วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ชีวประวัติ พระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอนที่ ๘ ลักษณะคำกลอนสุนทรภู่


ลักษณะคำกลอนสุนทรภู่


     คำกลอนสุนทรภู่มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากคำกลอนของกวีอื่น (คำโคลงก็แตกต่างกับคำโคลงของกวีอื่น)  ถ้าเราศึกษาลักษณะคำกลอนสุนทรภู่อย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว จะเห็นลักษณะคำกลอนสุนทรภู่มีลักษณะเด่นเป็นพิเศษอยู่ ๑๒ ประการ

     ๑.หลั่งไหล
     ๒.ไว้สง่า
     ๓. ภาษาตลาด    
     ๔.สัมผัสพราว
     ๕.กล่าวความหลัง
     ๖. ฟังแจ่มแจ้ง
     ๗. แสดงอุปไมย
     ๘. ใช้คำตาย
     ๙. ระบายอารมณ์
     ๑๐.คำคมสุภาษิต
     ๑๑. แนวคิดของกวี
     ๑๒. ลีลาการเดินกลอน

     ๘.๑. หลั่งไหล
     คำกลอนสุนทรภู่มีลักษณะหลั่งไหลเหมือนน้ำไหล  ไม่ติดขัด ไม่สะดุด ไม่ตะกุกตะกัก ไม่ขาดสาย ไม่มีลักษณะกลอนพาไปหรือพยายามจะพากลอนไปอย่างฝืนๆ  เหมือนกวีที่ยังไม่ชำนาญในบทกลอน  แต่มีลักษณะพุ่งไปตรงจุดหมายให้เข้าใจความได้ชัดเจนฃ

    "แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์        มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
     ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด     ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน"

     ๘.๒. ไว้สง่า
     สุนทรภู่แต่งกลอนโอ่อ่า  ภูมิฐาน แบบครูกลอนครูกวี ไม่ไหว้ครู ไม่มีคำออกตัว  ไม่เคยถ่อมตัว ขึ้นต้นคำกลอนอย่างโอ่โถง

                                        "แต่ปางหลังครั้งว่างพระศาสนา
     เป็นปฐมสมมุตินิยายมา        ด้วยปัญญายังประวิงทั้งหญิงชาย
     ฉันชื่อภู่รู้เรื่องประจักษ์แจ้ง  จักสำแดงความประดิษฐ์คิดถวาย
     ตามสติริเริ่มเรื่องนิยาย         ให้เพริศพรายพริ้งเพราะเสนาะกลอน"

     ๘.๓. ภาษาตลาด
     ภาษากลอนของสุนทรภู่  เป็นภาษาชาวบ้านที่ใช้พูดกันอยู่  เป็นลักษณะกลอนตลาดแท้  ท่านไม่ใช้ภาษาสูงส่งหรือภาษษทางราชการ หรือภาษาผู้ดีอะไร  แม้คำน้ันจะพูดกันผิดๆ ท่านก็นำมาใช้  ท่านคุยเสียด้วยว่า คนที่จะแต่งกลอนตลาดได้ต้องเป็นสามัญชนอย่างท่าน  เจ้านายจะแต่งกลอนอย่างท่านไม่ได้  ทำให้พระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์ละครนอกเรื่อง สังข์ทอง  ใช้ภาษาชาวบ้านบ้าง  แต่ถ้าสังเกตุให้ดีก็เป็นภาษาชาวบ้านแบบผู้ดีพูดกัน  ไม่ใช่ภาษาแบบชาวบ้านที่ชาวบ้านพูดกัน   สุนทรภู่ถนัดภาษาชาวบ้านมากกว่า เพียงแต่ไม่ใช่ภาษาหยาบคายแบบครูแจ้ง  ครูเสภาเท่านั้น  

     คำกลอนสุนทรภู่เรียกได้ว่าเป็นกลอนตลาด  ไม่ใช่กลอนสุภาพแบบกลอนของกรมหลวงภูเนตรนิรนทร์ฤทธิ์  ลูกศิษย์ของท่านในนิราศอิเหนา  นั่นเป็นคำกลอนสุภาพ  

     "แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ     ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
     รู้สิ่งใดไม่สู่รู้วิชา                        รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี"

     ท่านใช้ภาษาชาวบ้านธรรมดาจนมีคนเข้าใจความหมายผิดไปในสมัยปัจจุบันว่า "รู้รักษาตัวรอด"  กลายเป็น "เอาตัวรอดคนเดียว"  หรือรู้มากเอาเปรียบคนอื่นไป   ที่จริงวิชาทุกอย่างในโลกนี้เรียนก็เพื่อ "รักษาตัวให้รอดปลอดภัยจากอันตรายและความบาปความชั่วทุกอย่าง"   แม้วิชาพระพุทธศาสนา ก็เป็นการศึกษาเพื่อเอาตัวให้รอดจากความชั่วร้ายทั้งสิ้น  การใช้ภาษาตลาดจนกระทั่งใช้คำที่ชาวบ้านพูดกันผิดๆ ก็นำมาใช้ นีแหละคือ ลักษณะคำกลอนของสุนทรภู่

     "ยกกระบัตรคัดช้อนทุกเช้าเย็น   เมียที่เป็นท่านผู้หญิงนั่งปิ้งปลา"

     คำกลอนในนิราศเมืองแกลงนี้เป็นตัวอย่างว่าท่านใช้คำผิดแบบภาษาชาวบ้าน   คือคำว่า "คัดช้อน"  คำว่า "คัด คือ คัดคันยอ"  ได้แก่การยกยอที่ตักกุ้งริมคลอง คำว่า "ช้อน"  คือใช้ตะแกรงช้อนกุ้ง  คำว่า "คัดช้อน"  คือ ยกยอและช้อนกุ้ง  คำนี้เป็นภาษาชาวบ้านแท้ๆ  คนที่ไม่เคยเห็นการยกยอและการช้อนกุ้ง ย่อมมองไม่เห็นภาพและไม่เข้าใจ  คำว่า "เมียที่เป็นท่านผู้หญิง"   นั่นคือ เมียหลวงยกกระบัตรเมืองแกลง  ยังไม่ใช้คุณหญิง   ไม่ได้เป็นท่านผู้หญิง  แต่ชาวบ้านเรียกยกย่องเช่นน้้น   ท่านก็เอามาเรียกบ้างว่า "เมียที่เป็นท่านผู้หญิง" นั่งปิ้งปลา   นี่คือภาษาชาวบ้านหรือภาษาตลาดที่ท่านใช้ในบทกลอน 

     ๘.๔ สัมผัสพราว
     คำกลอนสุนทรภู่มีลักษณะสัมผัสนอก สัมผัสใน สัมผัสอักษร สัมผัสสระหรือสัมผัสเสียง  สัมผัสซ้าย สัมผัสขวา แพรวพราวไปหมด บางทีท่านห่วงสัมผัสเสียจนยอมให้ความอ่อนไปก็มี  บางคนจึงตำหนิคำกลอนสุนทรภู่ว่าอ่อนเยิบยาบไป แม้แต่งโคลงก็มีเสียงสัมผัสด้วย  นิราศสุพรรณบุรีนั้นคือโคลงที่มีเสียงสัมผัสผิดกับโคลงของกวีอื่น จนคนติว่าท่านแต่งโคลงสู้นิราศนรินทร์ไม่ได้  แท้จริงแล้วเป็นลักษณะพิเศษของท่านที่มีสัมผัสพราว  จนบางทีก็ถือเสียงเป็นสำคัญ จนทำให้ความอ่อนไป

     "อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ ประเสริฐสุดซ่อนใส่ไว้ในฝัก
     สงวนคมสมนึกใครฮึกฮัก           จึงค่อยชักเชือดพ้นให้บรรลัย"

     ๘.๕. กล่าวความหลัง 
     ชีวิตสุนทรภู่มีความรักความหลังอันฝังใจ  การแต่งกลอนทุกเรื่องท่านจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวพาดพิงถึงเรื่องความรักความหลัง  แม้แต่การแต่งสุภาษิตน่าจะมีแต่คำกลอนล้วนๆ ตรงไปตรงมา  ท่านยังแวะกล่าวถึงความหลังจนได้  "ฟ้าอาภรณ์แปลกพักตร์อาลักษณ์เดิม"  "อันหม่อมฉันที่ดีและชั่ว  ถึงลับตัวแต่ชื่อเขาลือฉาว เป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว เขมรลาวลือเลื่องถึงเมืองละคร"    ที่ท่านแวะกล่าวถึงความรักความหลังและความในใจได้คล่องเช่นนี้ ก็เพราะท่านเป็นกวีรุ่มรวยคำ  คิดคำกลอนได้คล่องๆปาก  นึกจะว่าอะไรก็ว่าได้  แล้วก็ต่อกลอนได้อย่างแนบเนียนเชี่ยวชาญ  ซึ่งกวีอื่นทำไม่ได้ คำกลอนสุนทรภู่จึงมีความรักความหลังอยู่ทุกเรื่องเป็นลักษณะพิเศษทีเดียว  อย่างกลอนนิราศอิเหนาน้ันเงียบเหงาที่สุด ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีความรักความหลังเลย  อย่างนี้ตัดออกไปได้ว่าไม่ใช่ของสุนทรภู่  ถ้าเป็นนิราศของท่านต้องมีคำเปรียบเปรยว่าความรักของอิเหนานี้ถึงจะลึกซึ้งอย่างไรก็ไม่เท่าความรักของท่าน  หรือกล่าวพาดพิงแวะเวียนถึงตัวท่านจนได้  คำกลอนของสุนทรภู่จะต้องมีเรื่องความหลังของท่านแฝงอยู่  แม้แต่แต่งบทเสภา  ยังมีกล่าวถึงผ้าพระราชทาน เป็นต้น  คือเอาเรื่องของท่านเข้ามาแฝงไว้ในคำกลอน

     ๘.๖. ฟังแจ่มแจ้ง
     คำกลอนสุนทรภู่ว่าแจ่มแจ้ง กระทัดรัด ชัดเจน ไม่พร่ามัว เพราะท่านพิถีพิถันในการใช้ถ้อยคำ   ท่านเป็นกวีทีรุ่มรวยคำ จึงเลือกใช้คำได้อย่างเหมาะเจาะ 

     "ถึงคลองนามสามสิบสองคดคุ้ง   ขวากวุ้งเวียนซ้ายมาฝ่ายขวา
     ให้หนูน้อยคอยนับในนาวา           แต่หนึ่งมาถ้วยสามสิบสองคด
     อันคดอื่นหมื่นคดกำหนดแน่         เว้นเสียแต่ใจมนุษย์สุดกำหนด
     ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด       ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน"

     ๘.๗. แสดงอุปไมย
      สุนทรภู่ถนัดมากในเชิงอุปไมยโวหาร  คือกล่าวคำนี้ขึ้นเป็นหลักก่อน แล้วยกเอาสิ่งอื่นมาเปรียบเทียบ  ให้คำที่กล่าวนี้มีน้ำหนัก  มองเห็นภาพพจน์หรือเห็นเหตุผล  สุนทรภู่ไม่เคยใช้อุปมาโวหาร  คือยกเอาสิ่งนี้ไปเปรียบเทียบสิ่งอื่น ดังเช่น สุภาษิตสอนหญิงของนายภู่ เป็นประเภทอุปมาโวหาร  แต่สุนทรภู่มักเป็นอุปไมยโวหารอันกว้างขวาง ซึ่งแต่งยากกว่า แต่แสดงภูมิของกวีที่เหนือกวี

     "ประเพณีตีงูให้หลังหัก            มันก็มักทำร้ายเมื่อภายหลัง
     จระเข้ใหญ่ไปถึงน้ำกำลัง         อันเสือขังเข้าถึงดงก็คงร้าย
     อันแม่ทัพจับได้แล้วไม่ฆ่า        ต่อภายหน้าศึกจะใหญ่ขึ้นใจหาย
     ต้องตำรับจับให้มั่นคั้นให้ตาย  จะทำภายหลังลำบากครัน"

     นี่คือ ตัวอย่างอุปไมยโวหารอันกว้างขวางของสุนทรภู่

     ๘.๘ ใช้คำตาย
     สุนทรภู่ถนัดมากในการใช้คำตายลงท้ายกลอน   ใช้ได้ไม่ติดขัดเก้อเขิน  แสดงความเป็นกวีที่ยอดเยี่ยม  หาคนเทียบไม่ได้   กวีมักอวดฝึปากกันที่ใช้คำตายนี่แหละ  เพราะแต่งยาก  การเล่นสักวาต่อกลอนกัน นักสักวามักจะลงท้ายคำตายทิ้งไว้ให้คนแต่งต่อพ่ายแพ้  แต่สุนทรภู่นั้นใช้คำตายเมื่อไร  จะได้ฟังคำกลอนดีๆ เมื่อน้ัน

     " ซึ่งครั้งนี้พี่พาเจ้ามาไว้           หวังจะได้สนทนาวิสาสะ
     ให้น้องหายคลายเคืองเรื่องธุระ แล้วก็จะรักกันจนวันตาย"

     กวีที่ใช้คำตายลงท้ายกลอน  ใช้คำสุภาพ และคำไพเราะอย่างนี้ เราจะหาคนแต่งได้ยากมาก  เกือบจะไม่มีตัวเอาเลยทีเดียว ใช้คำว่า "พี่พาเจ้ามา" แทนที่จะว่า "พี่จับเจ้ามา" กับแม่ทัพเชลยศึก  "หวังจะได้สนทนาวิสาสะ ให้น้องหายคลายเคืองเรื่องธุระ แล้วก็จะรักกันจนวันตาย" คำอย่างนี้เป็นวาจาการทูตชั้นเยี่ยม  นี่เป็นลักษณะการใช้คำตายของสุนทรภู่  ซึ่งกวีอื่นก็พยายามใช้ เช่น นายภู่ ธรรมทานาจารย์ แต่คำกลอนก็ตะกุกตะกักเต็มที เพราะฝีมือคนละชั้น 

     ๘.๙ ระบายอารมณ์
     กวีบางคนแต่งกลอนได้แต่เป็นกลอนที่แข็งทื่อ  ไม่อ่อนหวานและไม่มีอารมณ์  กวีบางท่านแต่งกลอนได้ไพเราะทางอักษรศาสตร์ แต่ขาดอารมณ์กวี  กวีบางท่านแต่งกลอนไพเราะดีมีอารมณ์ แต่อารมณ์ของกวีน้ันต่างกัน  คำกลอนสุนทรภู่นั้นอบอวลด้วยอารมณ์ศิลปิน  ทำให้มีชีวิตชีวา เข้าใจคน กินใจคน เพราะระบายอารมณ์ที่แท้จริงออกมา  ไม่ใช่แกล้งเสแสร้งว่าจนฟังดูรู้สึกว่าดัดจริตไป  สุนทรภู่ฝากอารมณ์ไว้ในคำกลอนเสมอ  อารมณ์สุนทรภู่ คืออารมณ์รัก อารมณ์หลง อารมณ์สงสาร อารมณ์น้อยใจในโชคชะตาของตนเอง  
     
     "นิจจาเอ๋ยกายเราก็เท่านี้              ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย
     ล้วนหนาเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ  เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกา"

     นอกจากจะอบอวลอยู่ด้วยอารมณ์  สุนทรภู่ยังเข้าใจพูดเปรียบเทียบให้มองเห็นภาพพจน์ด้วย เราจึงมองเห็นความทุกข์ ๕๐ เปอร์เซนต์ของสุนทรภู่ เหมือนว่ามีความทุกข์ ๑๐๐ เปอร์เซนต์ไปอย่างคำกลอนข้างบนนี้  ทำให้เราแลเห็นว่าสุนทรภู่ตกยากเสียจนเที่ยวเร่ร่อนอยู่อาศัยเรือลอย  ซึ่งที่จริงท่านก็บวชอยู่วัดหลวงตลอดมาถึง ๔ วัด มีเจ้านายอุปถัมภ์มาโดยตลอด  วัดอรุณ วัดพระเชตุพนฯ วัดราชบูรณะ วัดเทพธิดา   วัดเจ้านายอุปถัมภ์มาโดยตลอด  แต่อารมณ์ศิลปินนั่นแหละประกอบกับช่างเปรียบเปรย  ทำให้บทกลอนของท่านอบอวลอยู่ด้วยอารมณ์ของศิลปิน  เหมือนนักพูดนักแสดงละครสวมบทบาทเข้าถึงอารมณ์เต็มที่ เล่นเอาคนฟังเคลิบเคลิ้มไปนึกว่าเรื่องจริง  ลักษณะคำกลอนสุนทรภู่เป็นเช่นนั้น

     ๘.๑๑ คำคมสุภาษิต
     กวีเป็นที่รวมของสุภาษิต  คำกลอนของสุนทรภู่  จะสอดแทรกอยู่ด้วยคำสุภาษิตเสมอ   ทำให้ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์ คำคมสุภาษิตของท่านมักจะกินใจคน  เพราะท่านช่างสังเกตุความจริงของชีวิต  แล้วผูกเป็นถ้อยคำขึ้นอย่างกระทัดรัด สอดคล้องกันทั้งถ้อยคำสำนวน  แต่งเป็นคำกลอนขึ้นอย่างไพเราะ

   "อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก  แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย
อันเจ็บอื่นหมื่นแสนยังแคลนคลาย  เจ็บจนตายก็เพระเหน็บให้เจ็บใจ"

     ๘.๑๒ แนวคิดของกวี
     แนวคิดของกวีย่อมแตกต่างกันไปตามประสบการณ์ของชีวิต  การศึกษา และการสังคมของกวี รวมทั้งโชคชะตาของกวีด้วย  แนวคิดของสุนทรภู่คือความไม่แน่นอน  ความไม่ซื่อตรงของมนุษย์ และวาจาของคนเรานั้นก่อให้เกิดคุณและโทษได้   ช่างพูดไม่มีใครเขาต้องการ เขาต้องการแต่ช่างฝีมือ 
"จะรักชังทั้่งสิ้นเพราะสิ้นพลอด  เป็นอย่างยอดแล้วพระองค์อย่าสงสัย
อันช่างปากยากที่จะมีใคร          เขาชอบใช้ช่างมือออกอื้ออึง"

"จงโอบอ้อมถ่อมถดพระยศศักดิ์ ถ้าสูงนักแล้วก็เขาเข้าไม่ถึง 
ครั้นต่ำนักมักจะผิดคิดรำพึง       พอก้ำกึ่งกลางนั้นขยันนัก" 

     ๘.๑๒ ลีลาการเดินกลอน
     คำกลอนนั้นคือความคิดของกวี  คำกลอนคือมโนธรรมของกวี คำกลอนจึงบอกความรู้สึกนึกคิดที่เป็น อหังการ มมังการ ของกวี ที่รู้สึกอยู่ในจิตใต้สำนึกว่าตนเป็นตัวกู ของกู อยู่อย่างไร  กวีบางคนก็รู้สึกว่าตัวยังต่ำต้อย  ไม่ค่อยเก่งกาจสามารถอะไรนัก  ไม่มั่นใจในตัวเองจึงต้องไหว้ครู แต่งกลอนตามแบบครู เดินกลอนไปตามแบบแผน มีการถ่อมตัวจากใจจริง  ยึดเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครูอาจารย์เป็นที่พึ่ง  แต่สุนทรภู่นั้นมีอหังการ มมังการสูงในทางบทกลอน จึงว่ากลอนอย่างโอ่โถง  ไว้สง่า ภาคภูมิ เชื่อมั่นในตัวเองอย่างเต็มที่  แต่งกลอนฉาดฉาน เดินกลอนอย่างสง่า

                                                  "สุุนทรทำคำประดิษฐ์นิมิตรฝัน
  พึ่งพบเห็นเป็นวิบัติมหัศจรรย์    จึงจดวันเวลาด้วยอาวรณ์
  แต่งไว้เหมือนเตือนใจจะให้คิด ในนิมิตรเมื่อภวังค์วิสังหรณ์
  เดือนแปดจันทร์ทิวาเวลานอน   เจริญพรภาวนาตามบาลี"

     ไม่มีใครเดินกลอนได้สง่าเหมือนสุนทรภู่เลย  จะกล่าวอะไรก็กล่าวฉาดฉาน  แสดงความรู้ประกอบไว้อย่างผ่าเผยไม่มีอ้อมค้อม

 " ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า   พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี
ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี    ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว"

     นิราศภูเขาทองนี้แต่งเมื่อ พ.ศ.๒๓๗๑ ว่าพระพุทธเลิศหล้านภาลัยพระราชทานนามเมืองปทุมธานี นิราศเมืองเพชร ก็กล่าวถึงพระพุทธเลิศหล้านภาลัยว่า 

   "สาธุสะพระนอนสิขรเขา           พระพุทธเจ้าหลวงสร้างแต่ปางหลัง
   ยี่สิบวาฝากั้นเป็นบัลลังก์           ดูเปล่งปลั่งปลื้มใจกระไรเลย"

     นิราศเมืองเพชรแต่งเมื่อ พ.ศ.๒๓๗๐ กล่าวว่าพระพุทธไสยาสน์ที่ข้างเขาวัง พระพุทธเลิศหล้าฯ สร้างไว้ ยาวยี่สิบวา แสดงความรู้ไว้ชัดเจนเป็นหลักฐานยืนยันความจริงได้  นี่คือลักษณะคำกลอนของสุนทรภู่  ที่บอกด้วยความมั่นใจไม่อ้อมแอ้ม  ซึ่งกวีอื่นจะไม่กล่าวถึงประวัติโบราณสถานวัตถุ  หรือประวัติบ้านเมืองเหมือนสุนทรภู่  ลักษณะนิราศของสุนทรภู่ เป็นประเภท"บรรยายโวหาร"  เหมือนสารคดีท่องเที่ยว แต่งไว้เป็นคำกลอน ไม่ใช่ประเภท "พรรณาโวหารไ  เหมือนนิราศนรินทร์ ทึ่พรรณาแต่ความรักความอาลัยอย่างเดียว ไม่บรรยายภูมิประเทศเหตุการณ์อะไรเลย  
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
     






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น