วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตำราดูเศษนารี ๑


ตำราดูเศษนารี

     ตำราดูเศษนารีนี้เป็นสำนวนกลอนของสุนทรภู่แน่นอนไม่มีผิดเลย   น่าจะแต่งต้ังแต่ยังหนุ่มแน่นอยู่ ตำราเดิมเป็นร้อยแก้วธรรมดา แต่ท่านเอามาแต่งเป็นคำกลอนขึ้นใหม่ ตำรานี้แพร่หลายอยู่ในบุรุษเพศ มักจะแอบคัดลอกกันมาอย่างปกปิด  ไม่เปิดเผยเหมือนตำราอื่นๆ  จึงมักมีสำนวนแตกต่างกันออกไป  พึ่งเคยเห็นพิมพ์เผยแพร่ในตำราพรหมชาติฉบับหลวงของโหรสำนักหลวงแห่งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ แต่ข้าพเจ้าเคยพบตำรานี้มานานตั้งแต่ยังเป็นเด็ก  อ่านหนังสือออกก็พบตำรานี้แล้ว
     สำนวนนี้เป็นสำนวนที่ชำระแล้ว  คิดว่าน่าจะถูกต้องที่สุด  ถ้าท่านผู้ใดเห็นว่าหยาบคายก็โปรดให้อภัยด้วย  อันที่จริงตำรานี้ท่านมุ่งถึงคุณภาพและอุปนิสัยตลอดจนวาสนาของนารี  มากกว่าจะมุ่งเอาเรื่องรูปลักษณะภายนอก สุดแต่ท่านจะพิจารณา  นำมาลงไว้เพื่อแสดงว่านักกวีนั้นมักจะแต่งตำราโหรเป็นวรรณคดีคำกลอนไว้มากมาย ท่านเรียกว่า วรรณคดีโหราศาสตร์
     ตำราดูเศษนารีคำกลอนนี้ไม่มีหลักฐานว่าเป็นบทกวีของสุนทรภู่ก็จริงอยู่ แต่สำนวนกลอนแปดที่ใช่คำแปดคำ และมีสัมผัสในแพรวอย่างนี้  เป็นสำนวนกลอนสุนทรภู่ ไม่ใชยุคก่อนสุนทรภู่เป็นแน่นอน ท่านแต่งเรื่องลี้ลับลามก แต่ฟังได้ไม่หยาบคายเลย  แม้ว่าสตรีได้อ่านได้สบายใจ เป็นแต่ว่าต่อไปก็ต้องปกปิดในเดือนปีเกิด เหมือนสตรีชาวฝรั่งที่เขาไม่นิยมเปิดเผยวันเดือนปีเกิดนั่นแหละครับ

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอน ตำราดูอัฎกาลคำกลอน ของพระสุนทรโวหาร (ภู่)


ตำราดูยามอัฎกาลคำกลอน
ของ พระสุนทรโวหาร (ภู่ )

     วันอาทิตย์กลางวัน

     สุริชะแดดอุนอ่อน                             เมื่อวานรเนรคุณลิงรุ่นจิ๋ว
เห็นรังนกกระจาบรายอยู่ปลายนิ้ว  ก็ไพล่พลิ้วอาศัยอยู่ในรัง(๖.๐๐-๗.๓๐)
      ศุกรสิงไพรใจโกหก                   ลวงให้หลงรักใคร่เหมือนใจหวัง
จนปักษีมีไข่มิได้ระวัง               เพราะเชื่อฟังลมลิงไม่กริ่งใจ(๗.๓๑-๙.๐๐)
     พุธะลิงป่าอุลามก                  เห็นไข่นกนึกหมายน้ำลายไหล
จับขึ้นจูบลูบคลำแล้วกำไว้    อยากจะใคร่ได้กินแลบลิ้นเลีย(๙.๐๑-๑๐.๓๐)
     จันเทาเอาไข่เข้าใส่ปาก   กระโดดจากต้นงิ้วพลิ้วไปเสีย
แล้วซ่อนตัวกลัววิหกนกตัวเมีย เอาทรายเกลี่ยกลบไข่เสีย                                                                     ให้ลับ(๑๐.๓๑-๑๒.๐๐)
     เสารี สกุณีไม่เห็นไข่            ก็สงสัยลิงจุ่นหมุนไปจับ
พบลิงไพรถามไถ่ก็ไม่รั  โต้เถียงกับนกกระจาบก็หยาบ                                                               คาย(๑๐.๓๑-๑๕.๐๐)                                                               

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอน ตำราดูเศษนารี ๒


ตำราดูเศษนารี

                                                          ๐แถลงลักษณ์คัมภีร์นารีโหร
เป็นตำรับลับลี้เป็นที่โลน                    ทายแล้วโดนเหมือนว่าตำราครู
ในลักษณะที่จะทรงกำหนด                ทายถูกหมดไม่พ้นทุกคนผู้
จะโคกขาวยาวใหญ่เท่าใดดู               ก็คงรู้เที่ยงแท้แน่แก่ใจ
๐ เศษหนึ่งตำราท่านว่ามี                    รูปโยนีเท่าใบพูลไม่สู้ใหญ่
หนทางเข้านั้นขยับจะคับไป                ขนก็ไม่มีรกปกแคมรู
๐ ทำนายว่าอาภัพอัปภาค                   แต่ขันหมากก็ไม่จนคนไม่สู้
ราคะแรงนักหนาตำราครู                     มักหาคู่เอาเองไม่เกรงใคร
 ๐เศษสองทำนายบรรยายว่า            โตเท่าฝ่ามือกางอย่างใหญ่ใหญ่ 
ทั้งโลมาก็ดกรกกระไร                      เนื่องขึ้นไปจนบนหนอกดูออกดำ 
ทำนายว่าอาภัพอัปลักษณ์                ทั้งยศศักดิ์เสื่อมทรามแม่งามขำ
ทรัพย์สมบัติต้องหาอุตส่าห์ทำ   เงินทองทำกว่าจะได้เหงี่อไหลเซาะ 
๐เศษสามทำนายทายทักไว้       ว่าโตใหญ่ขาวโศกดูโหมกเหมาะ
ที่ร่องทางจะทำก็จำเพาะ          พอเหมาะเจาะไม่สู้กว้างเป็นอย่างดี
อันโลมามีอยู่ไม่สู้มาก                เว้นแต่หากดำสนิทดูมิดหมี
แม้นชายใดได้ร่วมรักภัคคินี        ต้องคลุกคลีเคล้าเคล้นเล่นร่ำไป
๐ เศษสี่ตำราท่านว่าถ่อย           เหมือนกาบหอยแมลงภู่ไม่สู้ใหญ่
ประการหนึ่งถ้าจะอุปไมย         พิเคราะห์ไปแล้วก็สืบเหมือนกีบกวาง
ทั้งโลมาดกดำดูรกเรี้ยว           หนทางเที่ยวทำเลลึกดูกว้างขวาง
ถึงมีคู่คู่คิดนอกจิตนาง             มักจะร้างแรมสนุกไปทุกคราว 
 ๐ เศษห้าว่าโคกกระเปาะเหลาะ เหมือนตาลเฉาะน่าดูสองพูขาว
พอสมกายสมกันไม่สั้นยาว   ไม่ห่างหาวเห็นสนิทมิดชิดีดี
   ๐ โลมามีรำไรไม่สู้ดก          ด้วยเศษตกเบญจเศษประเสริฐศรี
เป็นมหาสิทธิโชคโฉลกดี        ทรัพย์สินมีมากครันด้วยปัญญาฯ
     ๐เศษหกโคกขาวยาวสลวย เหมือนกาบกล้วยตานีดีนักหนา
ทั้งโตยาวขาวล้วนยวนวิญญาณ์  เส้นโลมาาละเอียดละออดูพอควร
     ๐ เมื่อรุ่นสาวมีทุกข์ไม่สุขแท้ ต่อเมื่อแก่จึงจักวายหายกำสรวญ
สุขสมบัติบริบูรณ์ประมูลมวล    ประเสริฐส่วนเศษโชคโฉลกงาม ฯ
     ๐ เศษเจ็ดเท็จถ่อยเหมือนหอยโข่ง กะเปาะโป่งติดตัวชั่วส่ำสาม
ตัณหามากราคะจัดกำดัดกาม       มักทำตามใจตัวไม่กลัวใคร
 ทิ้งก้าวร้าวห้าวหาญในการโลกย์ สาระโกกเกเรเถลไถล
น้ำจิตรรักนักเลงโทงเทงไป          มีผัวได้พึ่งพาแต่สามี
ลำพังตัวแล้วต้องเที่ยวช่องแช่ง ไม่เป็นแหล่งเป็นหลักสิ้นศักดิ์ศรี
แม้ชายใดได้ร่วมประเวณี          ก็เป็นที่มัวหมองเหมือนต้องไฟ ฯ
     ๐ เศษสูญนูนโหนกเป็นโคกเค้า เหมือนน้ำเต้าผ่าแล่งแถลงไข
โลมารายริมรอบตามขอบไป     ที่ลานใหญ่มีบ้างแต่บางเบา
น่าสงวนควรสนองประคองคู่     เป็นคนรู้จักเจียมเสงื่ยมเหงา
มักชิงชังสิ่งชั่วไม่มัวเมา            กอปรด้วยเชาวน์ปรีชาปัญญายง
ใจไม่พาลแต่อาการเมื่อเพ่งพิศ  เจือนักเลงอยู่สักนิดน่าพิศวง
ตำหรับท้าตำราทายที่หมายตรง  ใช่จะลงเลขผิดประดิษฐ์เดา
ผู้จะเรียนเที่ยงทำจำสังเกต         ประกอบเศษนารีดังนี้เข้า
เอาวันเดือนปีเกิดกำเนิดเนา       บวกกันเข้าเจ็ดลบหักกลบกัน
เอาสามคูณแปดหารการสำเร็จ   ย่อมเผด็จรู้จบภพสวรรค์
ทำนายตามเศษเห็นเป็นสำคัญ   ตำรับอันลับมิดปกปิดเอยฯ 
     
ู        

วันพุธที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2561

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์ ) ตอน ประวัติย่อสุนทรภู่ที่พบใหม่

 ประวัติย่อสุนทรภู่ที่พบใหม่ 

     ๑. เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๙ ในรัชกาลที่๑ เวลา ๘.๐๐ น. ลัคนาอยู่ราศีกรกฎ อังคารศุกร์กุมลัคน์ เสาร์ราหูเล็งลัคน์ พฤหัสบดีอยู่ราศีเมษ 
     ๒. บิดาชื่อขุนศรีสังหาร (พลับ)  ต่อมาบวชได้เป็น พระครูธรรมรังษี เจ้าคณะเมืองแกลงฝ่ายอรัญวาสี เท่ากับเจ้าคณะจังหวัดในปัจจุบัน 
     ๓. มารดาชื่อช้อย เป็นชาวแปดริ้ว เป็นแม่นมของพระองค์เจ้าหญิงจงกล พระราชธิดาของกรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ (ทองอินทร์)  กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข(วังหลัง) 
    ๔. สุนทรภู่ มีบรรดาศักดิ์เป็น หลวงสุนทรโวหาร  เจ้ากรมราชบัณฑิตอยู่ในวังหน้า สมัยกรมพระราชวังบวรอิศรสุนทร (คือ พระพุทธเลิศหลานภาลัย)   เมื่อ พ.ศ.๒๓๕๑  สุนทรภู่ไม่เคยเป็นขุนสุนทรโวหาร เพราะไม่มีตำแหน่งนี้ในวังหน้า
     ๕. สุนทรภู่ เข้ารับราชการอยู่ในวังหลวง เมื่อพ.ศ.๒๓๖๐ เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์สวรรคต
     ๖. เรื่องโคบุตร สุนทรภู่แต่งถวายพระองค์เจ้าชายปฐมวงศ์  
     ๗. นิราศเมืองแกลง  แต่งเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๓๕๐ เมื่อเดินทางไปบวชที่เมืองแกลง แต่ป่วยเสียจึงไม่ได้บวช  จึงแต่งนิราศเมืองแกลงให้นางจันทร์คนรัก 
     ๘. นิราศพระพุทธบาท  สุนทรภู่ แต่งเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๕๐ เมื่อตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ไปนมัสการพระพุทธบาท สระบุรี จึงแต่งนิราศพระพุทธบาทให้นางจันทร์เมียรัก
     ๙.พ.ศ.๒๓๖๗ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยสวรคต พระนั่งเกล้าฯ ขึ้นเสวยราชย์ สุนทรภู่จึงหนีราชภัยออกบวชในนาม หลวงสุนทรโวหาร มิได้ถูกปลดยศ ปลดตำแหน่งแต่อย่างใด บวชอยู่ที่วัดอรุณราชวรารามที่เคยบวชอยู่กับ พระองค์เจ้าปฐมวงศ์มาก่อน 
     ๑๐.พ.ศ.๒๓๖๘ ข้ามฝั่งมาอยู่วัดพระเชตุพนฯ อยู่ในอุปถัมภ์ของกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ 
     ๑๑.พ.ศ.๒๓๗๐ อาสากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ไปหาของดีที่เมืองเพชรบุรี และแต่งนิราศเพชรบุรีถวายกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ออกเดินทางจากวัดพระเชตุพนฯ ในขณะที่บวชอยู่ 
     ๑๒. พ.ศ.๒๓๗๑ ย้ายไปอยู่วัดราชบูรณะ  และได้เดินทางไปวัดภูเขาทอง  แล้วได้แต่งนิราศภูเขาทองขึ้น  ก่อนไปได้แต่งเพลงยาวถวายโอวาทถวายเจ้าฟ้าชายกลาง และเจ้าฟ้าอาภรณ์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ 
     ๑๓. พระอภัยมณี แต่งถวายเจ้าฟ้ามงกุฎและเจ้าฟ้าจุฑามณี ที่พลาดจากราชสมบัติ เพื่อเป็นปริศนาธรรมให้พระสติปัญญาแก่เจ้าฟ้าชายทั้งสองพระองค์ ตั้งแต่ออกบวชเมื่อพ.ศ.๒๓๖๗ จนกระทั่งไปอยู่วัดเทพธิดา ก็แต่งต่อถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ 
     ๑๔. พระสิงหไตรภพ แต่งถวายกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระราชโอรสในพระพุทธเลิศหล้าฯ เริ่มแต่งเมื่อเจ้าฟ้าจุฑามณีได้รับแต่งตั้งเป็นกรมขุน  โดยสุนทรภู่คาดหมายว่าเจ้าฟ้าองค์นี้จะสืบต่อราชสมบัติจากพระนั่งเกล้าฯ 
     ๑๕ นิราศสุพรรณ แต่งเมื่ออยู่วัดเทพธิดา เดินทางไปสุพรรณบุรี เมื่อพ.ศ.๒๓๘๔ แต่งถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เพื่ออวดฝีมือว่าแต่งคำโคลงนิราศได้อย่างไพเราะ 
     ๑๖.เพลงยาวรำพรรณพิลาป แต่งเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๘๕ แต่งถึงกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพโดยตรง 
     ๑๗. นิราศพระปธม แต่งเมื่อเดินทางไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๘๕ นิราศเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายของสุนทรภู่
     ๑๘. พ.ศ.๒๓๘๖ กลับจากพระปฐมเจดีย์ ก็ไปจำพรรษาอยู่วัดสระเกศตรงข้ามฝั่งคลองกับวัดเทพธิดา  ที่วัดนี้สุนทรภู่ได้แต่ง "โลกนิติคำกลอน" ไว้เรื่องหนึ่ง 
     ๑๙. พ.ศ.๒๓๘๘ สุนทรภู่ได้เดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรัง พร้อมด้วยเณรกลั่น สุนทรภู่บวชอยู่ เดินทางไปเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ.๒๓๘๘ จากวัดสระเกษ ตอนนี้สุนทรภู่บวชได้ ๒๑ พรรษาแล้ว เณรกลั่นเรียกสุนทรภู่ว่า "มหาเถร"  (คนที่จะเป็นมหาเถรได้ต้องบวชถึง ๒๐ พรรษา)
. ๒๐. พ.ศ.๒๓๙๔ สุนทรภู่ลาสิกขาออกมารับราชการวังหน้า  อาศัยใบบุญอยู่กับพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  ได้เป็น พระสุนทรโวหาร จางวางกรมพระอาลักษณ์ วังหน้า (ไม่ใช่เจ้ากรม)  มีศักดินา ๒๕๐๐ ไร่ สุนทรภู่บวชอยู่ ๒๗ พรรษาไม่เคยสึกเลย 

     ๒๑. พ.ศ.๒๔๐๘ พระปิ่นเกล้าฯ สวรรคต สุนทรภู่จึงออกจากราชการไปอยู่บ้านแถวฝั่งธนบุรี  จนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐ อายุ ๘๑ปี (ไม่ใช่มีอายุ ๖๙ ปีเท่านั้น)
     ๒๒. นิราศวัดเจ้าฟ้า  ที่ขึ้นต้นกลอนว่า "เณรหนู่พัดหัดประดิษฐ์คิดอักษร " เป็นสำนวนของนายพัด ภู่เรือหงส์  บุตรสุนทรภู่ แต่งเมื่อพ.ศ.๒๓๗๙ พรรณาถึงเจ้าจอมทองอยู่  พระอัครชายาของกรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ (ทองอินทร์)  ไว้ยืดยาวว่าเผาศพที่วัดระฆัง  ยังมีกองทรายอยู่ตามประวัติของเจ้าจอมทองอยู่  ได้รับพระราชทานเพลิงศพที่วัดระฆังเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๙  ตอนนี้นายพัด ภู่เรือหงส์ อายุได้ ๑๙ ปี 
     ๒๓. นิราศพระแท่นดงรัง  ฉบับที่ขึ้นต้นกลอนว่า "นิราศรักหักใจอาลัยหวน" นั้นเป็นสำนวนกลอนของเสมียนมี ศิษย์สุนทรภู่ไปพระแท่นดงรัง พ.ศ.๒๓๗๙ นายมีคนนี้แต่งนิราศไว้หลายเรื่อง  นิราศฉลาง นิราศพระแท่นดงรัง นิราศเดือน นิราศสุพรรณ และแต่งเพลงยาวเฉลิมพระเกียรติพระนั่งเกล้าฯ และกายนครคำกลอนไว้อีกสำนวนหนึ่ง  
     ๒๔. นิราศอิเหนา ที่ขึ้นต้นกลอนว่า "นิราศร้างห่างเหเสน่หา" เป็นสำนวนกลอนของกรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิ์  ลูกศิษย์สุนทรภู่ เป็นพระโอรสพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  เป็นกวีแต่งนิราศฉะเชิงเทรา และเพลงยาวสังวาสไว้ อรรถรสไพเราะลึกซึ้ง ใช้สำนวนปราณีต ผิดกับคำกลอนสุนทรภู่ที่่แต่งแบบกลอนตลาด  
    ๒๕.สุภาษิตสอนหญิงคำกลอน ที่ขึ้นต้นไหว้ครูว่า  "ประนมหัตถ์นมัสการขึ้นเหนือเศียร"  เป็นสำนวนกลอนของนายภู่ จุลละภมร  ลูกศิษย์สุนทรภู่อีกคนหนึ่ง สุนทรภู่แต่งกลอนไม่เคยไหว้ครูเลยแม้แต่เรื่องเดียว  แต่นายภู่ จุลละภมร มีคำไหว้ครูทุกเรื่อง  
     ๒๖. บทละครเรื่องอภัยนุราช  เป็นบทกวีของพระยาเสนาภูเบศร์(ใส สโรบล) แต่งขึ้นสำหรับเล่นละคร  ไม่ใช่บทกวีของสุนทรภู่
     ๒๗. บทกวีที่ไม่ใช่ของสุนทรภู่ ต้องตัดออกไปคือ ๑. นิราศวัดเจ้าฟ้า ของนายกลั่น พลกนิษฐ์ ๒. นิราศพระแท่นดงรัง ของนายมี มีระเสน ๓.นิราศอิเหนา ของ กรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิ์ ๔. สุภาษิตสอนหญิง ของ นายภู่ จุลละภมร ๕. บทละครเรื่องอภัยนุราช ของพระยาเสนาภูเบศร์ (ใส สโรบล)  
     ๒๘. บทกวีที่เพิ่มเข้ามาเป็นบทกวีของสุนทรภู่  คือ สุภาษิตโลกนิติคำกลอน  แต่งเมื่อบวชจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศ ระหว่างพ.ศ. ๒๓๘๖ ถึง พ.ศ. ๒๓๙๓ 
     ๒๙. บทกวีของสุนทรภู่จึงคงเหลือ ๒๐ เรื่อง มีนิราศ ๖ เรื่อง คือ 
     ๑. นิราศเมืองแกลง พ.ศ.๒๓๕๐
     ๒. นิราศพระพุทธบาท พ.ศ.๒๓๕๐
     ๓. นิราศภูเขาทอง พ.ศ.๒๓๗๑
     ๔. นิราศสุพรรณ พ.ศ. ๒๓๘๔
     ๕. นิราศพระปธม พ.ศ. ๒๓๘๕ เป็นนิราศเรื่องสุดท้าย หลังจากกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพสิ้นพระชนม์เมื่อพ.ศ. ๒๓๘๘ สุนทรภู่ไม่แต่งนิราศอีกเลย เพราะสิ้นสิ่งบันดาลใจทางการกวีนิพนธ์ 
     ๓๐. เรื่องลักษณวงศ์ แต่งถวายพระองค์เจาลักขณานุคุณ พระราชโอรสของพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  แสดงว่า สุนทรภู่เป็นอาจารย์ของพระราชโอรสพระราชธิดาของพระนั่งเกล้าฯ ถึง ๒ พระองค์ คือ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ แต่งหนังสือถวายหลายเรื่อง พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ ก็แต่งเรื่องลักษณวงศ์ถวาย  แสดงอยู่ชัดแจ้งว่าสุนทรภู่มิได้ถูกถอดยศ ปลดตำแหน่ง สุนทรภู่เกรงกลัวพระบารมีเพราะเคยข้ามกรายท่านไว้ในสมัยที่สุนทรภู่รุ่งเรือง  พอพระนั่งเกล้าฯ ขึ้นครองราชย์ก็หนีออกบวช  
     ๓๑. สุนทรภู่หมดที่พึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว สวรรคตเมื่อวันที่ ๗  มกราคม พ.ศ.๒๔๐๘ สุนทรภู่ต้องออกไปอยู่บ้านแถวฝั่งธนบุรี แต่บางที่ก็ว่าอยู่ในวังหน้าต่อไป โดยอาศัยใบบุญอยู่กับกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ  พระราชโอรสของพระปิ่นเกล้า ฯ จนถึงแก่อนิจกรรมไปเมื่อ พ.ศ.๒๔๑๐ อายุ ๘๑ ปี
     
     ที่ว่าสุนทรภู่ถึงแก่อนิจกรรมในพ.ศ.๒๔๑๐ นั้น ไม่มีหลักฐานอย่างอื่นยืนยัน นอกจากาตำราโหราศาสตร์ที่ว่า ดวงชะตาสุนทรภู่มีดาวพฤหัสบดีอยูราศีเมษ เป็นราชาโชค  เป็นปทุมเกณฑ์  พระราชาอุปถัมภ์  ดาวอังคารเป็นอายุกุมลัคนากับดาวศุกร์ คู่มิตรในราศีกรกฎเช่นนี้ ต้องพยากรณ์ว่าอายุเกิน ๘๐ ปี จึงว่าสุนทรภู่อายุ ๘๑ ปี ถึงแก่อนิจกรรก่อนพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเพียง ๑ ปี 



     การศึกษาชีวิตและงานของสุนทรภู่ เราจะศึกษาแต่บทกวีที่มีผู้บอกว่าเป็นของสุนทรภู่เท่านั้นไม่ได้  เราต้องศึกษาประวัติศาสตร์ พระราชพงศาวดาร ประวัติของผู้อื่นที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกันประกอบด้วย  เราต้องมีปรีชาญาณในทางการกวีดีพอสมควร เปรียบเหมือนนักดนตรีจึงจะรู้ฝีมือของนักดนตรีด้วยกัน  คนที่จะรู้ว่าบทกวีใดเป็นของกวีใด ต้องมีปรีชาญาณทางการกวีแต่งบทกวีได้อย่างชำนาญ มีปัญญาและอารมณ์ของนักกวีด้วย  
     การศึกษาวรรณคดีโบราณที่ไม่ปรากฎนามกวีนั้น มันลึกซื้ง เราต้องศึกษาอย่างวิเคราะห์วิจัย อย่างวิจารณ์ จนเกิดเป็นวรรณคดีวิจารณ์ เหมือนพระภิกษุสงฆ์ ต้องเรียนรู้พระธรรม ต้องเรียนปริยัติ เรียนปฎิบัติ จึงจะเกิดเป็นปฎิเวธ  รู้แจ้งในพระธรรมฉันใดก็ดี  การเรียนรู้วรรณคดีโบราณ ต้องเรียนให้มา อ่านให้มาก และต้องปฎิบัติคือ ต้องแต่งโคลงกลอนไ  กาพย์ ฉันทฺ์ได้   แต่งจนชำนาญจนรู้ลีลา รู้ปัญญา รู้อารมณ์ของกวีด้วยตนเอง  แล้วจึงเอาไปเทียบเคียงกับกวีโบราณ จึงจะรู้อรรถรส ลีลา ปัญญา อารมณ์ของกวีโบราณ 
     ข้าพเจ้าใช้เวลาศึกษาวรรณคดีโดยวิธีการศึกษาทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฎิบัติมากว่า ๓๐ ปี จึงได้เขียนเรื่องประวัติสุนทรภู่ออกมาเสนอท่านผู้สนใจโปรดพิจารณากันต่อไป  

(จบบริบูรณ์)