ชีวิตรักสุนทรภู่
การเขียนประวัติสุนทรภู่ ถ้าไม่ได้เขียนเรื่องชีวิตรักของสุนทรภู่ ก็เกือบว่าจะไม่สมบรูณ์เป็นประวัติสุนทรภู่ เพราะชีวิตสุนทรภู่เป็นชีวิตนักรักนักเลงเจ้าชู้ เป็นกวีมีชื่อก็เพราะเป็นนักเลงรักนี่แหละ สุนทรภู่เป็นศิลปิน เป็นนักรัก แม้เมียเขาก็อดรักไม่ได้ ท่านพรรณนาไว้ในนิราศสุพรรณว่า "งิ้วกับพี่มิแคล้ว ขึ้นงิ้ว ลิ่วสูง"
สุนทรภู่มีคนรักหลายคนที่กล่าวไว้ในนิราศต่างๆ ของท่าน รวมทั้งเพลงยาวรำพรรณพิลาป มีดังต่อไปนี้
๑. นางจันทร์ หญิงคนรักคนแรกที่รักและหลงใหลมาก มีบุตรด้วยกันคนหนึ่งชื่อ นายพัด เมื่อพ.ศ.๒๓๖๑ แล้วก็แยกทางกัน สุนทรภู่จึงประพันธ์ไว้ในนิราศเมืองแกลง นิราศพระบาท และนิราศสุพรรณ แต่ตอนไปนครปฐม พ.ศ.๒๓๘๕ ว่าตายเสียแล้ว ทำศพที่วัดระฆัง "วัดระฆังต้ังแต่เสร็จสำเร็จศพ ไม่พานพบภคินีเจ้าพี่เอ๋ย" ตอนนี้พรรณนาถึงนางจันทร์ ไม่ใช่พรรณนาถึงเจ้านายผู้หญิงในวังหลัง ในนิราศสุพรรณก็พรรณนาว่า
๐ ยลบ้านบุต้ัง ตีขัน
ขุกคิดเคยชมจันทร์ แจ่มฟ้า
ยามยากหากปันกัน กินซึกฉลีกแฮ
มีคู่ชูชื่นหน้า นุชปลื้มลืมเดิม ฯ
๒. นางนิ่ม ชาวบางกรวย ภรรยาคนที่สอง มารดานายตาบ เมื่อไปสุพรรณบุรี นางนิ่มตายแล้ว
๐ บางกรวยกรวดน้ำแบ่ง บุญทาน
ส่งนิ่มนุชนิพพาน ผ่องแผ้ว
จำพลัดพรากจากสถาน ทิ้งพี่หนีเอย
เห็นแต่คลองน้องแคล้ว คลาดเขลื้อนเดือนปี ฯ
๓. นางกลิ่น คนรักอีกคนหนึ่ง พรรณนาไว้ในนิราศสุพรรณ
๐ รวยรินกลิ่นสไบทราม สวาสดิ์ร่วง ทรวงเอย
สูญกลิ่นสิ้นกลอนพร้อง เพราะเจ้า เบาใจ ฯ
๐ เชิญทราบกาพย์กลกลอน กล่าวกลิ่น ถวิลเอย
จำขาดชาตินี้แคล้ว คลาดน้อง ของสงวน ฯ
๔. นางนก คนรักต้ังแต่รุ่นหนุ่ม สมัยเป็นนักการรังวัดสวน อยู่แถววัดชีปะขาว พรรณนาไว้ในนิราศสุพรรณว่า
๐ วัดแจ้งแต่งตึกตั้ง เตียงนอน
เคยปกนกน้อยคอน คู่พร้อง
เคยลอบตอบสารสมร สมานสมัคร รักเอย
จำพรากจากนุชน้อง นกน้อยลอยลม ฯ
๕. นางสร้อย คนรักต้ังแต่รุ่นหนุ่ม อยู่วัดชีปะขาว เป็นเสมียนรังวัดที่ดินของกรมพระราชวังหลัง พรรณนาไว้ในนิราศสุพรรณว่า
๐ วัดชีปะขาวคราวรุ่นรู้ เรียนเขียน
ทำสูตรสอนเสมียน สมุดน้อย
เดินระวางระวังเวียน หว่างวัด ปะขาวเอย
เคยชื่นกลืนกลิ่นสร้อย สวาทห้างกลางสวน ฯ
๖. นางกลิ่น คนรักคนหนึ่งอยู่แถวบางบำหรุ พรรณนาไว้ในนิราศสุพรรณว่า
๐ บางบำหรุบำรุงแก้ว กานดา
แก้วเนตรเชษฐาชรา ร่างแล้ว
ถือบวชกรวดน้ำพา พบชาติอื่นเอย
ในชาตินี้พี่แคล้ว คลาดค้างห่างสมร ฯ
๐ บางระมาดมิ่งมิตรมิ่ง คราวงาน
บอกบทบุญยังพยาน พยักหน้า
ประทุนประดิษฐาน แท่นฮ่องหอเอย
แหวนประดับกับผ้า พี่อ้างรางวัล ฯ
๗. นางม่วง ภรรยาของสุนทรภู่ น่าจะมีบุตรด้วยกันชื่อนิล นางม่วงนี้ถ้าจะเป็นบุตรสาวขุนนางท่านผู้ใหญ่อยู่ จึงเรียกว่า หม่อมม่วง สุนทรภู่พรรณนาถึงนางม่วงไว้ว่า
๐ บางม่วงทรวงเศร้าคิด เคยชวน
ม่วงเก็บมะม่วงสวน สุดระย้า
ม่วงอื่นรื่นรัญจวน จิตไม่ ใคร่แฮ
ม่วงหม่อมหอมหวนหน้า เช่นเนื้อ นวลจันทร์ ฯ
๘. นางน้อย เป็นคนรักอีกคนหนึ่ง เอ่ยชื่อไว้ในนิราศสุพรรณว่า
๐ บางน้อยพลอยนึกน้อย น้องเอย
น้อยแนบแอบอกเอย คู่เคล้า
เนื้อน้อยคอยถนอมเชย เชือนชื่นอื่นแม่
น้อยแต่ชื่อฤาเจ้า จิตน้อย ลอยลม ฯ
๙. นางงิ้ว ชู้รักคนหนึ่งของสุนทรภู่ น่าจะมีสามีแล้ว เพราะสุนทรภู่นึกถึงนางงิ้วนี้แล้วก็ว่า คงไม่แคล้วต้องขึ้นต้นงิ้วเมื่อม้วยมรณา
๐ ยามยลต้นงิ้วป่า หนาหนาม
นึกบาปวาบวับหวาม วุ่นแล้ว
คงจะปะงิ้วทราม สวาทเมื่อ ม้วยแฮ
งิ้วกับพี่มิแคล้ว คี่นงิ้ว ลิ่วสูง ฯ
๑๐. นางบัวคำ เป็นสาวชาวเวียงจันทร์ อพยพมาคร้ังศึกเจ้าอนุวงศ์ เวียงจันทร์ พ.ศ.๒๓๖๙ มาอยู่แถวบางคูเวียง เมื่อไปสุพรรณบุรีผ่านบ้านบางบัว สุนทรภู่ก็พรรณนาถึงนางบัวคำคนนี้ว่า
๐ บางบัวบ้านชื่อพร้อง สนองนำ
นึกเช่นเห็นบัวคำ ชื่อพร้อง
ข้าวเหนียวเกี่ยวมาทำ แทนเค่าเจ้าเอย
คราวเคราะห์เพราะเกี่ยวข้อง ขัดค้างขวางเชิง ฯ
๑๑. นางม่วง หลานสาวที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง
๑๒.นางคำ หลานสาวที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง
สุนทรภู่รำพรรณไว้ในนิราศเมืองแกลงว่า
๐ ทุกเช้าเย็นเห็นแต่หลานที่บ้านกร่ำ
ม่วงกับคำกลอยจิตขนิษฐา
เห็นเจ็บปวดนวดเฟ้นช่วยฝนยา
ตามประสาซื่อตรงเป็นวงศ์วาน
๐ อย่าเศร้าสร้อยคอยพี่พอปีหน้า
จึงจะมาทำขวัญเหมือนมั่นหมาย
ไม่ทิ้งขว้างห่างให้เจ้าได้อาย
จงครองกายแก้วตาอย่าอาวรณ์
๑๓. นางทองมี สาวชาวเมืองเพชรบุรี
๑๔. นางอิน สาวชาวเมืองเพชรบุรีอีกคนหนึ่ง พบกันเมื่อคราวพ.ศ. ๒๓๗๐ คงอยู่ข้างวัดเกต
๐ ที่ไหนไหนไมตรียังดีสิ้น
เว้นแต่อินวัดเกตของเชษฐา
ช่างตัดญาติขาดเด็ดไม่เมตตา
พอเห็นหน้าน้องก็เบือนไม่เหมือนเคย
๑๕.นางบุญมา สาวชาวเมืองเพชร สุนทรภู่มีแฟนสาวชาวเพชรบุรีมาก พรรณนาไว้ว่า
๐ จะแทนคุณบุญมาประสายาก
ต้องกระดากดังหนึ่งศรกระดอนกลับ
ได้ฝากแต่แพรผ้ากับบ้าทรัพย์
ไว้สำรับหนึ่งนั้นทำขวัญน้อง
๑๖.นางขำ สาวชาวเมืองเพชร
๐ แค้นแต่ขำกรรมอะไรไฉนน้อง
เฝ้าท้องท้องทุกปีไม่มีเหมือน
ช่างกระไรใจจิตไม่บิดเบือน
จะไปเยือนเล่าก็รู้ว่าอยู่ไฟ
๑๗. นางลูกจันทน์ สาวชาวเมืองเพชร ไปเมืองเพชรเมื่อปี ๒๓๖๐ ไปเที่ยวเขาหลวง รำพรรณถึงความหลังว่า
๐แล้วเดินดูภูผาศิลาเลื่อม บ้างงอกเงื้อมเงาระยับสลับสี
เป็นห้องน้อยรอยลายหนังสือมี คิดถึงปีเป็นบ้าเคยมานอน
ชมลูกจันทน์กลั่นกลิ่นระรินรื่ จนเที่ยงคืนแขนซ้ายกลายเป็นหมอน
เห็นห้องหินศิลายิ่งอาวรณ์ เคยกล่าวกลอนข้าโอ้ชาตรี
๑๘. ดอกฟ้า หรือ แก้วฟ้า หมายถึง พระองค์เจ้าหญิงวิลาศ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เป็นคนที่สุนทรภู่แอบหลงรักอยู่ข้างเดียว ได้แต่งเพลงยาวไปถวายยืดยาว โดยพรรณนาไว้ว่า
๐ ถึงคลองร้องเรียกบ้าน บางหลวง
รำลึกนึกถึงดวง ดอกฟ้า
เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวทรวง แสนเทวษ ทุเรศเอย
อุ้มรักหนักอกถ้า เทียบเถ้าเขาหลวง ฯ
๐ ตลาดแก้วแถวถิ่นจระเข้ คนขาม
ตลิ่งตลอดแต่ล้วนหนาม สนับหญ้า
แก้วอื่นหมื่นแสนทราม สู้สละ ปะเอย
รักแต่แก้วแววฟ้า จะเฝ้าเคล้าถนอม ฯ
คนรักของสุนทรภู่ที่กล่าวนามนี้ กล่าวตามหลักฐานถ้อยคำของสุนทรภู่เอง ไม่ใช่เดาเอา บางคนเป็นภรรยา เช่น นางจันทร์ นางนิ่ม นางถวิล มีบุตรคนละคน นางจันทร์มีบุตรคือนายพัด นางนิ่มมีบุตรคือนายตาบ นางม่วงมีบุตรคือนายนิล
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
เพลงยาวรำพรรณพิลาป
คำกลอนของกวีโบราณมีอยู่ ๕ ประเภท คือ
๑. บทดอกสร้อย ขึ้นต้นว่า ดอกเอ๋ย มีกำหนดยาว ๔ คำกลอน หรือ ๘ วรรค
๒. บทสักวา ขึ้นต้นว่า สักวา (มาจากคำว่า สักวาที แปลว่า วาทีอันมีศักดิ์ แต่งโต้ตอบกัน ๒ ฝ่าย) มีกำหนดความยาว ๔ คำกลอน หรือ ๘ วรรค
๓. เพลงยาวสังวาส คือคำกลอนที่แต่งโต้ตอบกันยืดยาว ไม่มีกำหนด ส่วนมากเป็นสารรักโต้ตอบกันระหว่างชายหญิง หรือกวีด้วยกัน
๔.เพลงยาวสุภาษิต คือคำกลอนทึ่แต่งเป็นคำสุภาษิตสอนใจ เช่น เพลงยาวภาษิตอิศรญาณ หรือเพลงยาวสุภาษิตสอนหญิงของนายภู่ จุลละภมร
๕. เพลงยาวนิราศ คือคำกลอนที่แต่งเมื่อกวีเดินทางจากบ้าน จากคนรักไป แล้วพรรณนาชื่อตำบลบ้านที่เดินทางผ่านไปตามรายทาง แล้วก็รำพันถึงคนรักไปด้วย ถึงจะไม่มีคนรักก็รำพันได้เพื่อให้เรื่องมีเสน่ห์น่าอ่าน เช่น นิราศภูเขาทอง ที่ท่านสุนทรภู่เดินทางไประหว่างบวชเป็นพระอยู่ ไม่มีคนรัก แต่ท่านก็รำพันถึงคนรักไว้ด้วย แล้วบอกไว้ว่า
"ใช่จะมีที่รักสมัครมาด แรมนิราศร้างมิตรพิศมัย
ซึ่งครวญคร่ำทำทีพิรี้พิไร ตามวิสัยกาพย์กลอนแต่ก่อนมา
เหมือนแม่ครัวคั่วแกงพะแนงผัด สารพัดเพียญชนังเครื่องมังสา
อันพริกไทยใบผักชีเหมือนสีกา ต้องโรยหน้าเสียสักหน่อยอร่อยใจ
จงทราบความตามจริงทุกสิ่งสิ้น อย่านึกนินทาแถลงแหนงไฉน
นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ จึงร่ำไรเรื่องร้างเล่นบ้างเอย"
นิราศภูเขาทองนี้ สุนทรภู่แต่งเมื่อพ.ศ.๒๓๗๑ อายุ ๔๒ ปี
งานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่ที่สำคัญมากเรื่องหนึ่งก็คือ "รำพรรณพิลาป" ที่ทำให้เราได้ทราบประวัติของท่านจากเรื่องนี้ กวีนิพนธ์เรื่องนี้ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องก็ต้องเรียกว่า "เพลงยาวรำพรรณพิลาป" เพราะเป็นกลอนเพลงยาว และเป็นประเภท "เพลงยาวสังวาส" คือแต่งขึ้นเพื่อส่งไปให้พระองค์เจ้าหญิงวิลาศหรือกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เจ้านายแสนสวยได้ทรงอ่านเล่นเพลินๆ พระทัยท่าน สุนทรภู่ไม่ได้แต่งแล้วเก็บเอาไว้อ่านเอง แต่แต่งแล้วส่งไปถวายเจ้านายสาว เพลงยาวนี้คงจะตกอยู่ที่พระตำหนักกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพในวังนั่นเอง จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ลงในปี พ.ศ.๒๓๘๘ หลังจากที่ได้รับเพลงยาวนี้ ๓ปี เพลงยาวนี้ถูกเก็บไว้ไม่เป็นที่เปิดเผย จนกระทั่งพระยาราชสมบัติ(เอิบ บุรานนท์) ซึ่งเป็นคนในตระกูล "บุนนาค" ที่เกิดจากภรรยาน้อยของเจ้าพระยาอัครมหาเสนา (บุนนาค ต้นตระกูล บุนนาค) ได้ต้นฉบับนี้จากต้นตระกูล จึงนำมามอบให้หอสมุดแห่งชาติ เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๘๐ เราจึงรู้ว่ามีงานกวีนิพนธ์ของสุนทรภู่เพิ่มขึ้น เราจึงรู้ว่าสุนทรภู่ได้ส่งเพลงยาวไปถวายเจ้าหญิงในวัง เป็นพระธิดาแสนสวยองค์โปรดของพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงแก่สร้างวัดพระราชทาน และก็ยังพระราชทานนามวัดว่า "วัดเทพธิดา" ซึ่งก็คือกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพนั่นเอง เจ้าหญิงองค์นี้ทรงโปรดการกวีนิพนธ์มาก ที่พระตำหนักนั้นมีนางข้าหลวงอ่านบทกวีให้ทรงสดับในเวลาทรงบรรทม นางข้าหลวงที่คอยอ่านบทกวีถวายนั้นคือ คุณสุด สุวรรณ ณ บางช้าง ปรากฎหลักฐานอยู่ในเพลงยาว เพราะเหตุที่โปรดการกวีนี้แหละ จึงทำให้โปรดนักกวี เช่นโปรดให้นิมนต์สุนทรภู่จากวัดราชบูรณะไปอยู่วัดเทพธิดาของท่าน เมื่อพ.ศ.๒๓๘๑ ทรงอุปถัมภ์สุนทรภู่ ถวายเสื่ออ่อน หมอนอิง จีวรแพร และเครื่องขบฉัน ทองหยิบ ฝอยทอง และเงินนิตยภัตอีกเดือนละ ๑ ชั่ง ทรงขอให้สุนทรภู่แต่งเรื่องพระอภัยมณีต่อด้วย และคงจะเสด็จไปทำบุญกุศลที่วัดเทพธิดาบ่อยคร้ัง ทำให้สุนทรภู่กวีแก่ที่ทรงอุปถัมภ์อยู่นั้นเพ้อฝันไปไกลถึงขั้นส่งเพลงยาวไปถวาย คือเพลงยาวรำพรรณพิลาปนี้ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเมื่อได้รับเพลงยาวฉบับนี้แล้ว ก็คงจะเก็บไว้ไม่เป็นที่เปิดเผยแพร่หลาย จนตกอยู่ในความครอบครองของตระกูล "บุรานนท์" ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของตระกูล "บุนนาค" จึงได้รับเพลงยาวนี้ตกทอดมา พระยาราชสมบัติ(เอิบ บุรานนท์) จึงได้นำเพลงยาวนี้มอบให้หอสมุดแห่งชาติไว้ เมื่อพ.ศ.๒๔๘๐ เราจึงควรขอบคุณพระยาราชสมบัติและควรจารึกชื่อไว้ให้ปรากฎด้วย
ในเพลงยาวรำพรรณพิลาปนี้มีเรื่องเกี่ยวกับสุนทรภู่อยู่มาก จากคำของท่านเอง จึงไม่มีที่สงสัย เป็นเอกสารสำคัญดังจะขอแยกแยะให้เป็นเรื่องๆ ดังต่อไปนี้
๑. วันเดือนปีทึ่แต่ง
"เดือนแปดวันจันทร์ทิวาเวลานอน"
ตรงกับวันจันทร์เดือนแปดปีขาล พ.ศ. ๒๓๘๕
ตรงกับวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๘๕
๒. ออกจากราชการแล้วบวช
"แต่ปีวอกออกขาดราชกิจ บรรพชิตพิศวาทพระศาสนาเหมือนลอยล่องท้องทะเลอยู่เอกา เห็นแต่ฟ้าฟ้าก็เปลี่ยวสุดเหลียวแล
ออกจากราชการปีวอก ปีพ.ศ.๒๓๖๗ ปีที่พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชสมบัติ ออกจากราชการแล้วก็บวชเพราะพิศวาทพระศาสนา ไม่ได้บอกว่าถูกปลด แต่ก็คงออกเพราะหวาดเกรงราชภัย เนื่องจากเคยอวดเก่งข้ามกรายพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้ในสมัยที่สุนทรภู่เป็นคนโปรดของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยความทนงตนว่าเป็นคนเก่ง ไม่ได้คาดคิดว่าพระนั่งเกล้าฯ จะได้ราชสมบัติ สุนทรภู่คาดว่า "พระหน่อบพิตรอดิศร" นั้นต้องเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าสองพระองค์ คือเจ้าฟ้ามงกุฎ - เจ้าฟ้าจุฑามณี ไม่คาดคิดว่าพระองค์เจ้าชายทับ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์จะได้ราชสมบัติ เมื่อการเมืองพลิกผันไปเช่นนี้ สุนทรภู่จึงออกบวชทันที คิดพึ่งผ้าเหลืองไม่ได้ถูกถอดถอนอะไร เมื่อออกบวชแล้ว ตำแหน่งหน้าที่ บ้านหลวงที่เคยอยู่ คนอื่นก็ได้รับแทน จึงบอกว่า "เห็นแต่ฟ้าฟ้าก็เปลี่ยวสุดเหลียวแล" คือพึ่งพาเจ้าฟ้าไม่ได้เสียแล้ว "ฟ้าก็เปลี่ยว" คือ หมายจะพึ่ง เจ้าฟ้าทั้งสององค์ก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน"
๓. ไปเมืองเพชร
"ไปพริบพรีที่เขารองน้ำตาล รับประทานหวานเย็นก็เป็นลม"
เข้าใจว่าบวชแล้วก็ไปเมืองเพชร เมื่อปีพ.ศ.๒๓๖๘ เพราะเมื่อไปเมืองเพชรอีกในปีพ.ศ.๒๓๗๐ ก็กล่าวถึงขุนแพ่งเพื่อนรักว่าไปตายเสียในศึกลาวเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทร์ พ.ศ.๒๓๖๙ เมืองเพชรบุรีนี้สุนทรภู่เคยไปหลายครั้ง เมื่อพ.ศ.๒๓๕๖ ก็กล่าวถึงว่า "แต่เดือนยี่ปีสี่ปีระกานิราร้าง ไปอยู่บางกอกไกลกันใจหาย" ปีระกาคือปีพ.ศ.๒๓๕๖
๔. ไปราชบุรี
ไปราชบุรีมีแต่พาลจังทานพระ
เหมือนไปปะบอระเพ็ดเหลือเข็ดขม
ไปขึ้นเขาเล่าก็ตกอกระบม
สุดจะตรมแทบจะตายเสียดายคราว
แสดงว่าสุนทรภู่เคยไปขึ้นเขาที่เมืองราชบุรี อาจจะเขางูหรือจอมบึง และไปตอนบวชเป็นพระ
๕. ไปกาญจนบุรี
"คร้ังไปด่านกาญจนบุรีที่กระเหรี่ยง
ฟังแต่เสียงเสือสีห์ชะนีหนาว
นอนน้ำค้างพร่างพรมพลอยพรมพราว
เพราะเชื่อลาวลวงว่าแร่แปรเป็นทอง"
สุนทรภู่มักจะลุ่มหลงเป็นคราวๆไป นี่ท่านก็ไปเล่นแร่แปรธาตุถึงเมืองราชบุรี ที่ว่าลาวนั้นคือลาวที่ต้อนเข้ามาเป็นเชลยศึกเจ้าอนุวงศ์ อยู่แถวราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี เรียกว่า ลาวโซ่ง ลาวขี้ครั่ง
ลาวพรวน ลาวเวียง เดี๋ยวนี้เป็นไทยหมดแล้ว
๖. ไปสุพรรณบุรี
จำพรรษาอยู่ที่สองพี่น้อง
"เข้าวัสสามาอยู่ที่สองพี่น้อง
ยามขัดข้องขาดมุ้งริ้นยุงชุม
คุกเช้าค่ำลำบากแสนยากยิ่ง
เหลือทนจริงเจ็บแสบใส่แกลบสุม
เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกลัดนั่งปัดยุง"
เข้าใจว่าเมื่อปีพ.ศ.๒๓๘๔ คราวแต่งนิราศสุพรรณ คือคราวไปหายาอายุวัฒนะ จะฉันยาให้เป็นหนุ่ม เพราะตอนนี้หลงรักเจ้าหญิงแสนสวย
" โอ้ยามอยู่สุพรรณกินมันเผือก
เคี้ยวแต่เปลือกไม้หมากเปรี้ยวปากเหลือ
จนแรงโรยโหยหิวผอมผิวเนื้อ
พริกกับเกลือกลักใหญ่ยังไม่พอ
ทั้งผ้าบาตรพาดเหล็กของเล็กน้อย
ขโมยถอยไปทั้งเรือไม่เหลือหลอ
เหลือแต่ผ้าอาศัยเสียใจคอ
ชาวบ้านทอวายแทนแสนศรัทธา"
๗. ไปพิษณุโลก
"คิดถึงคราวเจ้านิพพานสงสารโศก
ไปพิศีโลกลายแทงแสวงหา
ลงหนองน้ำปล้ำตะเข้หากเทวดา
ช่วยรักษาจึงได้รอดไม่วอดวาย"
พ.ศ..๒๓๖๙ บวชอยู่วัดอรุณ แล้วเดินทางไปถึงพิษณุโลก เที่ยวเล่นลายแทง ไปเจอเอาตะเข้ในหนองน้ำเข้า ไปเมื่อพระพุทธเลิศหล้านภาลัยสวรรคตแล้วก็บวชและออกพรรษาก็ไปจังหวัดพิษณุโลก น่าจะแต่งนิราศไว้เรื่องหนึ่ง ต้นฉบับอาจถูกปลวกกินเสีย ตามที่บ่นไว้ในเพลงยาวรำพรรณพิลาป
๘. ไปอยู่เขาม้าวิ่ง
"วันไปอยู่ภูผาเขาม้าวิ่ง
เหนื่อยอ่อนพิงเพิงไศลหลับใจหาย
คร้ันดึกดูงูเหลือมเลื้อยเลื่อมพราย
ล้อมรอบกายเกี้ยวตัวกันผัวเมีย
หนีไม่พ้นจนใจได้สติ
สมาธิถอดชีวิตอุทิศเสีย
เสียงฟู่ฟู่ชูฟ่อเผ้าคลอเคลีย
แลบลิ้นเลียแล้วเลื้อยแลเฟื้อยยาว
ดูใหญ่เท่าผีกระโดงผีโป่งสิง
เป็นรูปหญิงยืนหลอกผมหงอกขาว
คิดจะตีหนีไปกลัวไม้เท้า
โอ้เคราะห์คราวขึ้นไปเหนือเหมือนเหลือตาย"
เขาม้าวิ่งนี้เข้าใจว่าจะอยู่ทางพิษณุโลก เพราะบอกว่าขึ้นไปทางเหนือ
๙. อยู่วัดราชบูรณะ
"ต้องต่ำต้อยย่อยยับอับประมาณ
มาอยู่วิหารวัดเลียบยิ่งเยียบเย็น
โอ้ยามจนล้นเหลือสิ้นเสื่อหมอน
สู้ซุ่มซ่อนเสียมิให้ใครใครเห็น
ราหูทับยับเยินเผอิญเป็น"
กลับมาอยู่วัดราชบูรณะ เข้าใจว่ากลับจากเมืองเหนือแล้วจึงมาอยู่วัดราชบูรณะ
๑๐. คิดจะลาสิกขาบท
" จะสึกหาลาพระอธิษฐาน
โดยกันดารเดือดร้อนสุดผ่อนผัน
พอพวกพระอภัยมณีศรีสุวรรณ
เธอช่วยกันแก้ร้อนช่วยผ่อนเย็น
อยู่มาพระสิงหไตรภพโลก
เป็นเศร้าโศกแสนแค้นสุดแสนเข็ญ
ทุกค่ำคืนฝึนหน้าน้ำตากระเด็น
พระโปรดเป็นที่พึ่งเหมือนหนึ่งนึก
เหมือนไข้หนักรักษาวางยาทิพย์
ฉันทองหยิบฝอยทองไม่ต้องสึก"
พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณ คือ เจ้าฟ้ามงกุฎกับเจ้าฟ้าจุฑามณี เข้ามาช่วยอุปถัมภ์หลังกลับมาจากเมืองเหนือ พระสิงหไตรภพเข้าใจว่าคือ กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ไม่ใช่พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ เข้ามาอุปถัมภ์อีกองค์หนึ่ง
๑๑. ไปอยู่วัดเทพธิดา
"เป็นคราวเคราะห์ต้องพรากจากวิหาร
กลัวพวกพาลผู้ร้ายจำย้ายหนี
อยู่วัดเทพธิดาด้วยบารมี
ได้ผ้าป่าปัจจัยไทยทาน"
เข้าใจว่าสุนทรภู่ไปอยู่วัดเทพธิดาตั้งแต่พ.ศ.๒๓๘๒ เมื่อแรกสร้างวัดนี้ เพราะวัดนี้มีอยู่ก่อนแล้วเป็นวัดโบราณชื่อ วัดพระยาไกรสวนหลวง เป็นวัดที่พระยาไกรโกษา( บุญมี ต้นสกุล ไกรบุญ)สร้างไว้ เจ้าพระยาไกรโกษา (บุญมี) เป็นบิดาเจ้าจอมมารดาบาง พระชายาในรัชกาลที่ ๓ เจ้าจอมมารดาบางจึงได้สร้างวัดนี้ต่อมากับพระธิดา คือกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ แล้วถวายเป็นพระอารามหลวง พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามวัดนี้ว่า วัดเทพธิดา สุนทรภู่คงอยู่มาแต่แรกสร้างวัดใหม่ๆ และอยู่ต่อมาอีกหลายพรรษา จนถึงปีที่ไปพระปฐมเจดีย์ เมื่อพ.ศ.๒๓๘๕ ก็ยังบวชอยู่วัดนี้ สุนทรภู่อยู่ที่วัดนี้นับตั้งแต่พ.ศ.๒๓๘๒ ถึงพ.ศ.๒๓๘๕ ก็ประมาณ ๔ พรรษา แล้วข้ามฝั่งคลองมหานาคไปอยู่วัดสระเกศ พ.ศ.๒๓๘๖ ถึงพ.ศ.๒๓๙๓
๑๒. ไปสุพรรณ
" ถึงเดือนยี่มีเทศน์สมเพชพักตร์
เหมือนลงรักรู้ว่าบุญสิ้นสูญหาย
สู้ซ่อนหน้าฝ่าฝืนสะอื้นอาย
จนถึงปลายปีฉลูมีธุระ
ไปทางเรือเหลือสลดด้วยปลดเปลื้อง
ระคายเคืองข้องขัดตัดสละ
ลืมวันเดือนเชือนเฉยแกล้งเลยละ
เห็นแต่พระอภัยพระทัยดี
ช่วยแจวเรือเกื้อหนุนทำบุญด้วย
เหมือนโปรดช่วยชูหน้าเป็นราศี
กลับมาถึงผึ้งมาจับอยู่กับกุฎิ
ทำรังที่ทิศประจิมริมประตู
ต้องขัดเขืองเรื่องราวด้วยคราวเคราะห์
จวบจำเพาะสุริยาถึงราหู
ทั้งบ้านทั้งวังวัดเป็นศัตรู
แม้ขืนอยู่ยากเย็นจะเห็นใคร"
พอถึงเดือนยี่ ปีฉลู พ.ศ. ๒๔๘๔ สุนทรภู่ก็เดินทางไปสุพรรณบุรี คราวที่แต่งนิราศสุพรรณคำโคลงไว้ว่า พระอภัยช่วยแจวเรือให้ คือพระจอมเกล้าฯ ช่วยออกเงินจ้างคนแจวเรือให้ ลูกศิษย์สุนทรภู่ช่วยอุปถัมภ์อยู่เสมอ ว่าเป็นคราวเคราะห์เมื่อกลับจากสุพรรณ ก็มีผึ้งมาจับอยู่ที่รังริมประตูทางทิศประจิมซึ่งถือกันว่าไม่ดี ให้โทษ "ทั้่งบ้านทั้งวังวัดเป็นศัตรู" ก็คงจะเป็นเพราะท่านเป็นพระดังเกินไป มีคนในรั้วในวังไปมาหาสู่มาก เมื่อท่านท่องเที่ยวไปเมืองสุพรรณตั้งปี ไปจำพรรษาอยู่สองพี่น้อง นางข้าหลวงในวังก็เคยไปมาหาสู่ท่านมาอ่านกลอนท่านบ้าง มาขอให้แต่งเพลงยาวบ้าง คงจะมีคนอิจฉาหรือไม่ชอบเป็นธรรมดา ท่านจึงว่าท้ังวัดวังเป็นศัตรู คราวนี้สุนทรภู่ก็ตั้งสัตยาธิษฐานทำท่าจะสึกอีก นี่คือต้นเรื่องของเพลงยาวรำพรรณพิลาป คือแต่งเพลงยาวรำพรรณความในใจไปถวายเจ้านายสาวแสนสวย เจ้าของวัดเทพธิดาผู้อุปถัมภ์อยู่ให้เห็นใจสงสารเป็นทำนองว่า จะขอลาจากวัดเทพธิดาแล้ว "จะไว้อาลัยให้ละห้อยจงคอยฟัง จะร่ำสั่งสิ้นสุดอยุธยา" จึงลงมือแต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาป เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๘๕ แต่งเสร็จแล้วก็ส่งไปถึงกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ว่าจะโปรดปรานประการใด แต่แล้วก็คอยหาย พอถึงออกพรรษาแล้ว วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๓๘๕ จึงออกเดินทางไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ ในคราวที่แต่งนิราศพระปธมไว้ สุนทรภู่เดินทางออกจากวัดเทพธิดาเมื่อยังบวชอยู่ บอกไว้ในนิราศว่า" ขอเดชะพระมหาอานิสงส์ ซึ่งเราคงศักราชพระศาสนา" ครั้นแล้วท่านก็เดินทางกลับวัดเทพธิดาอีกไม่ได้
สุนทรภู่ไม่ใช่ตัวคนเดียว ยังมีลูกอีกสองคน คือนายพัด ก็บวชเณรอยู่ นายตาบก็มาอยู่ด้วย มีเณรกลั่นมาฝากตัวเป็นศิษย์แล้วบวชเณรอยู่ด้วย ดูเหมือนจะชื่อชุบ ชื่อน้อยอีกสองคน รวมเป็นลูกศิษย์ห้าคน จึงข้ามคลองวัดมหานาคไปอยู่วัดสระเกศ ซึ่งมีพระธรรมทานาจารย์(ภู่) เป็นเจ้าอาวาส เป็นศิษย์สุนทรภู่ทางกวี เณรพัดเกิด พ.ศ.๒๓๖๑ อายุได้ ๒๔ ปี เณรกลั่นเกิด พ.ศ.๒๓๖๕ อายุได้ ๒๐ ปี แต่ยังบวชเณรอยู่ เพราะถือศีลน้อย ขาดแล้วก็ต่อได้ สึกแล้วก็บวชได้ แต่สมัยนั้นไม่มีใครตำหนิใคร พระเตะตะกร้อ เล่นไก่ กัดปลา ก็มีอยู่ในนิราศสุพรรณของสุนทรภู่ คราวหนึ่งพระสังฆการีมาทูลพระนั่งเกล้า พระนั่งเกล้าฯ ยังตรัสว่า "เจ้ากูเมื่อยขบจะเตะตะกร้อมั่งก็ช่างเจ้ากูเถิด"
เพลงยาวรำพรรณพิลาป
เพลงยาวรำพรรณพิลาป แปลว่า "เพลงยาวรำพรรณคร่ำครวญความรักความอาลัยของกวีเอก" ถึงจะเสแสร้งว่าเป็นความฝันก็ไม่จำเป็นต้องเป็นความฝันในเวลาหลับ เป็นความฝันในเวลาตื่นอยู่นี่เอง แต่จะว่าตรงๆ ก็ไม่ได้
"จะสั่งสาวชาวบางกอกข้างนอกใน
ก็เกรงภัยให้ขยาดพระอาชญา
จึงเอื้อมอ้างนางสวรรค์ตามฝันเห็น
ให้อ่านเล่นเป็นเล่ห์เสน่หา
ไม่รักใครในแผ่นดินถิ่นสุธา
รักแค่เทพธิดาสุราไลย..."
เทพธิดาองค์นี้ไม่ใช่เทพธิดาบนฟ้า แต่เป็นเทพธิดาในเมืองมนุษย์นี้เอง
"เห็นโฉมยงองค์เอกเมขลา
ชูจินดาดวงสว่างกลางสวรรค์
รัศมีสีเปล่งดั่งเพ็งจันทร์
พระรำพรรณกรุณาด้วยปรานี
ว่านวลหงส์องค์นั้นอยู่ชั้นฟ้า
ชื่อโฉมเทพธิดามิ่งมารศรี
วิมานเรียงเคียงกันทุกวันนี้
เหมือนหนึ่งพี่น้องชิดสนิทใจ"
นางฟ้าชื่อเมขลา ชูจินดาล่อแก้วนั้น หมายถึง พระองค์เจ้าหญิงดวงประภา ส่วนอีกองค์หนึ่ง ชื่อว่า โฉมเทพธิดา คือ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระองค์เจ้าหญิงดวงประภานั้นเป็นพระราชธิดาของพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ว่า ชูจินดาดวงสว่าง คือเป็นเทพธิดาแม่สื่อ ที่ว่า "จะให้แก้วแล้วก็ว่าไปหาเถิด" คือเป็นเทพธิดาแม่สื่อให้อีกองค์หนึ่ง ท่านเมตตาปรานีมาก ให้ไปหาเถิด กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเป็นพระฺธิดาของพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าของวัดเทพธิดา ที่ว่า "วิมานเรียงเคียงกันทุกวันนี้ เหมือนหนึ่งพี่น้อบสนิทร่วมจิตใจ" ก็กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ท่านเป็นพี่ พระองค์หญิงดวงประภาเป็นน้อง เข้าใจว่าเจ้านายทั้งสองพระองค์นี้จะเคยมาบำเพ็ญกุศลที่วัดเทพธิดาบ่อยๆ
"ได้ครวญคร่ำร่ำเรื่องเป็นเบื้องสูง
พอพยุงยกย่องให้ผ่องใส
ทั้งสาวแก่แม่ลูกอ่อนลาวมอญไทย
เด็กผู้ใหญ่อย่าเฉลียวว่าเกี้ยวพาน
พระภู่แต่งแกล้งกล่าวสาวสาวเอ๋ย
นักเลงกลอนอนฝันเป็นสันดาน
เคยเขียนอ่านอดใจมิใคร่ฟัง"
"ไม่รักใครในแผ่นดินถิ่นสุธา
รักแต่เทพธิดาสุราไลย"
เพลงยาวรำพรรณพิลาป เป็นเพลงยาวฝากรัก
"จะฝากดีฝีปากจะฝากรัก
ด้วยจวนจักจากถิ่นถวิลหวัง
ไว้อาลัยให้ละห้อยจงคอยฟัง
จะร่ำสั่งสิ้นสุดอยุธยา"
สุนทรภู่ทนงในฝีปากของตนเอง ดังคำว่า จะแต่งเพลงยาวฝากรักฝากอาลัยไว้ให้หวนละห้อย จงคอยฟังจะร่ำสั่งให้สิ้นอยุธยา
"โอ้ชาตินี้มีกรรมเหลือลำบาก
เหมือนนกพรากจากรังไร้ฝั่งฝา
โอ้กระดีที่จะจากฝากน้ำตา
ไว้คอยลาเหล่านักเลงฟังเพลงยาว
เคยเยี่ยมเยือนเพื่อนเก่าเมื่อเราอยู่
มาหาสู่ดูแลทั้งแก่สาว
ยืมหนังสือลือเลื่องถามเรื่องราว
โอ้เป็นคราวเคราะห์แล้วต้องแคล้วกัน"
กุฎิสุนทรภู่สมัยนั้นน่าจะเป็นที่ชุมนุมของคนสนใจในบทกลอน ไปมาหาสู่สุนทรภู่อยู่เสมอ กุฎิสุนทรภู่คงเป็นที่ชุมนุมอ่านกลอนสุนทรภู่ เรื่องพระอภัยมณีบ้าง เรื่องลักษณวงศ์บ้าง เรื่องโคบุตรบ้าง บ้างก็มาไหว้วานให้แต่งสารเพลงยาวตอบ ท่านจึงบอกไว้ว่า "มาหาสู่ดูแลทั้งแก่สาว" ความดังของท่านนี่แหละที่ทำให้สุนทรภู่ไม่มีความสงบสุข เพราะมีคนไปมาหาสู่ และในขณะเดียวกันก็ย่อมมีคนอิจฉา ด้วยความเป็นกวีเอกของท่าน
"ฤดูร้อนก่อนเก่ากินข้าวแช่
น่าชมแต่เครื่องกับสำรับฉัน
ช่างทำเป็นช่อดอกจอกเป็นดอกจันทร์
งามจนชั้นกระชายทำเป็นจำปา"
เครื่องขบฉันที่บรรยายนี้เป็นฝีมือชาววังทั้งสิ้น ไม่ใช่ฝืมือชาวบ้าน เป็นฝีมือชาววังนำมาถวาย
มะม่วงดิบหยิบดูจึงรู้จัก
ช่างน่ารักรูปสัตว์เหมือนมัจฉา
ท่านพรรณนาต่อไปว่า
"ตรุษสงกรานต์ท่านแต่งเครื่องแป้งสด
ระรื่นรสรางเป็นพิมเสนกระสาย
น้ำกุหลาบอาบอุระแสนสบาย
ถึงคราวร้ายหายหอมให้ตรอมทรวง"
วันเข้าพรรษา
"เข้าวัสสามาทั่วทุกตัวคน
ถวายต้นไม้กระถางต่างต่างกัน
ดูกิ่งไม้ใบแซมติดแต้มแต่ง
ลูกดอกแผลงแกล้งประดิษฐ์ความคิดขยัน
พุ่มสีผึ้งถึงดีลิ้นจี่จันทร์
ต้นแก้วกรรณิกามีสารพัด"
ต้นไม้กระถางประดิษฐ์ คือต้นไม้ปลอมเป็นฝีมือของนางในรั้วในวังทั้งนั้น ไม่ใช่ของชาวบ้านธรรมดา
"เหมือนใบศรีมีงานท่านสนอม
เจิมแป้งหอมน้ำมันจันทร์ให้หรรษา
พอเสร็จงานท่านเอาลงในคงคา
ต้องลอยมาลอยไปเป็นใบตอง
เหมือนตัวเราเล่าก็พลอยเลื่อนลอยดับ
มิได้รับไทยทานดูงานฉลอง
โอ้ทองหยิบลิบลอยทั้งฝอยทอง
มิได้ครองไตรแพรเหมือนแต่เดิม"
สุนทรภู่ตอนเฟื่องฟูนั้น ฉันทองหยิบฝอยทองเครื่องขบฉันบริบูรณ์จากนางข้าหลวงในวัง แต่พอไปสุพรรณกลับมาก็ไม่ได้ฉันทองหยิบฝอยทอง ไตรแพรก็ไม่ได้ครองเหมือนเดิม เพราะทิ้งไว้ที่เมืองสุพรรณ
"ล้วนเรือใหญ่ใส่กระจาดย่ามบาตรพร้อม
ของคุณหม่อมมารดาเจ้าภาษี
ทั้งขุนนางต่างมาด้วยบารมี
ปีพาทย์ตีเต้นรำทุกลำเรือ"
คุณหม่อมมารดาเจ้าภาษี นี้คือ เจ้าจอมมารดาบาง เจ้าจอมมารดาบาง พระชายาในรัชกาลที ๓ เป็นมารดาของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ท่านค่อนข้างจะร่ำรวยเพราะเป็นเจ้าภาษี มาทำบุญที่วัดเทพธิดาซึ่งเป็นวัดที่ท่านอุปถัมภ์อยู่ มาทำบุญเดือนอ้ายงานทิ้งกระจาดหลวง และกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระธิดาของท่านก็ต้องเสด็จด้วย สุนทรภู่จึงได้เข้าเฝ้าเจ้านายพระองค์นี้ด้วย
เพลงยาวรำพรรณพิลาปนี้คือเพลงยาวที่ยาวที่สุดในบรรดาเพลงยาวสังวาสที่มีอยู่ในเมืองไทย สุนทรภู่ไม่ได้พรรณนาถึงนางฟ้าในเมือสวรรค์ทีไหนดอก พรรณนาถึงนางฟ้าในเมืองมนุษย์นี่เอง เพลงยาวรำพรรณพิลาปคือ เพลงยาวที่แสดงอารมณ์เพ้อฝันของสุนทรภู่ และเป็นหลักฐานเกี่ยวกับประวัติของสุนทรภู่อีกหลายอย่าง
(โปรดติดตามตอนต่อไป)