วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอน ลำดับงานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่


ลำดับงานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่

     สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงบุกเบิกค้นคว้าเรื่องชีวิตและงานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่ไว้เมื่อพ.ศ. ๒๔๖๕ ว่าสุนทรภู่มีงานกวีนิพนธ์รม ๒๔ เรื่อง  บัดนี้เวลาล่วงเลยมา ๖๕ ปีแล้ว เราจำเป็นต้องปรับปรุงทฤษฎีของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสียใหม่ ว่างานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่ มีอยู่  ๒๑ เรื่อง คือเราจำเป็นต้องตัดออกเสีย ๕ เรื่อง และเพิ่มเรื่องใหม่อีก ๒ เรื่อง ดังต่อไปนี้คือ

    ๑. นิราศพระแท่นดงรัง ฉบับที่ขึ้นต้นว่า "นิราศรักหักในอาลัยหวน  ไปพระแท่นดงรังต้ังแต่ครวญ"  ว่าไม่ใช่สำนวนกลอนของสุนทรภู่  เป็นสำนวนกลอนของเสมียนมี  หรือหมื่นพรหมสมพัตศร(มี) หรือบัดนี้เรารู้จักกันในชื่อ นายมี มีระเสน ซึ่งเป็นศิษย์สุนทรภู่

   ๒. นิราศอิเหนา เราจำเป็นต้องตัดออกไป เพราะเหตุว่าสุนทรภู่แต่งนิราศ ไม่เคยขึ้นต้นกลอนว่า "นิราศ" เลยแม้แต่เรื่องเดียว  นิราศอิเหนานี้เป็นพระราชนิพนธ์ของกรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิ์ ซึ่งก็เป็นศิษย์สุนทรภู่  กรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิ์เป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย 

   ๓. นิราศวัดเจ้าฟ้า  เราก็ต้องตัดออกไป  เพราะเหตุว่าผู้แต่งได้บอกชื่อตัวเองไว้อย่างชัดแจ้ง ผู้แต่งคือนายพัด ภู่เรือหงส์ ลูกชายสุนทรภู่ แต่งเมื่อพ.ศ. ๒๓๙๙ เมื่อนายพัด ภู่เรือหงส์ บวชเณรอยู่ มีอายุได้ ๑๙ ปีแล้ว นายภู่ ภู่เรือหงส์ เกิดเมื่อพ.ศ. ๒๓๖๑ นายภู่แต่งพรรณนาถึงเจ้าจอมมารดาทองอยู่ พระอัครชายาของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข  กรมพระอนุรักษ์เทเวศร์(ทองอิน)  ซึ่งได้รับพระราชทานเพลิงศพ เมื่อพ.ศ.๒๓๗๙ ที่วัดระฆัง

   ๔. สุภาษิตสอนหญิง เราจำเป็นต้องตัดออกไป  เพราะเหตุว่าสุนทรภู่แต่งกลอนไม่เคยไหว้ครูเลยแม้แต่เรื่องเดียว  สำนวนไหว้ครูที่ขึ้นต้นว่า "ประนมหัตถ์มัสการขึ้นเหนือเศียร  ต่างประทีบโกสุมประทุมเทียน" เป็นสำนวนกลอนของนายภู่ ลูกศิษย์สุนทรภู่ แต่งเรื่องอะไรก็ใช้สำนวนกลอนไหว้ครูอย่างนี้ทุกเรื่อง   นายภู่เคยบวชที่วัดสระเกศในรัชกาลที่ ๓ สึกออกมาในรัชกาลที่ ๔  เดิมเป็นพระธรรมทานาจารย์(ภู่) ทายาทของท่านได้รับนามสกุลพระราชทานว่า "จุลละภมร"  ด้วยสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าทรงทราบว่า นายภู่เป็นกวีชั้นรองสุนทรภู่  จึง ได้พระราชทานนามสกุลว่า "จุลละภมร"  แปลว่า "นายภู่น้อย"

   ๕. บทละครเรื่องอภัยนุราช  เรื่องนี้ก็ต้องตัดออก เพราะกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ทรงว่าเป็นบทกวีของพระยาเสนาภูเบศร์  ในรัชกาลที่ ๔ เป็นเจ้าของละคร  จึงแต่งละครให้เล่นกัน  ไม่ใช่แต่งสำหรับอ่านเล่นเช่นนิยายคำกลอนของสุนทรภู่ 

    ๖. สุภาษิตโลกนิติคำกลอน เป็นบทกวีอันมีคุณค่าของสุนทรภู่ คู่กับ "สุภาษิตโลกนิติคำโคลง" ของ กรมพระยาเดชาดิศร และแต่งในสมัยเดียวกันคือ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แต่งเมื่อบวชอยู่วัดสระเกศระหว่างพ.ศ.๒๓๘๖ ถึงพ.ศ.๒๓๙๓ สุนทรภู่สึกในพ.ศ.๒๓๙๔ ในรัชกาลที่ ๔  มีราชทินนามตามบรรดาศักดิ์ว่า พระสุนทรโวหาร ตำแหน่งจางวางกรมพระอาลักษณ์  ไม่ใช่เจ้ากรม สุนทรภู่รับราชการอยู่วังหน้าจนถึงพ.ศ.๒๔๐๘  พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตแล้ว จึงออกไปอยู่บ้านสวนที่ฝั่งธนบุรี สุนทรภู่น่าจะถึงแก่กรรมในพ.ศ.๒๔๑๐ มีอายุได้ ๘๑ ปี  ไม่ใช่ถึงแก่กรรมพ.ศ. ๒๓๙๘ อายุ ๖๙ ปี ตามที่ว่ากัน  สุนทรภู่บวชอยู่จนตลอดรัชกาลที่ ๓ รวม ๒๘ พรรษา  ไม่เคยสึกแล้วบวชอีกตามว่ากัน หลักฐานเรื่องนี้อยู่ที่นิราศพระแท่นดงรังของเณรกลั่น  ลูกบุญธรรมและลูกศิษย์สุนทรภู่ เขียนยืนยันไว้ในนิราศพระแท่นดงรังว่า  สุนทรภู่เดินทางไปด้วยเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๓๘๘

     สรุปว่างานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่มี ๒๑ เรื่องคือ 
     ๑.นิยายคำกลอนเรื่องโคบุตร  แต่งเมื่อพ.ศ.๒๓๔๙ อายุ ๒๐ ปี แต่งถวายพระองค์เจ้าปฐมวงศ์  พระราชโอรสของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข 
     ๒. นิราศเมืองแกลง แต่งเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๓๕๐  อายุ ๒๑ ปี แต่งให้นางจันทร์ คนรัก 
     ๓. นิราศพระพุทธบาท แต่งเมื่อ เดือนกุมภาพันธุ์ พ.ศ.๒๓๕๐ อายุ ๒๑ ปีแต่งให้นางจันทร์คนรัก 
     ๔.พระอภัยมณี แต่งเมื่อพ.ศ.๒๓๖๗  แต่งถวายเจ้าฟ้าชายมงกุฎและเจ้าฟ้าชายจุฑามณี  เพื่อถวายพระโอวาทให้พระสติปัญญาและกำลังใจที่พลาดจากราชสมบัติ 
     ๕. เพลงยาวสวัสดิรักษา แต่งถวายเจ้าฟ้าชายจุฑามณี ด้วยจงรักภักดีในในเจ้าฟ้าชายองค์นี้มาก ด้วยหวังว่าจะได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากรัชกาลที่ ๓ 
     ๖. เพลงยาวถวายโอวาท แต่งถวายเจ้าฟ้าชายกลาง มหามาลาและเจ้าฟ้าอาภรณ์  ซึ่งเป็นศิษย์เมื่ออยู่วัดราชบูรณะ พ.ศ. ๒๓๗๐
     ๗. นิราศเมืองเพชร แต่งถวายเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เมื่อพ.ศ.๒๓๗๐ เมื่อคราวเดินทางไปหาของดีถวายที่เมืองเพชร  เจ้าฟ้าชายองค์นี้ท่านสนพระทัยสนุกไปทางนี้  ในนิราศนี้ยังกล่าวถึงขุนแพ่งว่าตายเมื่อคราวศึกลาวพ.ศ.๒๓๖๙ สุนทรภู่บวชอยู่ที่วัดพระเชตุพน  ลงเรือที่หน้าวัดนี้ บอกว่าได้บังสกุลให้ขุนแพ่งด้วย โดยบังสกุลให้ด้วยตนเองเพราะเป็นพระภิกษุ อายุ ๔๑ ปีอยู่ในอุปถัมภ์ของกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ 
     ๘. นิราศภูเขาทอง แต่งเมื่อพ.ศ.๒๓๗๑  เมื่อบวชอยู่วัดราชบูรณะ  กล่าวถึงวัดเขมาว่ามีงานฉลองเมื่อวันวาน   วัดนี้มีงานฉลองปีพ.ศ.๒๓๗๑  อายุ๔๒ปี
     ๙. นิราศสุพรรณ แต่งเมื่อพ.ศ.๒๓๘๔  อายุได้ ๕๕ ปีแต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ 
   ๑๐. เพลงยาวรำพรรณพิลาป แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๘๕  เป็นเพลงยาวเกี้ยวเจ้านายสาวสวยพระองค์นี้โดยตรง 
     ๑๑.นิราศพระปธม  เดินทางไปนมัสการพระปฐมเจดีย์เมื่อวันที่๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๘๕  หลังจากแต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปได้ ๖ เดือน  แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เป็นการขอขมาที่บังอาจแต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปเกี้ยวพาราสีท่านไว้  เป็นนิราศเรื่องสุดท้ายของสุนทรภู่ หลังจากนี้สุนทรภู่ก็ไม่แต่งนิราศอีกเลย  เพราะกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ สิ้นพระชนม์เมื่อ วันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๓๘๘  พระชนมายุได้ ๓๔ พรรษา  สุนทรภู่ก็สิ้นสิ่งดลใจทางการกวี  สิ้นความเพ้อฝันที่จะแต่งนิราศรักอีกต่อไป
     ๑๒. สุภาษิตโลกนิติคำกลอน  แต่งเมื่อบวชอยู่วัดสระเกศ  ระหว่างพ.ศ.๒๓๘๖ ถึงพ.ศ.๒๓๙๓ เป็นสุภาษิตสอนเด็ก  สุนทรภู่อายุ ๕๗ ถึง ๖๔ ปี
     ๑๓. เพลงยาวพระราชพงศาวดาร  แต่งถวายรัชกาลที่ ๔ เมื่อรับราชการอยู่วังหน้า  ระหว่างพ.ศ.๒๓๙๔ ถึงพ.ศ.๒๓๙๘ อายุ ๖๕ ถึง ๗๐ ปี  ไม่มีอารมณ์กวีแฝงอยู่เลย  จึงมีผู้กล่าวว่าไม่ค่อยไพเราะ 
     ๑๔. เพลงเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน  แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ให้นางกำนัล นางข้าหลวงในวังขับเสภากันเล่น ในรัชกาลที่ ๓ ระหว่าง พ.ศ.๒๓๘๑ ถึงพ.ศ. ๒๓๘๕ แบบที่พระมหามนตรีแต่งบทละครตลกเรื่อง ระเด่นลันได ถวายให้นางข้าหลวงเล่นละครตลกกันในวัง  เพลงเสภาของสุนทรภู่สู้ของครูแจ้ง วัดระฆัง ไม่ได้ เพราะสุนทรภู่สมาคมอยู่ในชั้นเจ้านายซึ่งเป็นผู้ดีชั้นสูง รสชาติจึงไม่ถึงใจคนฟังผิดธรรมเนียมเพลงเสภาที่ต้องว่ากันเจ็บแสบถึงทรวง  อย่างละครตลกของพระมหามนตรีเรื่องละเด่นลันได 

     ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าคนที่จะรู้ฝีมือกวีต้องเป็นนักกวีด้วยกัน  แต่งบทกลอนเป็นและแต่งได้อย่างชำนาญด้วย  เหมือนคนที่รู้รสดนตรีต้องเป็นนักดนตรีด้วยกัน 
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอน โลกนิติคำกลอน


โลกนิติคำกลอน

     เรื่องสำคัญที่นักศึกษาวรรณคดีของสุนทรภู่ยังไม่เคยมีใครค้นคว้าถึงก็คือ  สุนทรภู่ได้แต่งสุภาษิตไว้เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมาก  คือเรื่องโลกนิติคำกลอน  สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ทรงศึกษาค้นคว้างานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่ไว้เมื่อพ.ศ.๒๔๖๕ ก็มิได้ทรงกล่าวถึงเลย  เป็นเวลา ๖๕ ปีมาแล้ว  
     แต่สุภาษิตโลกนิติคำกลอนนี้ได้เคยเผยแพร่มาแล้วหลายคร้ัง  ข้าพเจ้าเองก็เคยนำไปพิมพ์แจกในงานศพบิดา เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ โดยขออนุญาตจากกรมศิลปากร  เจ้าของต้นฉบับ แต่กรมศิลปากรเรียกสุภาษิตเรื่องนี้ว่า"สุภาษิตสอนเด็ก"  เข้าใจว่าคงจะตั้งชื่อเองจากคำขึ้นต้นของสุภาษิตเรื่องนี้ว่า 

     "มานี่แนะเจ้าหนูดูสารสอน         จงจำไว้ไปข้างหน้าจะถาวร
       เป็นอาภรณ์เครื่องประดับสำหรับกาย"

     คำขึ้นต้นนี้ทำทีว่าจะสอนเด็ก  แล้วไม่มีผู้ใดได้ศึกษาค้นคว้าว่าสุภาษิตนี้มีที่มาจากไหน ใครเป็นคนแต่ง แต่งเมื่อใด ดูเหมือนว่าจะไม่มีคนกล่าวถึงมากนัก
     ข้าพเจ้าได้อ่านดูเห็นว่าเป็นสุภาษิตที่ไพเราะมากเรื่องหนึ่ง  ถ้อยคำสำนวนใกล้เคียงกับของสุนทรภู่มาก  น่าสงสัยว่าจะเป็นคำกลอนของสุนทรภู่  และโดยที่ข้าพเจ้าเคยสนใจสุภาษิตโลกนิติคำโคลงของสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร  จึงนำเนื้อหาสุภาษิตมาเทียบเคียงกันดู   ก็ปรากฎว่าสุภาษิตเรื่องนี้มีสาระสุภาษิต ตรงกับสุภาษิตโลกนิติคำกลอนโดยตลอดต้ังแต่ต้นจนปลายทีเดียว

      ยิ่งกว่าน้ันท่านผู้นิพนธ์สุภาษิตนี้ยังบอกไว้ชัดเจนว่า 
     
     "แสดงความตามบาลีโลกนิติ์     สุภาษิตของเก่าเก็บมาใส่
     เด็กใดดีปรีชาปัญญาไว              ก็หยิบใช้แต่ที่ชอบประกอบการ"

     เพราะฉนั้นข้าพเจ้าจึงขออนุญาตเรียกสุภาษิตเรื่องนี้ใหม่ตามที่่านผู้นิพนธ์บอกไว้ว่า  "สุภาษิตโลกนิติคำกลอน"  เป็นของคู่กับ "สุภาษิตโลกนิติคำโคลงของเก่า"   ซึ่งเป็นบทกวีโบราณ ตกทอดมาถึงรัชกาลที่ ๓ ซึ่งรัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระยาเดชาดิศรทรงชำระเสียใหม่  สุภาษิตโลกนิติคำโคลงจึงมีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓
     อันที่จริงสุภาษิตโลกนิติคำโคลงนี้มีมาแต่โบราณแล้วสำนวนหนึ่ง แต่วิปลาสคลาดเคลื่อนในถ้อยคำสำนวน รัชกาลที่ ๓ จึงทรงโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระยาเดชาดิศรทรงชำระขึ้นใหม่     แต่ต่อมามีผู้พบฉบับภาษาบาลี  เอามาเทียบเคียงได้เกือบหมดทุกโคลง เมื่อกรมศิลปากรพิมพ์จึงนำคำบาลีมาพิมพ์เทียบเคียงไว้ด้วย 

     ต่อมาศาสตราจารย์แสง มนวิทูร ได้ศึกษาค้นพบว่า โลกนิติคำโคลงของเก่าและของกรมพระยาเดชาดิศรน้ัน มีที่มาจากโลกนิติปกรณ์  แต่งไว้เป็นคำฉันท์ในภาษาบาลี ท่านจึงนำมาแปลถอดความเป็นร้อยแก้วภาษาไทย มีอยู่ ๑๕๘ บท  เรื่องโลกนิติปกรณ์นี้ ได้พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพศาสตราจารย์แสง มนวิทูร เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๑๗ 
     และเมื่อได้อ่านแนวคำสอนในสุภาษิตนี้  ก็ต้องยอมรับว่าเป็นแนวคำสอนในพระพุทธศาสนานี่เอง  จะมีเพิ่มเติมบ้างเล็กน้อย ก็อยู่ในแนวหลักธรรมพระพุทธศาสนาตลอด 

     เมื่อนำ "สุภาษิตสอนเด็ก" เรื่องนี้มาเทียบเคียงเข้าแล้ว มันก็คือ"โลกนิติคำกลอน"ดีๆนี่เอง  ตามที่ท่านผู้นิพนธ์บอกไว้ว่า 

      "แสดงความตามบาลีโลกนิติ์          สุภาษิตของเก่าเก็บมาใส่"

     ท่านจะเอามาจากโลกนิติ์ปกรณ์ในภาษาบาลีโดยตรง  หรือว่าเอามาจาก"โลกนิติคำโคลงของเก่า"ก็ตาม ก็มีที่มาจากแหล่งเดียวกันกับ"โลกนิติคำโคลงของสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร" นั่นเอง    
     หมายความว่าถ้ากรมพระยาเดชาดิศร  ท่านเอามาจาก"โลกนิติคำโคลงของเก่า" แล้ว  "สุภาษิตโลกนิติคำกลอน" นี้ ก็มาจาก"สุภาษิตโลกนิติคำโคลงของเก่า"เหมือนกัน  หรือถ้าสมเด็จกรมพระยาเดชาดิศรท่านเอาจากโลกนิติปกรณ์ภาษาบาลี   "สุภาษิตโลกนิติคำกลอน" นี้ก็มาจากโลกนิติปกรณ์ภาษาบาลีด้วยเช่นกัน  และน่าจะแต่งในสมัยรัชกาลที่ ๓ เพราะตามธรรมดานักกวีสมัยเดียวกัน  มักมีสิ่งแวดล้อมมาดลใจให้แต่งบทกวีในแนวเดียวกัน 
     กวีท่านหนึ่งจึงแต่ง โลกนิติคำโคลง กวีอีกท่านแต่ง โลกนิติคำกลอน ตามความถนัดของกวีท่านน้ัน  ถ้าไม่สังเกตุก็เกือบจะดูไม่ออกว่ามาจากแหล่งเดียวกัน คือ "โลกนิติปกรณ์ " ในภาษาบาลี

ตัวอย่างเรื่องการคบมิตร

โลกนิติคำโคลงของกรมพระยาเดชาดิศร ว่า

"ปลาร้าพันห่อด้วย     ใบคา
 ใบก็เหม็นคาวปลา     คละคลุ้ง
 คือคนหมู่ไปหา          พาลนา
 ได้แต่รายร้ายฟุ้ง       เฟื่องให้เสียพันธ์ุ"

โลกนิตคำกลอน ท่านแต่งว่า

"อันคนชั่วเช่นกะปิกับปลาร้า
  เอาใบคาเข้าห่อพอประเดี๋ยว
  คาก็เหม็นเช่นกันเช่นนั้นเจียว
  เหมือนผู้เที่ยวแปดปนด้วยคนพาล" 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องหาตัวกวีผู้แต่งว่าเป็นใครกันแน่  และต้องวินิฉัยเป็นเรื่องๆไป 

     ๑.ลักษณะคำกลอน
     ลักษณะคำกลอนนี้เป็นลักษณะคำกลอนของสุนทรภู่แท้ มีลักษณะเป็นกลอนแปดแท้ มีสัมผัสในด้วย  ซึ่งผิดกับนิราศท่าดินแดงของพระพุทธยอดฟ้าฯ และผิดกับคำกลอนเรื่องสังข์ทองของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งไม่เคร่งครัดในเรื่องแปดคำ และสัมผัสใน

     ๒. ความไพเราะ
     ความไพเราของโลกนิติคำกลอนนี้มีความไพเราะ ไม่มีที่ตำหนิเลย 
ตัวอย่างเช่น

     "อันรักกันอยู่ไกลถึงขอบฟ้า
      เหมือนชายคาเข้ามาเบียดดูเสียดสี
      อันชังกันนั้นอยู่ใกล้สักองคุลี
     ก็เหมือนมีแนวป่าเข้ามาบัง"  

     ๓. เปรียบเทียบเพลงยาวถวายโอวาท
     สุภาษิตโลกนิติคำกลอนนี้มีสำนวนคล้ายกับเพลงยาวถวายโอวาทของสุนทรภู่ ที่แต่งถวายเจ้าฟ้ามหามาลา  ดังจะยกมาให้เห็นคือ

     " อนึ่งบรรดาข้าไทยที่ใจซื่อ
      จงนับถือถ่อมศักดิ์สมัครสมาน
      อนึ่งคนมนตร์ขลังช่างชำนาญ
      แม้นพบพานผูกไว้เป็นไมตรี
     เขาจึงชอบปลอบให้น้ำใจชื่น
     จึงเริงรื่นรักแรงไม่แหนงหนี
     ปรารถนาสารพัดในปฐพี
     เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง"

     สุภาษิตโลกนิติคำกลอน

     "อนึ่งเป็นนายก็เอาใจไพร่มันมั่ง
     อย่าตึงตังไปทีเดียวเฝ้าเคี่ยวเข็ญ
     ถึงตกทุกข์ที่ลำบากได้ยากเย็น
     จะตายเป็นมันไม่ทิ้งจริงจริงเจียว
     อนึ่งบ่าวไพร่ไม่ดีจะตีด่า
     อย่าโกรธาหันหุนให้ฉุนเฉียว
     ประหยัดหย่อนผ่อนใช้แต่ไม้เรียว
     อุตส่าห์เหนี่ยวหน่วงจิตคิดเมตตา"

     จะเห็นได้ว่าแนวคิดถ้อยคำสำนวนเป็นอย่างเดียวกัน

     ๔. เปรียบเทียบสำนวนกลอนเพลงยาวสวัสดิรักษาของสุนทรภู่
     เพลงยาวสวัสดิรักษาที่สุนทรภู่แต่งถวายเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์นั้น ท่านใช้คำว่า "อนึ่ง"  ขึ้นต้นคำกลอนใหม่โดยตลอด  โลกนิติคำกลอนก็ใช้คำขึ้นต้นคำกลอนว่า "อนึ่ง" เช่นกัน  ยังไม่เคยเห็นกวีคนใดใช้คำขึ้นต้นกลอนว่า "อนึ่ง" เหมือนท่านสุนทรภู่เลย

     เพลงยาวสวัสดิรักษา

     "อนึ่งนั่งบังคมอย่ายลต่ำ        อย่าบ้วนน้ำลายพาเสียราศี"
     "อนึ่งทรงพระเจริญเพลินถนอม  อย่าให้หม่อมห้ามหลับทับหัตถา"
     "อนึ่งวันชำระสระพระเกล้า     อังคารเสาร์สิ้นวิบัติปัดโถม"

     โลกนิติคำกลอน

     " อนึ่งผู้ใดใคร่ซื่อให้ซื่อต่อ  เขาขัดคอแล้วจงให้เหมือนใจหมาย"
     "อนึ่งผู้ใดใคร่รักเร่งรักบ้าง    อย่าทำเมินเหินห่างหันหน้าหนี"
     "อนึ่งทรัพย์มีสี่ส่วนให้ควรแบ่ง สองส่วนแบ่งใช้จ่ายตามประสงค์"

      ๕. คำขึ้นต้นคำกลอน  สุนทรภู่ขึ้นต้นคำกลอนไว้อย่างสง่า  ภาคภูมิสมเป็นนักกวีชั้นครู  ไม่มีคำไหว้ครู ไม่มีคำออกตัว ไม่มีคำถ่อมตัว 

      เพลงยาวสวัสดิรักษา

    "สุนทรทำคำสวัสดิรักษา
     ถวายหน่อบพิตรอิศรา
     ตามพระบาลีเฉลิมให้เพิ่มพูน"

     สุภาษิตโลกนิติคำกลอน

     "มานี่แนะเจ้าหนูดูสารสอน
     จดจำไว้ไปข้างหน้าจะถาวร
      เป็นอาภรณ์เครื่องประดับสำหรับกาย"

     ๖. คำลงท้าย   คำลงท้ายคำกลอนทุกเรื่อง สุนทรภู่ลงท้ายอย่างไว้เชิงครูกวี  ลงท้ายแบบสง่า ไม่มีวกวน ไม่มีอ้อยอิ่ง คำลงท้ายสุภาษิตโลกนิติคำกลอนก็เช่นเดียวกัน

     "อีกอย่างหนึ่งอย่าว่าดีอย่ามีชั่ว
      อย่าขลาดกลัวอย่ากล้าเหมือนว่าเล่น
     ย่อมใช้ได้ทุกตำรายาเช้าเย็น
     จำไว้เป็นอย่างยิ่งอย่าทิ้งเอย ฯ"

     ทั้ง ๖ ข้อที่นำเสนอนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า สุภาษิตโลกนิติคำกลอนนี้เป็นบทกวีนิพนธ์ของท่านสุนทรภู่แน่นอนไม่มีที่สงสัย 
     เวลาที่แต่งนั้นก็แต่งในรัชกาลที่ ๓ ยุคเดียวสมัยเดียวกับที่กรมพระยาเดชาดิศร ท่านทรงนิพนธ์สุภาษิตโลกนิตคำโคลงนั่นเอง 

     ข้าพเจ้าจึงขอเสนอ  สุภาษิตโลกนิติคำกลอน เป็นบทกวีของท่านสุนทรภู่อีกเรื่องหนึ่ง  ขอให้ท่านที่สนใจคำกลอนสุนทรภู่จงอ่านพิจารณาทบทวนดูแล้วจะเห็นว่า  ไม่มีกวีอื่นจะแต่งคำกลอนสุภาษิตโลกนิติคำกลอนได้ไพเราะเช่นนี้เลย ข้าพเจ้าจึงขอประกาศลิขสิทธิ์แทนท่านสุนทรภู่ตั้งแต่บัดนี้ว่า

     "สุภาษิตโลกนิติคำกลอน  เป็นบทกวีนิพนธ์ของท่านสุนทรภู่แต่งในสมัยรัชกาลที่ ๓  เมื่อบวชจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ระหว่างปีพ.ศ. ๒๓๘๖ -พ.ศ. ๒๓๙๓ 
(โปรดติดตามตอนต่อไป)