วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ชึวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอน ลักษณะนิราศสุนทรภู่


๙. ลักษณะนิราศสุนทรภู่

     ถ้าเราศึกษาวรรณคดีอย่างชนิดที่เรียกว่า วรรณคดีวิจารณ์  วรรณคดีวิจัย วรรณคดีวิเคราะห์  สามอย่างนี้ให้ครบถ้วนกระบวนความของการศึกษาแล้ว  เราจะเห็นลักษณะคำกลอนนิราศของสุนทรภู่อย่างชัดแจ้ง ๕ ประการคือ 

     ๑. โวหารกวี
     ๒. คำขึ้นต้น
     ๓. ความหลัง
     ๔. ภาษาตลาด
     ๕. สัมผัสใน

     ขออธิบายขยายความให้เข้าใจตรงกันคือ

     ๙.๑. โวหารกวี 
     กวีหรือนักประพันธ์นั้นมักจะถนัดในการใช้โวหารต่างกัน ทั้งนี้สุดแล้วแต่ปัญญาอารมณ์และความชัดเจนของกวี  โวหารมีอยู่ ๖ อย่างคือ
     ๑. พรรณนาโวหาร  โวหารในการพรรณนาความในใจออกมา
     ๒. บรรยายโวหาร  โวหารในการบรรยายภาพพจน์ให้เห็นสิ่งภายนอก
     ๓. เทศนาโวหาร โวหารในการแสดงเหตุผลต้นปลายให้เห็นจริง
     ๔. สาธกโวหาร โวหารในการยกแบบอย่างขึ้นมาแสดงให้เห็น
     ๕. อุปมาโวหาร โวหารในการยกเอาสิ่งนี้ไปเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น
     ๖.อุปมาโวหาร โวหารในการยกเอาสิ่งนี้ไปเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น
     ๗.อุปไมยไวหาร โวหารในการยกเอาสิ่งอื่นมาเปรียบเทียบกับสิ่งนี้
     
     นิราศสุนทรภู่ทุกเรื่อง คือบรรยายโวหาร  บรรยายให้เห็นภูมิประเทศบ้านเมิองไปตลอดการเดินทาง  เป็นแบบนิราศสมัยใหม่ซึ่งมีผู้เอาแบบอย่างต่อมาจนทุกวันนี้  ผิดกับนิราศนรินทร์อย่างชัดเจน  เพราะนิราศนรินทร์นั้นเป็นนิราศพรรณนาโวหาร  รำพันถึงแต่ความรักความอาลัยอย่างเดียว  อ่านตั้งแต่ต้นจนจบก็มืดมนเต็มทีในเรื่องการเดินทางไปอย่างไร สภาพบ้านเมืองเป็นอย่างไร มีการเคลือนไหวอย่างไรมองไม่เห็นภาพเลย  ทั้งนี้เพราะกวีผู้แต่งเรื่องนี้ ท่านเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน คือ กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์  ท่านเดินทางไปท่ามกลางข้าราชบริพารแวดล้อม  ไม่ได้สัมผัสกับผู้คนรายทาง   ไม่ค่อยได้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมเหมือนอย่างสุนทรภู่  ทำให้นิราศสองเรื่องคือ นิราศสุพรรณกับนิราศนรินทร์แตกต่างกันโดยโวหารกวี

     ๙.๒ คำขึ้นต้น
     คำขึ้นต้นนิราศก็แตกต่างกัน  คำขึ้นต้นนิราศของสุนทรภู่ จะขึ้นต้นตัดตรงแน่วออกไปเลย ไม่มีอืดอาดล่าช้า ไม่มีพิธีรีตอง  แต่เป็นลักษณะโอ่อ่า ลีลาแบบครูกวีอยู่ในเชิง เรียกว่าเป็นมาดของครูกวี ดังตัวอย่างต่อไปนี้

     ๑. นิราศเมืองแกลง (พ.ศ.๒๓๕๐)
     ๐ โอ้สังเวชวาสนานิจจาเอ๋ย
     จะมีคู่มิได้อยู่ประคองเชย
     ต้องละเลยดวงใจไวไกลตา 

     ๒. นิราศพระบาท(พ.ศ.๒๓๕๐)
     ๐ โอ้อาลัยใจหายไม่วายห่วง
     ดั่งศรศักดิ์ปักซ้ำระกำทรวง
     เสียดายดวงจันทราพงางาม

     ๓.นิราศเมืองเพชร(พ.ศ.๒๓๗๐)
     ๐ โอ้รอนรอนอ่อนแสงพระสุริยฉาน
     ท้องฟ้าคล้ำน้ำค้างลงพร่างพราย
     พระพายชายชื่นเชยรำเพยพาน

     ๔. นิราศภูเขาทอง (พ.ศ.๒๓๗๑)
     ๐ เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา
     รับกฐินภิญโญโมทนา
     ชุลีลาลงเรือเหลืออาลัย

     ๕. นิราศประปธม (พ.ศ.๒๓๘๕)
     ๐ ถวิลวันจันทร์ทิวาขึ้นห้าค่ำ
     ลงนาวาคลาเคลื่อนออกเลื่อนลำ
     พอเสียงย่ำยามสองกลองประโคม

     ๖. นิราศสุพรรณ (พ.ศ.๒๓๘๔)
     ๐ เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า              ดาดาว
     จรูญจรัสรัศมีพราว                     พร่างฟ้า
     ยามดึกนึกหนาวหนาว                เขนยแนบ แอบเอย
     เย็นฉ่ำน้ำค้างย้อยเยือกฟ้า         พาหนาว 

     ๗. เพลงยาวรำพรรณพิลาป(พ.ศ.๒๓๘๕)
     ๐ สุนทรทำคำประดิษฐ์นิมิตรฝัน
     พึ่งพบเห็นเป็นวิบัติมหัศจรรย์
     จึงจดวันเวลาด้วยอาวรณ์

     ๘. เพลงยาวโลกนิติคำกลอน (พ.ศ.๒๓๘๙)
     ๐ มานี่แน่เจ้าหนูดูสารสอน
     จงจำไว้ไปข้างหน้าจะถาวร
     เหมือนอาภรณ์เครื่องประดับสำหรับกาย 

     ๙. เพลงยาวถวายโอวาท(พ.ศ.๒๓๗๖)
     ๐ ควรมิควรจวนจะพรากจากสถาน
     จึงเขียนความตามใจอาลัยลาน
     ขอประทานโทษาอย่าราคี

     ๑๐. เพลงยาวสวัสดิรักษา(พ.ศ. ๒๓๘๔)
     ๐ สุนทรทำคำสวัสดิรักษา
     ถวายพระหน่อบพิตรอิศรา
     ตามพระบาลีเฉลิมให้เพิ่มพูน

     ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า สุนทรภู่ไม่ได้ขึ้นต้นคำกลอนว่า "นิราศ" เหมือนคนอื่น เพราะสมัยนั้นยังเรียกนิราศว่า "เพลงยาวนิราศ" (เพลงยาวที่จากไป)  เรียกคำกลอนที่แต่งอยู่กับที่ว่า "เพลงยาวสังวาส" เช่น เพลงยาวทีแต่งโต้ตอบกันระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาว  ถ้าแต่งสุภาษิตคำกลอน เรียกว่า "เพลงยาวสุภาษิต"   นิราศที่ขึ้นต้นคำกลอนว่า "นิราศ"  เช่น "นิราศร้างห่างเหเสน่หา"  หรือ "นิราศรักอาลัยอาลัยหวน"  อย่างนี้ไม่ใช่ฝีปากสุนทรภู่  เพราะขาดลักษณะโอ่อ่าไว้สง่า  และคำว่า  "นิราศ" พึ่งใช้กันรุ่นหลังสุนทรภู่  แม้นายมีแต่งนิราศสมัยสุนทรภู่ ก็ไม่ขึ้นต้นว่า "นิราศ"  มหาฤกษ์แต่งนิราศพระปธมเรื่องแรก ก็ไม่ขึ้นต้นว่า "นิราศ"  ขึ้นต้นแบบสุนทรภู่ว่า "มหาฤกษ์จะนิวาสสวาทศรี  ไปบังคมพระปฐมเจดีย์" นิราศที่ขึ้นต้นว่า"นิราศ"นั้นตัดออกไปได้ว่า ไม่ใช่ของสุนทรภู่ 

     ๙.๓ ความหลัง
     นิราศของสุนทรภู่ทุกเรื่องจะกล่าวถึงความรักความหลัง อดอยู่ไม่ได้เลยเป็นลักษณะพิเศษ  นิราศเมืองแกลง นิราศพระบาท นิราศเมืองเพชร นิราศภูเขาทอง นิราศพระปธม นิราศสุพรรณ  ล้วนแต่กล่าวถึงความรักความหลังทุกเรื่อง  แม้แต่เพลงยาวถวายโอวาท  เพลงยาว
สวัสดิรักษา    ก็กล่าวไว้พอรู้ว่าท่านสุนทรภู่แต่ง  "สุนทรทำคำสวัสดิรักษา"  และ "ควรมิควรจวนจะพรากจากสถาน"   นิราศที่ไม่กล่าวถึงความรักความหลังของกวีอย่างนิราศอิเหนา  จึงตัดทิ้งไปได้ว่าไม่ใช่นิราศของสุนทรภู่

     ๙.๔ ภาษาตลาด
     สุนทรภู่ใช้ภาษาธรรมดา ใช้ภาษาตลาดเป็นพื้น แม้คำที่ใช้พูดกันผิดๆ สุนทรภู่ก็ใช้ เช่น ยาอายุวัฒนะ ก็ใช้ว่า  ยาอายุวันชนะ  เมื่ออ่านนิราศสุนทรภู่ทุกเรื่อง จึงเห็นชัดว่าท่านใช้ภาษาชาวบ้าน ภาษาตลาดเป็นพี้น  แต่พออ่านนิราศอิเหนากลับเป็นภาษาสูง เป็นภาษาผู้ดีไป  เพราะนิราศอิเหนานั้น กรมหลวงภูวเนตรนรินทร์ฤทธิ์ พระราชโอรสรัชกาลที่ ๒ ทรงนิพนธ์ไว้  ไม่ใช่ของสุนทรภู่  นักอ่านจะต้องใช้ความสังเกตุเรื่องภาษาให้ดีด้วย

     ๙.๕. สัมผัสใน
     คำกลอนสุนทรภู่มีลักษณะพิเศษคือ มีสัมผัสใน ซึ่งกลอนสมัยนั้นไม่ถือเคร่งนัก มีแต่สัมผัสนอก  หรือสัมผัสท้ายคำกลอนเป็นสำคัญ แต่สุนทรภู่เพิ่มสัมผัสในขึ้น คำกลอนของสุนทรภู่เป็นกลอนแปดแท้ ไม่ใช่มี ๗ คำ หรือ ๙ คำ เหมือนกลอนแต่ก่อน   เช่นกลอนเสภามี ๙ คำก็มี  กลอนบทละครนอกมี ๗ คำก็มี  แต่กลอนสุนทรภู่จะมี ๘ คำ สัมผัสในสัมผัสนอก สัมผัสซ้ายสัมผัสขวา สัมผัสอักษร สัมผัสเสียงหรือสัมผัสสระ มีแพรวพราวไปหมด  เพิ่มควาไพเราะเมื่ออ่านทำนองเสนาะ (ซึ่งคนโบราณอ่านกลอนท่านอ่านออกเสียงเป็นทำนองเสนาะทั้งสิ้น)  กลอนของสุนทรภู่จึงฟังไพเราะมีจังหวะจะโคน ติดหู ติดใจคน คนจึงนิยมกลอนสุนทรภู่กันมา  นักกวีก็มาเอาอย่างสุนทรภู่ แม้แต่คำโคลงของท่านก็มีสัมผัสด้วย

     ๐ ยลย่านบ้านบุตั้ง                ดีขัน
     ขุกคิดเคยชมจันทร์               แจ่มฟ้า
     ยามยากหากปันกัน               กินซึก ฉลึกแฮ
     มีคู่ชูชื่นหน้า                          นุชปลื้มลืมเดิม 
   ๐ โคกเขียวโขดคุ่มขึ้น             เคียงเคียง
     ร่มรื่นรุกข์รังเรียง                    เรียบร้อย
     โหมหัดหิ่งหายเหียง              เห็ดหาด แห้วผล
     ยางใหญ่ยอดยื่นย้อย             โยกโย้โยนเยน
     
     ลูกศิษย์สุนทรภู่ก็แต่งโคลงมีสัมผัสในเหมือนครู คือกรมพระยาบำราบปรปักษ์ (เจ้าฟ้ามหามาลา ต้นราชสกุล มาลากุล)  แต่งโคลงทวาทศมาส มีสัมผัสใน แต่ไม่สัมผัสแพรวพราวเหมือนสุนทรภู่
     สุภาษิตสอนหญิง ที่เดิมเรียกกันว่า  "เพลงยาวสุภาษิตไทย"  ซึ่งสัมผัสกระโดดตะกุกตะกัก  บางตอนบางประโยคก็ขาดสัมผัสไปเลย อย่างนั้นไม่ใช่กลอนสุนทรภู่
     การศึกษาลักษณะกลอนนิราศสุนทรภู่  จะต้องใช้ความสังเกตุโดยละเอียด โดยเฉพาะจะต้องเป็นกวี แต่งกลอนชำนาญพอสมควร  จึงจะเข้าใจอรรถรสคำกลอนสุนทรภู่ ว่าผิดแปลกแตกต่างจากคำกลอนของกวีอื่นอย่างไร  เหมือนนักดนตรีจึงจะรู้ฝีมือนักดนตรีด้วยกัน ถ้าไม่ใช่นักดนตรีก็ไม่รู้จัก "ทาง"ของดนตรี ฉันใดก็ฉันน้ัน   ข้าพเจ้าเคยแต่งนิราศมากกว่า ๒๕ เรื่อง จึงพอรู้ว่า "ลีลา ปัญญา อารมณ์"  ของกวีคนไหนเป็นอย่างไร   เพราะลีลาปัญญาอารมณ์ของกวีแต่ละคนไม่เหมือนกัน  แม้จะแต่งกลอนในเรื่องเดียวกันก็ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น  "นครกายคำกลอน" ของกวี ๒ คน  คือของหมื่นพรหมสมพักศร (มี มีระเสน)   กับของนายภู่ จุลละภมร  แต่งในยุคสมัยเดียวกันแต่ลีลา ปัญญา อารมณ์ของกวีอันเกิดจากวิญญาณของกวีทั้งสองคนนี้แตกต่างกัน  ของนายภู่ จุลละภมร สู้ของนายมี มีระเสนไม่ได้เลย   คนที่ไม่ใช่นักกวีจะมองไม่เห็นความแตกต่าง ดังเช่นนักกวีอ่านนิราศอิเหนากับนิราศเมืองเพชรจะไม่เห็นความแตกต่าง จึงว่าเป็นของกวีคนเดียวกัน  แต่คนที่เป็นกวีเคยแต่งนิราศมาแล้วจะรู้อรรถรสได้ทันทีว่าลีลา ปัญญา อารมณ์ของกวีที่แต่งนั้นต่างกันทั้งสองเรื่อง  รู้ได้ทันทีว่าเป็นของกวีคนละคน  

    


(โปรดติดตามตอนต่อไป)
     
     

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ชีวประวัติ พระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ตอนที่ ๘ ลักษณะคำกลอนสุนทรภู่


ลักษณะคำกลอนสุนทรภู่


     คำกลอนสุนทรภู่มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากคำกลอนของกวีอื่น (คำโคลงก็แตกต่างกับคำโคลงของกวีอื่น)  ถ้าเราศึกษาลักษณะคำกลอนสุนทรภู่อย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว จะเห็นลักษณะคำกลอนสุนทรภู่มีลักษณะเด่นเป็นพิเศษอยู่ ๑๒ ประการ

     ๑.หลั่งไหล
     ๒.ไว้สง่า
     ๓. ภาษาตลาด    
     ๔.สัมผัสพราว
     ๕.กล่าวความหลัง
     ๖. ฟังแจ่มแจ้ง
     ๗. แสดงอุปไมย
     ๘. ใช้คำตาย
     ๙. ระบายอารมณ์
     ๑๐.คำคมสุภาษิต
     ๑๑. แนวคิดของกวี
     ๑๒. ลีลาการเดินกลอน

     ๘.๑. หลั่งไหล
     คำกลอนสุนทรภู่มีลักษณะหลั่งไหลเหมือนน้ำไหล  ไม่ติดขัด ไม่สะดุด ไม่ตะกุกตะกัก ไม่ขาดสาย ไม่มีลักษณะกลอนพาไปหรือพยายามจะพากลอนไปอย่างฝืนๆ  เหมือนกวีที่ยังไม่ชำนาญในบทกลอน  แต่มีลักษณะพุ่งไปตรงจุดหมายให้เข้าใจความได้ชัดเจนฃ

    "แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์        มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
     ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด     ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน"

     ๘.๒. ไว้สง่า
     สุนทรภู่แต่งกลอนโอ่อ่า  ภูมิฐาน แบบครูกลอนครูกวี ไม่ไหว้ครู ไม่มีคำออกตัว  ไม่เคยถ่อมตัว ขึ้นต้นคำกลอนอย่างโอ่โถง

                                        "แต่ปางหลังครั้งว่างพระศาสนา
     เป็นปฐมสมมุตินิยายมา        ด้วยปัญญายังประวิงทั้งหญิงชาย
     ฉันชื่อภู่รู้เรื่องประจักษ์แจ้ง  จักสำแดงความประดิษฐ์คิดถวาย
     ตามสติริเริ่มเรื่องนิยาย         ให้เพริศพรายพริ้งเพราะเสนาะกลอน"

     ๘.๓. ภาษาตลาด
     ภาษากลอนของสุนทรภู่  เป็นภาษาชาวบ้านที่ใช้พูดกันอยู่  เป็นลักษณะกลอนตลาดแท้  ท่านไม่ใช้ภาษาสูงส่งหรือภาษษทางราชการ หรือภาษาผู้ดีอะไร  แม้คำน้ันจะพูดกันผิดๆ ท่านก็นำมาใช้  ท่านคุยเสียด้วยว่า คนที่จะแต่งกลอนตลาดได้ต้องเป็นสามัญชนอย่างท่าน  เจ้านายจะแต่งกลอนอย่างท่านไม่ได้  ทำให้พระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์ละครนอกเรื่อง สังข์ทอง  ใช้ภาษาชาวบ้านบ้าง  แต่ถ้าสังเกตุให้ดีก็เป็นภาษาชาวบ้านแบบผู้ดีพูดกัน  ไม่ใช่ภาษาแบบชาวบ้านที่ชาวบ้านพูดกัน   สุนทรภู่ถนัดภาษาชาวบ้านมากกว่า เพียงแต่ไม่ใช่ภาษาหยาบคายแบบครูแจ้ง  ครูเสภาเท่านั้น  

     คำกลอนสุนทรภู่เรียกได้ว่าเป็นกลอนตลาด  ไม่ใช่กลอนสุภาพแบบกลอนของกรมหลวงภูเนตรนิรนทร์ฤทธิ์  ลูกศิษย์ของท่านในนิราศอิเหนา  นั่นเป็นคำกลอนสุภาพ  

     "แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ     ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
     รู้สิ่งใดไม่สู่รู้วิชา                        รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี"

     ท่านใช้ภาษาชาวบ้านธรรมดาจนมีคนเข้าใจความหมายผิดไปในสมัยปัจจุบันว่า "รู้รักษาตัวรอด"  กลายเป็น "เอาตัวรอดคนเดียว"  หรือรู้มากเอาเปรียบคนอื่นไป   ที่จริงวิชาทุกอย่างในโลกนี้เรียนก็เพื่อ "รักษาตัวให้รอดปลอดภัยจากอันตรายและความบาปความชั่วทุกอย่าง"   แม้วิชาพระพุทธศาสนา ก็เป็นการศึกษาเพื่อเอาตัวให้รอดจากความชั่วร้ายทั้งสิ้น  การใช้ภาษาตลาดจนกระทั่งใช้คำที่ชาวบ้านพูดกันผิดๆ ก็นำมาใช้ นีแหละคือ ลักษณะคำกลอนของสุนทรภู่

     "ยกกระบัตรคัดช้อนทุกเช้าเย็น   เมียที่เป็นท่านผู้หญิงนั่งปิ้งปลา"

     คำกลอนในนิราศเมืองแกลงนี้เป็นตัวอย่างว่าท่านใช้คำผิดแบบภาษาชาวบ้าน   คือคำว่า "คัดช้อน"  คำว่า "คัด คือ คัดคันยอ"  ได้แก่การยกยอที่ตักกุ้งริมคลอง คำว่า "ช้อน"  คือใช้ตะแกรงช้อนกุ้ง  คำว่า "คัดช้อน"  คือ ยกยอและช้อนกุ้ง  คำนี้เป็นภาษาชาวบ้านแท้ๆ  คนที่ไม่เคยเห็นการยกยอและการช้อนกุ้ง ย่อมมองไม่เห็นภาพและไม่เข้าใจ  คำว่า "เมียที่เป็นท่านผู้หญิง"   นั่นคือ เมียหลวงยกกระบัตรเมืองแกลง  ยังไม่ใช้คุณหญิง   ไม่ได้เป็นท่านผู้หญิง  แต่ชาวบ้านเรียกยกย่องเช่นน้้น   ท่านก็เอามาเรียกบ้างว่า "เมียที่เป็นท่านผู้หญิง" นั่งปิ้งปลา   นี่คือภาษาชาวบ้านหรือภาษาตลาดที่ท่านใช้ในบทกลอน 

     ๘.๔ สัมผัสพราว
     คำกลอนสุนทรภู่มีลักษณะสัมผัสนอก สัมผัสใน สัมผัสอักษร สัมผัสสระหรือสัมผัสเสียง  สัมผัสซ้าย สัมผัสขวา แพรวพราวไปหมด บางทีท่านห่วงสัมผัสเสียจนยอมให้ความอ่อนไปก็มี  บางคนจึงตำหนิคำกลอนสุนทรภู่ว่าอ่อนเยิบยาบไป แม้แต่งโคลงก็มีเสียงสัมผัสด้วย  นิราศสุพรรณบุรีนั้นคือโคลงที่มีเสียงสัมผัสผิดกับโคลงของกวีอื่น จนคนติว่าท่านแต่งโคลงสู้นิราศนรินทร์ไม่ได้  แท้จริงแล้วเป็นลักษณะพิเศษของท่านที่มีสัมผัสพราว  จนบางทีก็ถือเสียงเป็นสำคัญ จนทำให้ความอ่อนไป

     "อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ ประเสริฐสุดซ่อนใส่ไว้ในฝัก
     สงวนคมสมนึกใครฮึกฮัก           จึงค่อยชักเชือดพ้นให้บรรลัย"

     ๘.๕. กล่าวความหลัง 
     ชีวิตสุนทรภู่มีความรักความหลังอันฝังใจ  การแต่งกลอนทุกเรื่องท่านจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวพาดพิงถึงเรื่องความรักความหลัง  แม้แต่การแต่งสุภาษิตน่าจะมีแต่คำกลอนล้วนๆ ตรงไปตรงมา  ท่านยังแวะกล่าวถึงความหลังจนได้  "ฟ้าอาภรณ์แปลกพักตร์อาลักษณ์เดิม"  "อันหม่อมฉันที่ดีและชั่ว  ถึงลับตัวแต่ชื่อเขาลือฉาว เป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว เขมรลาวลือเลื่องถึงเมืองละคร"    ที่ท่านแวะกล่าวถึงความรักความหลังและความในใจได้คล่องเช่นนี้ ก็เพราะท่านเป็นกวีรุ่มรวยคำ  คิดคำกลอนได้คล่องๆปาก  นึกจะว่าอะไรก็ว่าได้  แล้วก็ต่อกลอนได้อย่างแนบเนียนเชี่ยวชาญ  ซึ่งกวีอื่นทำไม่ได้ คำกลอนสุนทรภู่จึงมีความรักความหลังอยู่ทุกเรื่องเป็นลักษณะพิเศษทีเดียว  อย่างกลอนนิราศอิเหนาน้ันเงียบเหงาที่สุด ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีความรักความหลังเลย  อย่างนี้ตัดออกไปได้ว่าไม่ใช่ของสุนทรภู่  ถ้าเป็นนิราศของท่านต้องมีคำเปรียบเปรยว่าความรักของอิเหนานี้ถึงจะลึกซึ้งอย่างไรก็ไม่เท่าความรักของท่าน  หรือกล่าวพาดพิงแวะเวียนถึงตัวท่านจนได้  คำกลอนของสุนทรภู่จะต้องมีเรื่องความหลังของท่านแฝงอยู่  แม้แต่แต่งบทเสภา  ยังมีกล่าวถึงผ้าพระราชทาน เป็นต้น  คือเอาเรื่องของท่านเข้ามาแฝงไว้ในคำกลอน

     ๘.๖. ฟังแจ่มแจ้ง
     คำกลอนสุนทรภู่ว่าแจ่มแจ้ง กระทัดรัด ชัดเจน ไม่พร่ามัว เพราะท่านพิถีพิถันในการใช้ถ้อยคำ   ท่านเป็นกวีทีรุ่มรวยคำ จึงเลือกใช้คำได้อย่างเหมาะเจาะ 

     "ถึงคลองนามสามสิบสองคดคุ้ง   ขวากวุ้งเวียนซ้ายมาฝ่ายขวา
     ให้หนูน้อยคอยนับในนาวา           แต่หนึ่งมาถ้วยสามสิบสองคด
     อันคดอื่นหมื่นคดกำหนดแน่         เว้นเสียแต่ใจมนุษย์สุดกำหนด
     ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด       ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน"

     ๘.๗. แสดงอุปไมย
      สุนทรภู่ถนัดมากในเชิงอุปไมยโวหาร  คือกล่าวคำนี้ขึ้นเป็นหลักก่อน แล้วยกเอาสิ่งอื่นมาเปรียบเทียบ  ให้คำที่กล่าวนี้มีน้ำหนัก  มองเห็นภาพพจน์หรือเห็นเหตุผล  สุนทรภู่ไม่เคยใช้อุปมาโวหาร  คือยกเอาสิ่งนี้ไปเปรียบเทียบสิ่งอื่น ดังเช่น สุภาษิตสอนหญิงของนายภู่ เป็นประเภทอุปมาโวหาร  แต่สุนทรภู่มักเป็นอุปไมยโวหารอันกว้างขวาง ซึ่งแต่งยากกว่า แต่แสดงภูมิของกวีที่เหนือกวี

     "ประเพณีตีงูให้หลังหัก            มันก็มักทำร้ายเมื่อภายหลัง
     จระเข้ใหญ่ไปถึงน้ำกำลัง         อันเสือขังเข้าถึงดงก็คงร้าย
     อันแม่ทัพจับได้แล้วไม่ฆ่า        ต่อภายหน้าศึกจะใหญ่ขึ้นใจหาย
     ต้องตำรับจับให้มั่นคั้นให้ตาย  จะทำภายหลังลำบากครัน"

     นี่คือ ตัวอย่างอุปไมยโวหารอันกว้างขวางของสุนทรภู่

     ๘.๘ ใช้คำตาย
     สุนทรภู่ถนัดมากในการใช้คำตายลงท้ายกลอน   ใช้ได้ไม่ติดขัดเก้อเขิน  แสดงความเป็นกวีที่ยอดเยี่ยม  หาคนเทียบไม่ได้   กวีมักอวดฝึปากกันที่ใช้คำตายนี่แหละ  เพราะแต่งยาก  การเล่นสักวาต่อกลอนกัน นักสักวามักจะลงท้ายคำตายทิ้งไว้ให้คนแต่งต่อพ่ายแพ้  แต่สุนทรภู่นั้นใช้คำตายเมื่อไร  จะได้ฟังคำกลอนดีๆ เมื่อน้ัน

     " ซึ่งครั้งนี้พี่พาเจ้ามาไว้           หวังจะได้สนทนาวิสาสะ
     ให้น้องหายคลายเคืองเรื่องธุระ แล้วก็จะรักกันจนวันตาย"

     กวีที่ใช้คำตายลงท้ายกลอน  ใช้คำสุภาพ และคำไพเราะอย่างนี้ เราจะหาคนแต่งได้ยากมาก  เกือบจะไม่มีตัวเอาเลยทีเดียว ใช้คำว่า "พี่พาเจ้ามา" แทนที่จะว่า "พี่จับเจ้ามา" กับแม่ทัพเชลยศึก  "หวังจะได้สนทนาวิสาสะ ให้น้องหายคลายเคืองเรื่องธุระ แล้วก็จะรักกันจนวันตาย" คำอย่างนี้เป็นวาจาการทูตชั้นเยี่ยม  นี่เป็นลักษณะการใช้คำตายของสุนทรภู่  ซึ่งกวีอื่นก็พยายามใช้ เช่น นายภู่ ธรรมทานาจารย์ แต่คำกลอนก็ตะกุกตะกักเต็มที เพราะฝีมือคนละชั้น 

     ๘.๙ ระบายอารมณ์
     กวีบางคนแต่งกลอนได้แต่เป็นกลอนที่แข็งทื่อ  ไม่อ่อนหวานและไม่มีอารมณ์  กวีบางท่านแต่งกลอนได้ไพเราะทางอักษรศาสตร์ แต่ขาดอารมณ์กวี  กวีบางท่านแต่งกลอนไพเราะดีมีอารมณ์ แต่อารมณ์ของกวีน้ันต่างกัน  คำกลอนสุนทรภู่นั้นอบอวลด้วยอารมณ์ศิลปิน  ทำให้มีชีวิตชีวา เข้าใจคน กินใจคน เพราะระบายอารมณ์ที่แท้จริงออกมา  ไม่ใช่แกล้งเสแสร้งว่าจนฟังดูรู้สึกว่าดัดจริตไป  สุนทรภู่ฝากอารมณ์ไว้ในคำกลอนเสมอ  อารมณ์สุนทรภู่ คืออารมณ์รัก อารมณ์หลง อารมณ์สงสาร อารมณ์น้อยใจในโชคชะตาของตนเอง  
     
     "นิจจาเอ๋ยกายเราก็เท่านี้              ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย
     ล้วนหนาเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ  เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกา"

     นอกจากจะอบอวลอยู่ด้วยอารมณ์  สุนทรภู่ยังเข้าใจพูดเปรียบเทียบให้มองเห็นภาพพจน์ด้วย เราจึงมองเห็นความทุกข์ ๕๐ เปอร์เซนต์ของสุนทรภู่ เหมือนว่ามีความทุกข์ ๑๐๐ เปอร์เซนต์ไปอย่างคำกลอนข้างบนนี้  ทำให้เราแลเห็นว่าสุนทรภู่ตกยากเสียจนเที่ยวเร่ร่อนอยู่อาศัยเรือลอย  ซึ่งที่จริงท่านก็บวชอยู่วัดหลวงตลอดมาถึง ๔ วัด มีเจ้านายอุปถัมภ์มาโดยตลอด  วัดอรุณ วัดพระเชตุพนฯ วัดราชบูรณะ วัดเทพธิดา   วัดเจ้านายอุปถัมภ์มาโดยตลอด  แต่อารมณ์ศิลปินนั่นแหละประกอบกับช่างเปรียบเปรย  ทำให้บทกลอนของท่านอบอวลอยู่ด้วยอารมณ์ของศิลปิน  เหมือนนักพูดนักแสดงละครสวมบทบาทเข้าถึงอารมณ์เต็มที่ เล่นเอาคนฟังเคลิบเคลิ้มไปนึกว่าเรื่องจริง  ลักษณะคำกลอนสุนทรภู่เป็นเช่นนั้น

     ๘.๑๑ คำคมสุภาษิต
     กวีเป็นที่รวมของสุภาษิต  คำกลอนของสุนทรภู่  จะสอดแทรกอยู่ด้วยคำสุภาษิตเสมอ   ทำให้ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์ คำคมสุภาษิตของท่านมักจะกินใจคน  เพราะท่านช่างสังเกตุความจริงของชีวิต  แล้วผูกเป็นถ้อยคำขึ้นอย่างกระทัดรัด สอดคล้องกันทั้งถ้อยคำสำนวน  แต่งเป็นคำกลอนขึ้นอย่างไพเราะ

   "อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก  แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย
อันเจ็บอื่นหมื่นแสนยังแคลนคลาย  เจ็บจนตายก็เพระเหน็บให้เจ็บใจ"

     ๘.๑๒ แนวคิดของกวี
     แนวคิดของกวีย่อมแตกต่างกันไปตามประสบการณ์ของชีวิต  การศึกษา และการสังคมของกวี รวมทั้งโชคชะตาของกวีด้วย  แนวคิดของสุนทรภู่คือความไม่แน่นอน  ความไม่ซื่อตรงของมนุษย์ และวาจาของคนเรานั้นก่อให้เกิดคุณและโทษได้   ช่างพูดไม่มีใครเขาต้องการ เขาต้องการแต่ช่างฝีมือ 
"จะรักชังทั้่งสิ้นเพราะสิ้นพลอด  เป็นอย่างยอดแล้วพระองค์อย่าสงสัย
อันช่างปากยากที่จะมีใคร          เขาชอบใช้ช่างมือออกอื้ออึง"

"จงโอบอ้อมถ่อมถดพระยศศักดิ์ ถ้าสูงนักแล้วก็เขาเข้าไม่ถึง 
ครั้นต่ำนักมักจะผิดคิดรำพึง       พอก้ำกึ่งกลางนั้นขยันนัก" 

     ๘.๑๒ ลีลาการเดินกลอน
     คำกลอนนั้นคือความคิดของกวี  คำกลอนคือมโนธรรมของกวี คำกลอนจึงบอกความรู้สึกนึกคิดที่เป็น อหังการ มมังการ ของกวี ที่รู้สึกอยู่ในจิตใต้สำนึกว่าตนเป็นตัวกู ของกู อยู่อย่างไร  กวีบางคนก็รู้สึกว่าตัวยังต่ำต้อย  ไม่ค่อยเก่งกาจสามารถอะไรนัก  ไม่มั่นใจในตัวเองจึงต้องไหว้ครู แต่งกลอนตามแบบครู เดินกลอนไปตามแบบแผน มีการถ่อมตัวจากใจจริง  ยึดเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครูอาจารย์เป็นที่พึ่ง  แต่สุนทรภู่นั้นมีอหังการ มมังการสูงในทางบทกลอน จึงว่ากลอนอย่างโอ่โถง  ไว้สง่า ภาคภูมิ เชื่อมั่นในตัวเองอย่างเต็มที่  แต่งกลอนฉาดฉาน เดินกลอนอย่างสง่า

                                                  "สุุนทรทำคำประดิษฐ์นิมิตรฝัน
  พึ่งพบเห็นเป็นวิบัติมหัศจรรย์    จึงจดวันเวลาด้วยอาวรณ์
  แต่งไว้เหมือนเตือนใจจะให้คิด ในนิมิตรเมื่อภวังค์วิสังหรณ์
  เดือนแปดจันทร์ทิวาเวลานอน   เจริญพรภาวนาตามบาลี"

     ไม่มีใครเดินกลอนได้สง่าเหมือนสุนทรภู่เลย  จะกล่าวอะไรก็กล่าวฉาดฉาน  แสดงความรู้ประกอบไว้อย่างผ่าเผยไม่มีอ้อมค้อม

 " ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า   พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี
ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี    ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว"

     นิราศภูเขาทองนี้แต่งเมื่อ พ.ศ.๒๓๗๑ ว่าพระพุทธเลิศหล้านภาลัยพระราชทานนามเมืองปทุมธานี นิราศเมืองเพชร ก็กล่าวถึงพระพุทธเลิศหล้านภาลัยว่า 

   "สาธุสะพระนอนสิขรเขา           พระพุทธเจ้าหลวงสร้างแต่ปางหลัง
   ยี่สิบวาฝากั้นเป็นบัลลังก์           ดูเปล่งปลั่งปลื้มใจกระไรเลย"

     นิราศเมืองเพชรแต่งเมื่อ พ.ศ.๒๓๗๐ กล่าวว่าพระพุทธไสยาสน์ที่ข้างเขาวัง พระพุทธเลิศหล้าฯ สร้างไว้ ยาวยี่สิบวา แสดงความรู้ไว้ชัดเจนเป็นหลักฐานยืนยันความจริงได้  นี่คือลักษณะคำกลอนของสุนทรภู่  ที่บอกด้วยความมั่นใจไม่อ้อมแอ้ม  ซึ่งกวีอื่นจะไม่กล่าวถึงประวัติโบราณสถานวัตถุ  หรือประวัติบ้านเมืองเหมือนสุนทรภู่  ลักษณะนิราศของสุนทรภู่ เป็นประเภท"บรรยายโวหาร"  เหมือนสารคดีท่องเที่ยว แต่งไว้เป็นคำกลอน ไม่ใช่ประเภท "พรรณาโวหารไ  เหมือนนิราศนรินทร์ ทึ่พรรณาแต่ความรักความอาลัยอย่างเดียว ไม่บรรยายภูมิประเทศเหตุการณ์อะไรเลย  
(โปรดติดตามตอนต่อไป)