครองราชย์ก็หนีออกบวช  
     ๓๑. สุนทรภู่หมดที่พึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว สวรรคตเมื่อวันที่ ๗  มกราคม พ.ศ.๒๔๐๘ สุนทรภู่ต้องออกไปอยู่บ้านแถวฝั่งธนบุรี แต่บางที่ก็ว่าอยู่ในวังหน้าต่อไป โดยอาศัยใบบุญอยู่กับกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ  พระราชโอรสของพระปิ่นเกล้า ฯ จนถึงแก่อนิจกรรมไปเมื่อ พ.ศ.๒๔๑๐ อายุ ๘๑ ปี
     
     ที่ว่าสุนทรภู่ถึงแก่อนิจกรรมในพ.ศ.๒๔๑๐ นั้น ไม่มีหลักฐานอย่างอื่นยืนยัน นอกจากาตำราโหราศาสตร์ที่ว่า ดวงชะตาสุนทรภู่มีดาวพฤหัสบดีอยูราศีเมษ เป็นราชาโชค  เป็นปทุมเกณฑ์  พระราชาอุปถัมภ์  ดาวอังคารเป็นอายุกุมลัคนากับดาวศุกร์ คู่มิตรในราศีกรกฎเช่นนี้ ต้องพยากรณ์ว่าอายุเกิน ๘๐ ปี จึงว่าสุนทรภู่อายุ ๘๑ ปี ถึงแก่อนิจกรรก่อนพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเพียง ๑ ปี 



     การศึกษาชีวิตและงานของสุนทรภู่ เราจะศึกษาแต่บทกวีที่มีผู้บอกว่าเป็นของสุนทรภู่เท่านั้นไม่ได้  เราต้องศึกษาประวัติศาสตร์ พระราชพงศาวดาร ประวัติของผู้อื่นที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกันประกอบด้วย  เราต้องมีปรีชาญาณในทางการกวีดีพอสมควร เปรียบเหมือนนักดนตรีจึงจะรู้ฝีมือของนักดนตรีด้วยกัน  คนที่จะรู้ว่าบทกวีใดเป็นของกวีใด ต้องมีปรีชาญาณทางการกวีแต่งบทกวีได้อย่างชำนาญ มีปัญญาและอารมณ์ของนักกวีด้วย  
     การศึกษาวรรณคดีโบราณที่ไม่ปรากฎนามกวีนั้น มันลึกซื้ง เราต้องศึกษาอย่างวิเคราะห์วิจัย อย่างวิจารณ์ จนเกิดเป็นวรรณคดีวิจารณ์ เหมือนพระภิกษุสงฆ์ ต้องเรียนรู้พระธรรม ต้องเรียนปริยัติ เรียนปฎิบัติ จึงจะเกิดเป็นปฎิเวธ  รู้แจ้งในพระธรรมฉันใดก็ดี  การเรียนรู้วรรณคดีโบราณ ต้องเรียนให้มา อ่านให้มาก และต้องปฎิบัติคือ ต้องแต่งโคลงกลอนไ  กาพย์ ฉันทฺ์ได้   แต่งจนชำนาญจนรู้ลีลา รู้ปัญญา รู้อารมณ์ของกวีด้วยตนเอง  แล้วจึงเอาไปเทียบเคียงกับกวีโบราณ จึงจะรู้อรรถรส ลีลา ปัญญา อารมณ์ของกวีโบราณ 
     ข้าพเจ้าใช้เวลาศึกษาวรรณคดีโดยวิธีการศึกษาทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฎิบัติมากว่า ๓๐ ปี จึงได้เขียนเรื่องประวัติสุนทรภู่ออกมาเสนอท่านผู้สนใจโปรดพิจารณากันต่อไป  

(จบบริบูรณ์)
     


วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอน ลำดับงานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่


ลำดับงานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่

     สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงบุกเบิกค้นคว้าเรื่องชีวิตและงานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่ไว้เมื่อพ.ศ. ๒๔๖๕ ว่าสุนทรภู่มีงานกวีนิพนธ์รม ๒๔ เรื่อง  บัดนี้เวลาล่วงเลยมา ๖๕ ปีแล้ว เราจำเป็นต้องปรับปรุงทฤษฎีของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสียใหม่ ว่างานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่ มีอยู่  ๒๑ เรื่อง คือเราจำเป็นต้องตัดออกเสีย ๕ เรื่อง และเพิ่มเรื่องใหม่อีก ๒ เรื่อง ดังต่อไปนี้คือ

    ๑. นิราศพระแท่นดงรัง ฉบับที่ขึ้นต้นว่า "นิราศรักหักในอาลัยหวน  ไปพระแท่นดงรังต้ังแต่ครวญ"  ว่าไม่ใช่สำนวนกลอนของสุนทรภู่  เป็นสำนวนกลอนของเสมียนมี  หรือหมื่นพรหมสมพัตศร(มี) หรือบัดนี้เรารู้จักกันในชื่อ นายมี มีระเสน ซึ่งเป็นศิษย์สุนทรภู่

   ๒. นิราศอิเหนา เราจำเป็นต้องตัดออกไป เพราะเหตุว่าสุนทรภู่แต่งนิราศ ไม่เคยขึ้นต้นกลอนว่า "นิราศ" เลยแม้แต่เรื่องเดียว  นิราศอิเหนานี้เป็นพระราชนิพนธ์ของกรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิ์ ซึ่งก็เป็นศิษย์สุนทรภู่  กรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิ์เป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย 

   ๓. นิราศวัดเจ้าฟ้า  เราก็ต้องตัดออกไป  เพราะเหตุว่าผู้แต่งได้บอกชื่อตัวเองไว้อย่างชัดแจ้ง ผู้แต่งคือนายพัด ภู่เรือหงส์ ลูกชายสุนทรภู่ แต่งเมื่อพ.ศ. ๒๓๙๙ เมื่อนายพัด ภู่เรือหงส์ บวชเณรอยู่ มีอายุได้ ๑๙ ปีแล้ว นายภู่ ภู่เรือหงส์ เกิดเมื่อพ.ศ. ๒๓๖๑ นายภู่แต่งพรรณนาถึงเจ้าจอมมารดาทองอยู่ พระอัครชายาของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข  กรมพระอนุรักษ์เทเวศร์(ทองอิน)  ซึ่งได้รับพระราชทานเพลิงศพ เมื่อพ.ศ.๒๓๗๙ ที่วัดระฆัง

   ๔. สุภาษิตสอนหญิง เราจำเป็นต้องตัดออกไป  เพราะเหตุว่าสุนทรภู่แต่งกลอนไม่เคยไหว้ครูเลยแม้แต่เรื่องเดียว  สำนวนไหว้ครูที่ขึ้นต้นว่า "ประนมหัตถ์มัสการขึ้นเหนือเศียร  ต่างประทีบโกสุมประทุมเทียน" เป็นสำนวนกลอนของนายภู่ ลูกศิษย์สุนทรภู่ แต่งเรื่องอะไรก็ใช้สำนวนกลอนไหว้ครูอย่างนี้ทุกเรื่อง   นายภู่เคยบวชที่วัดสระเกศในรัชกาลที่ ๓ สึกออกมาในรัชกาลที่ ๔  เดิมเป็นพระธรรมทานาจารย์(ภู่) ทายาทของท่านได้รับนามสกุลพระราชทานว่า "จุลละภมร"  ด้วยสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าทรงทราบว่า นายภู่เป็นกวีชั้นรองสุนทรภู่  จึง ได้พระราชทานนามสกุลว่า "จุลละภมร"  แปลว่า "นายภู่น้อย"

   ๕. บทละครเรื่องอภัยนุราช  เรื่องนี้ก็ต้องตัดออก เพราะกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ทรงว่าเป็นบทกวีของพระยาเสนาภูเบศร์  ในรัชกาลที่ ๔ เป็นเจ้าของละคร  จึงแต่งละครให้เล่นกัน  ไม่ใช่แต่งสำหรับอ่านเล่นเช่นนิยายคำกลอนของสุนทรภู่ 

    ๖. สุภาษิตโลกนิติคำกลอน เป็นบทกวีอันมีคุณค่าของสุนทรภู่ คู่กับ "สุภาษิตโลกนิติคำโคลง" ของ กรมพระยาเดชาดิศร และแต่งในสมัยเดียวกันคือ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แต่งเมื่อบวชอยู่วัดสระเกศระหว่างพ.ศ.๒๓๘๖ ถึงพ.ศ.๒๓๙๓ สุนทรภู่สึกในพ.ศ.๒๓๙๔ ในรัชกาลที่ ๔  มีราชทินนามตามบรรดาศักดิ์ว่า พระสุนทรโวหาร ตำแหน่งจางวางกรมพระอาลักษณ์  ไม่ใช่เจ้ากรม สุนทรภู่รับราชการอยู่วังหน้าจนถึงพ.ศ.๒๔๐๘  พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตแล้ว จึงออกไปอยู่บ้านสวนที่ฝั่งธนบุรี สุนทรภู่น่าจะถึงแก่กรรมในพ.ศ.๒๔๑๐ มีอายุได้ ๘๑ ปี  ไม่ใช่ถึงแก่กรรมพ.ศ. ๒๓๙๘ อายุ ๖๙ ปี ตามที่ว่ากัน  สุนทรภู่บวชอยู่จนตลอดรัชกาลที่ ๓ รวม ๒๘ พรรษา  ไม่เคยสึกแล้วบวชอีกตามว่ากัน หลักฐานเรื่องนี้อยู่ที่นิราศพระแท่นดงรังของเณรกลั่น  ลูกบุญธรรมและลูกศิษย์สุนทรภู่ เขียนยืนยันไว้ในนิราศพระแท่นดงรังว่า  สุนทรภู่เดินทางไปด้วยเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๓๘๘

     สรุปว่างานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่มี ๒๑ เรื่องคือ 
     ๑.นิยายคำกลอนเรื่องโคบุตร  แต่งเมื่อพ.ศ.๒๓๔๙ อายุ ๒๐ ปี แต่งถวายพระองค์เจ้าปฐมวงศ์  พระราชโอรสของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข 
     ๒. นิราศเมืองแกลง แต่งเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๓๕๐  อายุ ๒๑ ปี แต่งให้นางจันทร์ คนรัก 
     ๓. นิราศพระพุทธบาท แต่งเมื่อ เดือนกุมภาพันธุ์ พ.ศ.๒๓๕๐ อายุ ๒๑ ปีแต่งให้นางจันทร์คนรัก 
     ๔.พระอภัยมณี แต่งเมื่อพ.ศ.๒๓๖๗  แต่งถวายเจ้าฟ้าชายมงกุฎและเจ้าฟ้าชายจุฑามณี  เพื่อถวายพระโอวาทให้พระสติปัญญาและกำลังใจที่พลาดจากราชสมบัติ 
     ๕. เพลงยาวสวัสดิรักษา แต่งถวายเจ้าฟ้าชายจุฑามณี ด้วยจงรักภักดีในในเจ้าฟ้าชายองค์นี้มาก ด้วยหวังว่าจะได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากรัชกาลที่ ๓ 
     ๖. เพลงยาวถวายโอวาท แต่งถวายเจ้าฟ้าชายกลาง มหามาลาและเจ้าฟ้าอาภรณ์  ซึ่งเป็นศิษย์เมื่ออยู่วัดราชบูรณะ พ.ศ. ๒๓๗๐
     ๗. นิราศเมืองเพชร แต่งถวายเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เมื่อพ.ศ.๒๓๗๐ เมื่อคราวเดินทางไปหาของดีถวายที่เมืองเพชร  เจ้าฟ้าชายองค์นี้ท่านสนพระทัยสนุกไปทางนี้  ในนิราศนี้ยังกล่าวถึงขุนแพ่งว่าตายเมื่อคราวศึกลาวพ.ศ.๒๓๖๙ สุนทรภู่บวชอยู่ที่วัดพระเชตุพน  ลงเรือที่หน้าวัดนี้ บอกว่าได้บังสกุลให้ขุนแพ่งด้วย โดยบังสกุลให้ด้วยตนเองเพราะเป็นพระภิกษุ อายุ ๔๑ ปีอยู่ในอุปถัมภ์ของกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ 
     ๘. นิราศภูเขาทอง แต่งเมื่อพ.ศ.๒๓๗๑  เมื่อบวชอยู่วัดราชบูรณะ  กล่าวถึงวัดเขมาว่ามีงานฉลองเมื่อวันวาน   วัดนี้มีงานฉลองปีพ.ศ.๒๓๗๑  อายุ๔๒ปี
     ๙. นิราศสุพรรณ แต่งเมื่อพ.ศ.๒๓๘๔  อายุได้ ๕๕ ปีแต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ 
   ๑๐. เพลงยาวรำพรรณพิลาป แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๘๕  เป็นเพลงยาวเกี้ยวเจ้านายสาวสวยพระองค์นี้โดยตรง 
     ๑๑.นิราศพระปธม  เดินทางไปนมัสการพระปฐมเจดีย์เมื่อวันที่๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๘๕  หลังจากแต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปได้ ๖ เดือน  แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เป็นการขอขมาที่บังอาจแต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปเกี้ยวพาราสีท่านไว้  เป็นนิราศเรื่องสุดท้ายของสุนทรภู่ หลังจากนี้สุนทรภู่ก็ไม่แต่งนิราศอีกเลย  เพราะกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ สิ้นพระชนม์เมื่อ วันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๓๘๘  พระชนมายุได้ ๓๔ พรรษา  สุนทรภู่ก็สิ้นสิ่งดลใจทางการกวี  สิ้นความเพ้อฝันที่จะแต่งนิราศรักอีกต่อไป
     ๑๒. สุภาษิตโลกนิติคำกลอน  แต่งเมื่อบวชอยู่วัดสระเกศ  ระหว่างพ.ศ.๒๓๘๖ ถึงพ.ศ.๒๓๙๓ เป็นสุภาษิตสอนเด็ก  สุนทรภู่อายุ ๕๗ ถึง ๖๔ ปี
     ๑๓. เพลงยาวพระราชพงศาวดาร  แต่งถวายรัชกาลที่ ๔ เมื่อรับราชการอยู่วังหน้า  ระหว่างพ.ศ.๒๓๙๔ ถึงพ.ศ.๒๓๙๘ อายุ ๖๕ ถึง ๗๐ ปี  ไม่มีอารมณ์กวีแฝงอยู่เลย  จึงมีผู้กล่าวว่าไม่ค่อยไพเราะ 
     ๑๔. เพลงเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน  แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ให้นางกำนัล นางข้าหลวงในวังขับเสภากันเล่น ในรัชกาลที่ ๓ ระหว่าง พ.ศ.๒๓๘๑ ถึงพ.ศ. ๒๓๘๕ แบบที่พระมหามนตรีแต่งบทละครตลกเรื่อง ระเด่นลันได ถวายให้นางข้าหลวงเล่นละครตลกกันในวัง  เพลงเสภาของสุนทรภู่สู้ของครูแจ้ง วัดระฆัง ไม่ได้ เพราะสุนทรภู่สมาคมอยู่ในชั้นเจ้านายซึ่งเป็นผู้ดีชั้นสูง รสชาติจึงไม่ถึงใจคนฟังผิดธรรมเนียมเพลงเสภาที่ต้องว่ากันเจ็บแสบถึงทรวง  อย่างละครตลกของพระมหามนตรีเรื่องละเด่นลันได 

     ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าคนที่จะรู้ฝีมือกวีต้องเป็นนักกวีด้วยกัน  แต่งบทกลอนเป็นและแต่งได้อย่างชำนาญด้วย  เหมือนคนที่รู้รสดนตรีต้องเป็นนักดนตรีด้วยกัน 
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอน โลกนิติคำกลอน


โลกนิติคำกลอน

     เรื่องสำคัญที่นักศึกษาวรรณคดีของสุนทรภู่ยังไม่เคยมีใครค้นคว้าถึงก็คือ  สุนทรภู่ได้แต่งสุภาษิตไว้เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมาก  คือเรื่องโลกนิติคำกลอน  สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ทรงศึกษาค้นคว้างานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่ไว้เมื่อพ.ศ.๒๔๖๕ ก็มิได้ทรงกล่าวถึงเลย  เป็นเวลา ๖๕ ปีมาแล้ว  
     แต่สุภาษิตโลกนิติคำกลอนนี้ได้เคยเผยแพร่มาแล้วหลายคร้ัง  ข้าพเจ้าเองก็เคยนำไปพิมพ์แจกในงานศพบิดา เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ โดยขออนุญาตจากกรมศิลปากร  เจ้าของต้นฉบับ แต่กรมศิลปากรเรียกสุภาษิตเรื่องนี้ว่า"สุภาษิตสอนเด็ก"  เข้าใจว่าคงจะตั้งชื่อเองจากคำขึ้นต้นของสุภาษิตเรื่องนี้ว่า 

     "มานี่แนะเจ้าหนูดูสารสอน         จงจำไว้ไปข้างหน้าจะถาวร
       เป็นอาภรณ์เครื่องประดับสำหรับกาย"

     คำขึ้นต้นนี้ทำทีว่าจะสอนเด็ก  แล้วไม่มีผู้ใดได้ศึกษาค้นคว้าว่าสุภาษิตนี้มีที่มาจากไหน ใครเป็นคนแต่ง แต่งเมื่อใด ดูเหมือนว่าจะไม่มีคนกล่าวถึงมากนัก
     ข้าพเจ้าได้อ่านดูเห็นว่าเป็นสุภาษิตที่ไพเราะมากเรื่องหนึ่ง  ถ้อยคำสำนวนใกล้เคียงกับของสุนทรภู่มาก  น่าสงสัยว่าจะเป็นคำกลอนของสุนทรภู่  และโดยที่ข้าพเจ้าเคยสนใจสุภาษิตโลกนิติคำโคลงของสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร  จึงนำเนื้อหาสุภาษิตมาเทียบเคียงกันดู   ก็ปรากฎว่าสุภาษิตเรื่องนี้มีสาระสุภาษิต ตรงกับสุภาษิตโลกนิติคำกลอนโดยตลอดต้ังแต่ต้นจนปลายทีเดียว

      ยิ่งกว่าน้ันท่านผู้นิพนธ์สุภาษิตนี้ยังบอกไว้ชัดเจนว่า 
     
     "แสดงความตามบาลีโลกนิติ์     สุภาษิตของเก่าเก็บมาใส่
     เด็กใดดีปรีชาปัญญาไว              ก็หยิบใช้แต่ที่ชอบประกอบการ"

     เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงขออนุญาตเรียกสุภาษิตเรื่องนี้ใหม่ตามที่่านผู้นิพนธ์บอกไว้ว่า  "สุภาษิตโลกนิติคำกลอน"  เป็นของคู่กับ "สุภาษิตโลกนิติคำโคลงของเก่า"   ซึ่งเป็นบทกวีโบราณ ตกทอดมาถึงรัชกาลที่ ๓ ซึ่งรัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระยาเดชาดิศรทรงชำระเสียใหม่  สุภาษิตโลกนิติคำโคลงจึงมีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓
     อันที่จริงสุภาษิตโลกนิติคำโคลงนี้มีมาแต่โบราณแล้วสำนวนหนึ่ง แต่วิปลาสคลาดเคลื่อนในถ้อยคำสำนวน รัชกาลที่ ๓ จึงทรงโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระยาเดชาดิศรทรงชำระขึ้นใหม่     แต่ต่อมามีผู้พบฉบับภาษาบาลี  เอามาเทียบเคียงได้เกือบหมดทุกโคลง เมื่อกรมศิลปากรพิมพ์จึงนำคำบาลีมาพิมพ์เทียบเคียงไว้ด้วย 

     ต่อมาศาสตราจารย์แสง มนวิทูร ได้ศึกษาค้นพบว่า โลกนิติคำโคลงของเก่าและของกรมพระยาเดชาดิศรน้ัน มีที่มาจากโลกนิติปกรณ์  แต่งไว้เป็นคำฉันท์ในภาษาบาลี ท่านจึงนำมาแปลถอดความเป็นร้อยแก้วภาษาไทย มีอยู่ ๑๕๘ บท  เรื่องโลกนิติปกรณ์นี้ ได้พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพศาสตราจารย์แสง มนวิทูร เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๑๗ 
     และเมื่อได้อ่านแนวคำสอนในสุภาษิตนี้  ก็ต้องยอมรับว่าเป็นแนวคำสอนในพระพุทธศาสนานี่เอง  จะมีเพิ่มเติมบ้างเล็กน้อย ก็อยู่ในแนวหลักธรรมพระพุทธศาสนาตลอด 

     เมื่อนำ "สุภาษิตสอนเด็ก" เรื่องนี้มาเทียบเคียงเข้าแล้ว มันก็คือ"โลกนิติคำกลอน"ดีๆนี่เอง  ตามที่ท่านผู้นิพนธ์บอกไว้ว่า 

      "แสดงความตามบาลีโลกนิติ์          สุภาษิตของเก่าเก็บมาใส่"

     ท่านจะเอามาจากโลกนิติ์ปกรณ์ในภาษาบาลีโดยตรง  หรือว่าเอามาจาก"โลกนิติคำโคลงของเก่า"ก็ตาม ก็มีที่มาจากแหล่งเดียวกันกับ"โลกนิติคำโคลงของสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร" นั่นเอง    
     หมายความว่าถ้ากรมพระยาเดชาดิศร  ท่านเอามาจาก"โลกนิติคำโคลงของเก่า" แล้ว  "สุภาษิตโลกนิติคำกลอน" นี้ ก็มาจาก"สุภาษิตโลกนิติคำโคลงของเก่า"เหมือนกัน  หรือถ้าสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศรท่านเอาจากโลกนิติปกรณ์ภาษาบาลี   "สุภาษิตโลกนิติคำกลอน" นี้ก็มาจากโลกนิติปกรณ์ภาษาบาลีด้วยเช่นกัน  และน่าจะแต่งในสมัยรัชกาลที่ ๓ เพราะตามธรรมดานักกวีสมัยเดียวกัน  มักมีสิ่งแวดล้อมมาดลใจให้แต่งบทกวีในแนวเดียวกัน 
     กวีท่านหนึ่งจึงแต่ง โลกนิติคำโคลง กวีอีกท่านแต่ง โลกนิติคำกลอน ตามความถนัดของกวีท่านน้ัน  ถ้าไม่สังเกตุก็เกือบจะดูไม่ออกว่ามาจากแหล่งเดียวกัน คือ "โลกนิติปกรณ์ " ในภาษาบาลี

ตัวอย่างเรื่องการคบมิตร

โลกนิติคำโคลงของกรมพระยาเดชาดิศร ว่า

"ปลาร้าพันห่อด้วย     ใบคา
 ใบก็เหม็นคาวปลา     คละคลุ้ง
 คือคนหมู่ไปหา          พาลนา
 ได้แต่รายร้ายฟุ้ง       เฟื่องให้เสียพันธ์ุ"

โลกนิตคำกลอน ท่านแต่งว่า

"อันคนชั่วเช่นกะปิกับปลาร้า
  เอาใบคาเข้าห่อพอประเดี๋ยว
  คาก็เหม็นเช่นกันเช่นนั้นเจียว
  เหมือนผู้เที่ยวแปดปนด้วยคนพาล" 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องหาตัวกวีผู้แต่งว่าเป็นใครกันแน่  และต้องวินิฉัยเป็นเรื่องๆไป 

     ๑.ลักษณะคำกลอน
     ลักษณะคำกลอนนี้เป็นลักษณะคำกลอนของสุนทรภู่แท้ มีลักษณะเป็นกลอนแปดแท้ มีสัมผัสในด้วย  ซึ่งผิดกับนิราศท่าดินแดงของพระพุทธยอดฟ้าฯ และผิดกับคำกลอนเรื่องสังข์ทองของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งไม่เคร่งครัดในเรื่องแปดคำ และสัมผัสใน

     ๒. ความไพเราะ
     ความไพเราของโลกนิติคำกลอนนี้มีความไพเราะ ไม่มีที่ตำหนิเลย 
ตัวอย่างเช่น

     "อันรักกันอยู่ไกลถึงขอบฟ้า
      เหมือนชายคาเข้ามาเบียดดูเสียดสี
      อันชังกันนั้นอยู่ใกล้สักองคุลี
     ก็เหมือนมีแนวป่าเข้ามาบัง"  

     ๓. เปรียบเทียบเพลงยาวถวายโอวาท
     สุภาษิตโลกนิติคำกลอนนี้มีสำนวนคล้ายกับเพลงยาวถวายโอวาทของสุนทรภู่ ที่แต่งถวายเจ้าฟ้ามหามาลา  ดังจะยกมาให้เห็นคือ

     " อนึ่งบรรดาข้าไทยที่ใจซื่อ
      จงนับถือถ่อมศักดิ์สมัครสมาน
      อนึ่งคนมนตร์ขลังช่างชำนาญ
      แม้นพบพานผูกไว้เป็นไมตรี
     เขาจึงชอบปลอบให้น้ำใจชื่น
     จึงเริงรื่นรักแรงไม่แหนงหนี
     ปรารถนาสารพัดในปฐพี
     เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง"

     สุภาษิตโลกนิติคำกลอน

     "อนึ่งเป็นนายก็เอาใจไพร่มันมั่ง
     อย่าตึงตังไปทีเดียวเฝ้าเคี่ยวเข็ญ
     ถึงตกทุกข์ที่ลำบากได้ยากเย็น
     จะตายเป็นมันไม่ทิ้งจริงจริงเจียว
     อนึ่งบ่าวไพร่ไม่ดีจะตีด่า
     อย่าโกรธาหันหุนให้ฉุนเฉียว
     ประหยัดหย่อนผ่อนใช้แต่ไม้เรียว
     อุตส่าห์เหนี่ยวหน่วงจิตคิดเมตตา"

     จะเห็นได้ว่าแนวคิดถ้อยคำสำนวนเป็นอย่างเดียวกัน

     ๔. เปรียบเทียบสำนวนกลอนเพลงยาวสวัสดิรักษาของสุนทรภู่
     เพลงยาวสวัสดิรักษาที่สุนทรภู่แต่งถวายเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์นั้น ท่านใช้คำว่า "อนึ่ง"  ขึ้นต้นคำกลอนใหม่โดยตลอด  โลกนิติคำกลอนก็ใช้คำขึ้นต้นคำกลอนว่า "อนึ่ง" เช่นกัน  ยังไม่เคยเห็นกวีคนใดใช้คำขึ้นต้นกลอนว่า "อนึ่ง" เหมือนท่านสุนทรภู่เลย

     เพลงยาวสวัสดิรักษา

     "อนึ่งนั่งบังคมอย่ายลต่ำ        อย่าบ้วนน้ำลายพาเสียราศี"
     "อนึ่งทรงพระเจริญเพลินถนอม  อย่าให้หม่อมห้ามหลับทับหัตถา"
     "อนึ่งวันชำระสระพระเกล้า     อังคารเสาร์สิ้นวิบัติปัดโถม"

     โลกนิติคำกลอน

     " อนึ่งผู้ใดใคร่ซื่อให้ซื่อต่อ  เขาขัดคอแล้วจงให้เหมือนใจหมาย"
     "อนึ่งผู้ใดใคร่รักเร่งรักบ้าง    อย่าทำเมินเหินห่างหันหน้าหนี"
     "อนึ่งทรัพย์มีสี่ส่วนให้ควรแบ่ง สองส่วนแบ่งใช้จ่ายตามประสงค์"

      ๕. คำขึ้นต้นคำกลอน  สุนทรภู่ขึ้นต้นคำกลอนไว้อย่างสง่า  ภาคภูมิสมเป็นนักกวีชั้นครู  ไม่มีคำไหว้ครู ไม่มีคำออกตัว ไม่มีคำถ่อมตัว 

      เพลงยาวสวัสดิรักษา

    "สุนทรทำคำสวัสดิรักษา
     ถวายหน่อบพิตรอิศรา
     ตามพระบาลีเฉลิมให้เพิ่มพูน"

     สุภาษิตโลกนิติคำกลอน

     "มานี่แนะเจ้าหนูดูสารสอน
     จดจำไว้ไปข้างหน้าจะถาวร
      เป็นอาภรณ์เครื่องประดับสำหรับกาย"

     ๖. คำลงท้าย   คำลงท้ายคำกลอนทุกเรื่อง สุนทรภู่ลงท้ายอย่างไว้เชิงครูกวี  ลงท้ายแบบสง่า ไม่มีวกวน ไม่มีอ้อยอิ่ง คำลงท้ายสุภาษิตโลกนิติคำกลอนก็เช่นเดียวกัน

     "อีกอย่างหนึ่งอย่าว่าดีอย่ามีชั่ว
      อย่าขลาดกลัวอย่ากล้าเหมือนว่าเล่น
     ย่อมใช้ได้ทุกตำรายาเช้าเย็น
     จำไว้เป็นอย่างยิ่งอย่าทิ้งเอย ฯ"

     ทั้ง ๖ ข้อที่นำเสนอนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า สุภาษิตโลกนิติคำกลอนนี้เป็นบทกวีนิพนธ์ของท่านสุนทรภู่แน่นอนไม่มีที่สงสัย 
     เวลาที่แต่งนั้นก็แต่งในรัชกาลที่ ๓ ยุคเดียวสมัยเดียวกับที่กรมพระยาเดชาดิศร ท่านทรงนิพนธ์สุภาษิตโลกนิตคำโคลงนั่นเอง 

     ข้าพเจ้าจึงขอเสนอ  สุภาษิตโลกนิติคำกลอน เป็นบทกวีของท่านสุนทรภู่อีกเรื่องหนึ่ง  ขอให้ท่านที่สนใจคำกลอนสุนทรภู่จงอ่านพิจารณาทบทวนดูแล้วจะเห็นว่า  ไม่มีกวีอื่นจะแต่งคำกลอนสุภาษิตโลกนิติคำกลอนได้ไพเราะเช่นนี้เลย ข้าพเจ้าจึงขอประกาศลิขสิทธิ์แทนท่านสุนทรภู่ตั้งแต่บัดนี้ว่า

     "สุภาษิตโลกนิติคำกลอน  เป็นบทกวีนิพนธ์ของท่านสุนทรภู่แต่งในสมัยรัชกาลที่ ๓  เมื่อบวชจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ระหว่างปีพ.ศ. ๒๓๘๖ -พ.ศ. ๒๓๙๓ 
(โปรดติดตามตอนต่อไป)