๙. ลักษณะนิราศสุนทรภู่
ถ้าเราศึกษาวรรณคดีอย่างชนิดที่เรียกว่า วรรณคดีวิจารณ์ วรรณคดีวิจัย วรรณคดีวิเคราะห์ สามอย่างนี้ให้ครบถ้วนกระบวนความของการศึกษาแล้ว เราจะเห็นลักษณะคำกลอนนิราศของสุนทรภู่อย่างชัดแจ้ง ๕ ประการคือ
๑. โวหารกวี
๒. คำขึ้นต้น
๓. ความหลัง
๔. ภาษาตลาด
๕. สัมผัสใน
ขออธิบายขยายความให้เข้าใจตรงกันคือ
๙.๑. โวหารกวี
กวีหรือนักประพันธ์นั้นมักจะถนัดในการใช้โวหารต่างกัน ทั้งนี้สุดแล้วแต่ปัญญาอารมณ์และความชัดเจนของกวี โวหารมีอยู่ ๖ อย่างคือ
๑. พรรณนาโวหาร โวหารในการพรรณนาความในใจออกมา
๒. บรรยายโวหาร โวหารในการบรรยายภาพพจน์ให้เห็นสิ่งภายนอก
๓. เทศนาโวหาร โวหารในการแสดงเหตุผลต้นปลายให้เห็นจริง
๔. สาธกโวหาร โวหารในการยกแบบอย่างขึ้นมาแสดงให้เห็น
๕. อุปมาโวหาร โวหารในการยกเอาสิ่งนี้ไปเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น
๖.อุปมาโวหาร โวหารในการยกเอาสิ่งนี้ไปเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น
๗.อุปไมยไวหาร โวหารในการยกเอาสิ่งอื่นมาเปรียบเทียบกับสิ่งนี้
นิราศสุนทรภู่ทุกเรื่อง คือบรรยายโวหาร บรรยายให้เห็นภูมิประเทศบ้านเมิองไปตลอดการเดินทาง เป็นแบบนิราศสมัยใหม่ซึ่งมีผู้เอาแบบอย่างต่อมาจนทุกวันนี้ ผิดกับนิราศนรินทร์อย่างชัดเจน เพราะนิราศนรินทร์นั้นเป็นนิราศพรรณนาโวหาร รำพันถึงแต่ความรักความอาลัยอย่างเดียว อ่านตั้งแต่ต้นจนจบก็มืดมนเต็มทีในเรื่องการเดินทางไปอย่างไร สภาพบ้านเมืองเป็นอย่างไร มีการเคลือนไหวอย่างไรมองไม่เห็นภาพเลย ทั้งนี้เพราะกวีผู้แต่งเรื่องนี้ ท่านเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน คือ กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ ท่านเดินทางไปท่ามกลางข้าราชบริพารแวดล้อม ไม่ได้สัมผัสกับผู้คนรายทาง ไม่ค่อยได้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมเหมือนอย่างสุนทรภู่ ทำให้นิราศสองเรื่องคือ นิราศสุพรรณกับนิราศนรินทร์แตกต่างกันโดยโวหารกวี
๙.๒ คำขึ้นต้น
คำขึ้นต้นนิราศก็แตกต่างกัน คำขึ้นต้นนิราศของสุนทรภู่ จะขึ้นต้นตัดตรงแน่วออกไปเลย ไม่มีอืดอาดล่าช้า ไม่มีพิธีรีตอง แต่เป็นลักษณะโอ่อ่า ลีลาแบบครูกวีอยู่ในเชิง เรียกว่าเป็นมาดของครูกวี ดังตัวอย่างต่อไปนี้
๑. นิราศเมืองแกลง (พ.ศ.๒๓๕๐)
๐ โอ้สังเวชวาสนานิจจาเอ๋ย
จะมีคู่มิได้อยู่ประคองเชย
ต้องละเลยดวงใจไวไกลตา
๒. นิราศพระบาท(พ.ศ.๒๓๕๐)
๐ โอ้อาลัยใจหายไม่วายห่วง
ดั่งศรศักดิ์ปักซ้ำระกำทรวง
เสียดายดวงจันทราพงางาม
๓.นิราศเมืองเพชร(พ.ศ.๒๓๗๐)
๐ โอ้รอนรอนอ่อนแสงพระสุริยฉาน
ท้องฟ้าคล้ำน้ำค้างลงพร่างพราย
พระพายชายชื่นเชยรำเพยพาน
๔. นิราศภูเขาทอง (พ.ศ.๒๓๗๑)
๐ เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา
รับกฐินภิญโญโมทนา
ชุลีลาลงเรือเหลืออาลัย
๕. นิราศประปธม (พ.ศ.๒๓๘๕)
๐ ถวิลวันจันทร์ทิวาขึ้นห้าค่ำ
ลงนาวาคลาเคลื่อนออกเลื่อนลำ
พอเสียงย่ำยามสองกลองประโคม
๖. นิราศสุพรรณ (พ.ศ.๒๓๘๔)
๐ เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว
จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างฟ้า
ยามดึกนึกหนาวหนาว เขนยแนบ แอบเอย
เย็นฉ่ำน้ำค้างย้อยเยือกฟ้า พาหนาว
๗. เพลงยาวรำพรรณพิลาป(พ.ศ.๒๓๘๕)
๐ สุนทรทำคำประดิษฐ์นิมิตรฝัน
พึ่งพบเห็นเป็นวิบัติมหัศจรรย์
จึงจดวันเวลาด้วยอาวรณ์
๘. เพลงยาวโลกนิติคำกลอน (พ.ศ.๒๓๘๙)
๐ มานี่แน่เจ้าหนูดูสารสอน
จงจำไว้ไปข้างหน้าจะถาวร
เหมือนอาภรณ์เครื่องประดับสำหรับกาย
๙. เพลงยาวถวายโอวาท(พ.ศ.๒๓๗๖)
๐ ควรมิควรจวนจะพรากจากสถาน
จึงเขียนความตามใจอาลัยลาน
ขอประทานโทษาอย่าราคี
๑๐. เพลงยาวสวัสดิรักษา(พ.ศ. ๒๓๘๔)
๐ สุนทรทำคำสวัสดิรักษา
ถวายพระหน่อบพิตรอิศรา
ตามพระบาลีเฉลิมให้เพิ่มพูน
ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า สุนทรภู่ไม่ได้ขึ้นต้นคำกลอนว่า "นิราศ" เหมือนคนอื่น เพราะสมัยนั้นยังเรียกนิราศว่า "เพลงยาวนิราศ" (เพลงยาวที่จากไป) เรียกคำกลอนที่แต่งอยู่กับที่ว่า "เพลงยาวสังวาส" เช่น เพลงยาวทีแต่งโต้ตอบกันระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาว ถ้าแต่งสุภาษิตคำกลอน เรียกว่า "เพลงยาวสุภาษิต" นิราศที่ขึ้นต้นคำกลอนว่า "นิราศ" เช่น "นิราศร้างห่างเหเสน่หา" หรือ "นิราศรักอาลัยอาลัยหวน" อย่างนี้ไม่ใช่ฝีปากสุนทรภู่ เพราะขาดลักษณะโอ่อ่าไว้สง่า และคำว่า "นิราศ" พึ่งใช้กันรุ่นหลังสุนทรภู่ แม้นายมีแต่งนิราศสมัยสุนทรภู่ ก็ไม่ขึ้นต้นว่า "นิราศ" มหาฤกษ์แต่งนิราศพระปธมเรื่องแรก ก็ไม่ขึ้นต้นว่า "นิราศ" ขึ้นต้นแบบสุนทรภู่ว่า "มหาฤกษ์จะนิวาสสวาทศรี ไปบังคมพระปฐมเจดีย์" นิราศที่ขึ้นต้นว่า"นิราศ"นั้นตัดออกไปได้ว่า ไม่ใช่ของสุนทรภู่
๙.๓ ความหลัง
นิราศของสุนทรภู่ทุกเรื่องจะกล่าวถึงความรักความหลัง อดอยู่ไม่ได้เลยเป็นลักษณะพิเศษ นิราศเมืองแกลง นิราศพระบาท นิราศเมืองเพชร นิราศภูเขาทอง นิราศพระปธม นิราศสุพรรณ ล้วนแต่กล่าวถึงความรักความหลังทุกเรื่อง แม้แต่เพลงยาวถวายโอวาท เพลงยาว
สวัสดิรักษา ก็กล่าวไว้พอรู้ว่าท่านสุนทรภู่แต่ง "สุนทรทำคำสวัสดิรักษา" และ "ควรมิควรจวนจะพรากจากสถาน" นิราศที่ไม่กล่าวถึงความรักความหลังของกวีอย่างนิราศอิเหนา จึงตัดทิ้งไปได้ว่าไม่ใช่นิราศของสุนทรภู่
๙.๔ ภาษาตลาด
สุนทรภู่ใช้ภาษาธรรมดา ใช้ภาษาตลาดเป็นพื้น แม้คำที่ใช้พูดกันผิดๆ สุนทรภู่ก็ใช้ เช่น ยาอายุวัฒนะ ก็ใช้ว่า ยาอายุวันชนะ เมื่ออ่านนิราศสุนทรภู่ทุกเรื่อง จึงเห็นชัดว่าท่านใช้ภาษาชาวบ้าน ภาษาตลาดเป็นพี้น แต่พออ่านนิราศอิเหนากลับเป็นภาษาสูง เป็นภาษาผู้ดีไป เพราะนิราศอิเหนานั้น กรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิ์ พระราชโอรสรัชกาลที่ ๒ ทรงนิพนธ์ไว้ ไม่ใช่ของสุนทรภู่ นักอ่านจะต้องใช้ความสังเกตุเรื่องภาษาให้ดีด้วย
๙.๕. สัมผัสใน
คำกลอนสุนทรภู่มีลักษณะพิเศษคือ มีสัมผัสใน ซึ่งกลอนสมัยนั้นไม่ถือเคร่งนัก มีแต่สัมผัสนอก หรือสัมผัสท้ายคำกลอนเป็นสำคัญ แต่สุนทรภู่เพิ่มสัมผัสในขึ้น คำกลอนของสุนทรภู่เป็นกลอนแปดแท้ ไม่ใช่มี ๗ คำ หรือ ๙ คำ เหมือนกลอนแต่ก่อน เช่นกลอนเสภามี ๙ คำก็มี กลอนบทละครนอกมี ๗ คำก็มี แต่กลอนสุนทรภู่จะมี ๘ คำ สัมผัสในสัมผัสนอก สัมผัสซ้ายสัมผัสขวา สัมผัสอักษร สัมผัสเสียงหรือสัมผัสสระ มีแพรวพราวไปหมด เพิ่มควาไพเราะเมื่ออ่านทำนองเสนาะ (ซึ่งคนโบราณอ่านกลอนท่านอ่านออกเสียงเป็นทำนองเสนาะทั้งสิ้น) กลอนของสุนทรภู่จึงฟังไพเราะมีจังหวะจะโคน ติดหู ติดใจคน คนจึงนิยมกลอนสุนทรภู่กันมา นักกวีก็มาเอาอย่างสุนทรภู่ แม้แต่คำโคลงของท่านก็มีสัมผัสด้วย
๐ ยลย่านบ้านบุตั้ง ดีขัน
ขุกคิดเคยชมจันทร์ แจ่มฟ้า
ยามยากหากปันกัน กินซึก ฉลึกแฮ
มีคู่ชูชื่นหน้า นุชปลื้มลืมเดิม
๐ โคกเขียวโขดคุ่มขึ้น เคียงเคียง
ร่มรื่นรุกข์รังเรียง เรียบร้อย
โหมหัดหิ่งหายเหียง เห็ดหาด แห้วผล
ยางใหญ่ยอดยื่นย้อย โยกโย้โยนเยน
ลูกศิษย์สุนทรภู่ก็แต่งโคลงมีสัมผัสในเหมือนครู คือกรมพระยาบำราบปรปักษ์ (เจ้าฟ้ามหามาลา ต้นราชสกุล มาลากุล) แต่งโคลงทวาทศมาส มีสัมผัสใน แต่ไม่สัมผัสแพรวพราวเหมือนสุนทรภู่
สุภาษิตสอนหญิง ที่เดิมเรียกกันว่า "เพลงยาวสุภาษิตไทย" ซึ่งสัมผัสกระโดดตะกุกตะกัก บางตอนบางประโยคก็ขาดสัมผัสไปเลย อย่างนั้นไม่ใช่กลอนสุนทรภู่
การศึกษาลักษณะกลอนนิราศสุนทรภู่ จะต้องใช้ความสังเกตุโดยละเอียด โดยเฉพาะจะต้องเป็นกวี แต่งกลอนชำนาญพอสมควร จึงจะเข้าใจอรรถรสคำกลอนสุนทรภู่ ว่าผิดแปลกแตกต่างจากคำกลอนของกวีอื่นอย่างไร เหมือนนักดนตรีจึงจะรู้ฝีมือนักดนตรีด้วยกัน ถ้าไม่ใช่นักดนตรีก็ไม่รู้จัก "ทาง"ของดนตรี ฉันใดก็ฉันน้ัน ข้าพเจ้าเคยแต่งนิราศมากกว่า ๒๕ เรื่อง จึงพอรู้ว่า "ลีลา ปัญญา อารมณ์" ของกวีคนไหนเป็นอย่างไร เพราะลีลาปัญญาอารมณ์ของกวีแต่ละคนไม่เหมือนกัน แม้จะแต่งกลอนในเรื่องเดียวกันก็ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น "นครกายคำกลอน" ของกวี ๒ คน คือของหมื่นพรหมสมพักศร (มี มีระเสน) กับของนายภู่ จุลละภมร แต่งในยุคสมัยเดียวกันแต่ลีลา ปัญญา อารมณ์ของกวีอันเกิดจากวิญญาณของกวีทั้งสองคนนี้แตกต่างกัน ของนายภู่ จุลละภมร สู้ของนายมี มีระเสนไม่ได้เลย คนที่ไม่ใช่นักกวีจะมองไม่เห็นความแตกต่าง ดังเช่นนักกวีอ่านนิราศอิเหนากับนิราศเมืองเพชรจะไม่เห็นความแตกต่าง จึงว่าเป็นของกวีคนเดียวกัน แต่คนที่เป็นกวีเคยแต่งนิราศมาแล้วจะรู้อรรถรสได้ทันทีว่าลีลา ปัญญา อารมณ์ของกวีที่แต่งนั้นต่างกันทั้งสองเรื่อง รู้ได้ทันทีว่าเป็นของกวีคนละคน
๒. นิราศพระบาท(พ.ศ.๒๓๕๐)
๐ โอ้อาลัยใจหายไม่วายห่วง
ดั่งศรศักดิ์ปักซ้ำระกำทรวง
เสียดายดวงจันทราพงางาม
๓.นิราศเมืองเพชร(พ.ศ.๒๓๗๐)
๐ โอ้รอนรอนอ่อนแสงพระสุริยฉาน
ท้องฟ้าคล้ำน้ำค้างลงพร่างพราย
พระพายชายชื่นเชยรำเพยพาน
๔. นิราศภูเขาทอง (พ.ศ.๒๓๗๑)
๐ เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา
รับกฐินภิญโญโมทนา
ชุลีลาลงเรือเหลืออาลัย
๕. นิราศประปธม (พ.ศ.๒๓๘๕)
๐ ถวิลวันจันทร์ทิวาขึ้นห้าค่ำ
ลงนาวาคลาเคลื่อนออกเลื่อนลำ
พอเสียงย่ำยามสองกลองประโคม
๖. นิราศสุพรรณ (พ.ศ.๒๓๘๔)
๐ เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว
จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างฟ้า
ยามดึกนึกหนาวหนาว เขนยแนบ แอบเอย
เย็นฉ่ำน้ำค้างย้อยเยือกฟ้า พาหนาว
๗. เพลงยาวรำพรรณพิลาป(พ.ศ.๒๓๘๕)
๐ สุนทรทำคำประดิษฐ์นิมิตรฝัน
พึ่งพบเห็นเป็นวิบัติมหัศจรรย์
จึงจดวันเวลาด้วยอาวรณ์
๘. เพลงยาวโลกนิติคำกลอน (พ.ศ.๒๓๘๙)
๐ มานี่แน่เจ้าหนูดูสารสอน
จงจำไว้ไปข้างหน้าจะถาวร
เหมือนอาภรณ์เครื่องประดับสำหรับกาย
๙. เพลงยาวถวายโอวาท(พ.ศ.๒๓๗๖)
๐ ควรมิควรจวนจะพรากจากสถาน
จึงเขียนความตามใจอาลัยลาน
ขอประทานโทษาอย่าราคี
๑๐. เพลงยาวสวัสดิรักษา(พ.ศ. ๒๓๘๔)
๐ สุนทรทำคำสวัสดิรักษา
ถวายพระหน่อบพิตรอิศรา
ตามพระบาลีเฉลิมให้เพิ่มพูน
ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า สุนทรภู่ไม่ได้ขึ้นต้นคำกลอนว่า "นิราศ" เหมือนคนอื่น เพราะสมัยนั้นยังเรียกนิราศว่า "เพลงยาวนิราศ" (เพลงยาวที่จากไป) เรียกคำกลอนที่แต่งอยู่กับที่ว่า "เพลงยาวสังวาส" เช่น เพลงยาวทีแต่งโต้ตอบกันระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาว ถ้าแต่งสุภาษิตคำกลอน เรียกว่า "เพลงยาวสุภาษิต" นิราศที่ขึ้นต้นคำกลอนว่า "นิราศ" เช่น "นิราศร้างห่างเหเสน่หา" หรือ "นิราศรักอาลัยอาลัยหวน" อย่างนี้ไม่ใช่ฝีปากสุนทรภู่ เพราะขาดลักษณะโอ่อ่าไว้สง่า และคำว่า "นิราศ" พึ่งใช้กันรุ่นหลังสุนทรภู่ แม้นายมีแต่งนิราศสมัยสุนทรภู่ ก็ไม่ขึ้นต้นว่า "นิราศ" มหาฤกษ์แต่งนิราศพระปธมเรื่องแรก ก็ไม่ขึ้นต้นว่า "นิราศ" ขึ้นต้นแบบสุนทรภู่ว่า "มหาฤกษ์จะนิวาสสวาทศรี ไปบังคมพระปฐมเจดีย์" นิราศที่ขึ้นต้นว่า"นิราศ"นั้นตัดออกไปได้ว่า ไม่ใช่ของสุนทรภู่
๙.๓ ความหลัง
นิราศของสุนทรภู่ทุกเรื่องจะกล่าวถึงความรักความหลัง อดอยู่ไม่ได้เลยเป็นลักษณะพิเศษ นิราศเมืองแกลง นิราศพระบาท นิราศเมืองเพชร นิราศภูเขาทอง นิราศพระปธม นิราศสุพรรณ ล้วนแต่กล่าวถึงความรักความหลังทุกเรื่อง แม้แต่เพลงยาวถวายโอวาท เพลงยาว
สวัสดิรักษา ก็กล่าวไว้พอรู้ว่าท่านสุนทรภู่แต่ง "สุนทรทำคำสวัสดิรักษา" และ "ควรมิควรจวนจะพรากจากสถาน" นิราศที่ไม่กล่าวถึงความรักความหลังของกวีอย่างนิราศอิเหนา จึงตัดทิ้งไปได้ว่าไม่ใช่นิราศของสุนทรภู่
๙.๔ ภาษาตลาด
สุนทรภู่ใช้ภาษาธรรมดา ใช้ภาษาตลาดเป็นพื้น แม้คำที่ใช้พูดกันผิดๆ สุนทรภู่ก็ใช้ เช่น ยาอายุวัฒนะ ก็ใช้ว่า ยาอายุวันชนะ เมื่ออ่านนิราศสุนทรภู่ทุกเรื่อง จึงเห็นชัดว่าท่านใช้ภาษาชาวบ้าน ภาษาตลาดเป็นพี้น แต่พออ่านนิราศอิเหนากลับเป็นภาษาสูง เป็นภาษาผู้ดีไป เพราะนิราศอิเหนานั้น กรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิ์ พระราชโอรสรัชกาลที่ ๒ ทรงนิพนธ์ไว้ ไม่ใช่ของสุนทรภู่ นักอ่านจะต้องใช้ความสังเกตุเรื่องภาษาให้ดีด้วย
๙.๕. สัมผัสใน
คำกลอนสุนทรภู่มีลักษณะพิเศษคือ มีสัมผัสใน ซึ่งกลอนสมัยนั้นไม่ถือเคร่งนัก มีแต่สัมผัสนอก หรือสัมผัสท้ายคำกลอนเป็นสำคัญ แต่สุนทรภู่เพิ่มสัมผัสในขึ้น คำกลอนของสุนทรภู่เป็นกลอนแปดแท้ ไม่ใช่มี ๗ คำ หรือ ๙ คำ เหมือนกลอนแต่ก่อน เช่นกลอนเสภามี ๙ คำก็มี กลอนบทละครนอกมี ๗ คำก็มี แต่กลอนสุนทรภู่จะมี ๘ คำ สัมผัสในสัมผัสนอก สัมผัสซ้ายสัมผัสขวา สัมผัสอักษร สัมผัสเสียงหรือสัมผัสสระ มีแพรวพราวไปหมด เพิ่มควาไพเราะเมื่ออ่านทำนองเสนาะ (ซึ่งคนโบราณอ่านกลอนท่านอ่านออกเสียงเป็นทำนองเสนาะทั้งสิ้น) กลอนของสุนทรภู่จึงฟังไพเราะมีจังหวะจะโคน ติดหู ติดใจคน คนจึงนิยมกลอนสุนทรภู่กันมา นักกวีก็มาเอาอย่างสุนทรภู่ แม้แต่คำโคลงของท่านก็มีสัมผัสด้วย
๐ ยลย่านบ้านบุตั้ง ดีขัน
ขุกคิดเคยชมจันทร์ แจ่มฟ้า
ยามยากหากปันกัน กินซึก ฉลึกแฮ
มีคู่ชูชื่นหน้า นุชปลื้มลืมเดิม
๐ โคกเขียวโขดคุ่มขึ้น เคียงเคียง
ร่มรื่นรุกข์รังเรียง เรียบร้อย
โหมหัดหิ่งหายเหียง เห็ดหาด แห้วผล
ยางใหญ่ยอดยื่นย้อย โยกโย้โยนเยน
ลูกศิษย์สุนทรภู่ก็แต่งโคลงมีสัมผัสในเหมือนครู คือกรมพระยาบำราบปรปักษ์ (เจ้าฟ้ามหามาลา ต้นราชสกุล มาลากุล) แต่งโคลงทวาทศมาส มีสัมผัสใน แต่ไม่สัมผัสแพรวพราวเหมือนสุนทรภู่
สุภาษิตสอนหญิง ที่เดิมเรียกกันว่า "เพลงยาวสุภาษิตไทย" ซึ่งสัมผัสกระโดดตะกุกตะกัก บางตอนบางประโยคก็ขาดสัมผัสไปเลย อย่างนั้นไม่ใช่กลอนสุนทรภู่
การศึกษาลักษณะกลอนนิราศสุนทรภู่ จะต้องใช้ความสังเกตุโดยละเอียด โดยเฉพาะจะต้องเป็นกวี แต่งกลอนชำนาญพอสมควร จึงจะเข้าใจอรรถรสคำกลอนสุนทรภู่ ว่าผิดแปลกแตกต่างจากคำกลอนของกวีอื่นอย่างไร เหมือนนักดนตรีจึงจะรู้ฝีมือนักดนตรีด้วยกัน ถ้าไม่ใช่นักดนตรีก็ไม่รู้จัก "ทาง"ของดนตรี ฉันใดก็ฉันน้ัน ข้าพเจ้าเคยแต่งนิราศมากกว่า ๒๕ เรื่อง จึงพอรู้ว่า "ลีลา ปัญญา อารมณ์" ของกวีคนไหนเป็นอย่างไร เพราะลีลาปัญญาอารมณ์ของกวีแต่ละคนไม่เหมือนกัน แม้จะแต่งกลอนในเรื่องเดียวกันก็ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น "นครกายคำกลอน" ของกวี ๒ คน คือของหมื่นพรหมสมพักศร (มี มีระเสน) กับของนายภู่ จุลละภมร แต่งในยุคสมัยเดียวกันแต่ลีลา ปัญญา อารมณ์ของกวีอันเกิดจากวิญญาณของกวีทั้งสองคนนี้แตกต่างกัน ของนายภู่ จุลละภมร สู้ของนายมี มีระเสนไม่ได้เลย คนที่ไม่ใช่นักกวีจะมองไม่เห็นความแตกต่าง ดังเช่นนักกวีอ่านนิราศอิเหนากับนิราศเมืองเพชรจะไม่เห็นความแตกต่าง จึงว่าเป็นของกวีคนเดียวกัน แต่คนที่เป็นกวีเคยแต่งนิราศมาแล้วจะรู้อรรถรสได้ทันทีว่าลีลา ปัญญา อารมณ์ของกวีที่แต่งนั้นต่างกันทั้งสองเรื่อง รู้ได้ทันทีว่าเป็นของกวีคนละคน
(โปรดติดตามตอนต่อไป)