วันพุธที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2560

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภุ่เรือหงส์) ตอนที่ ๖ พระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์)


๖.พระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์)

     วิถีชีวิตของสุนทรภู่ขึ้นๆลงๆ  ลุ่มๆ ดอนๆ  อยู่ตลอดมา  ได้ดีแล้วก็ตกยาก  ตกยากแล้วก็ได้ดี  มีเจ้านายหลายองค์  แรกก็รับราชการอยู่วังหลัง  สังกัดกรมพระราชวังบวรสถานภิมุข (กรมพระอนุรักษ์เทเวศร์)  พระเจ้าหลานเธอในรัชกาลที่ ๑  คร้ันถุึงวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๔๙ วังหลังสวรรคตคราวนี้สุนทรภู่จะต้องถูกโอนมาสังกัดวังหน้า   ขณะน้ันวังหน้าองค์ใหญ่คือ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทสวรรคตแล้ว ต้ังแต่พ.ศ.๒๓๔๖ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้เป็นพระมหาอุปราชวังหน้า คือ กรมพระราชวังบวรมหาอิศรสุนทร  สนุทรภู่จึงได้มีโอกาสเป็นข้าราชบริพารของกรมพระราชวังบวรองค์ใหม่  ถ้าหากสุนทรภู่ยังไม่ได้เป็น  หลวงสุนทรโวหารมาแต่วังหลัง  ก็แน่นอนว่า  สุนทรภู่จะได้เป็น หลวงสุนทรโวหาร เจ้ากรมราชบัณฑิตวังหน้าในคราวนี้  คือในปี พ.ศ. ๒๓๕๐ ถึงปี พ.ศ.๒๓๕๒ นี้เอง   และแน่นอนว่าไม่ใช่เป็น  ขุนสุนทรโวหาร  แต่เป็น  หลวงสุนทรโวหาร  เพราะไม่มีตำแหน่ง ขุนสุนทรโวหาร มีแต่ตำแหน่ง  หลวงสุนทรโวหาร  เจ้ากรมราชบัณฑิต   ศักดินา  ๔๐๐ ไร่ ตำแหน่งเดียว   สุนทรภู่ต้องได้เป็นคุณหลวงสุนทรโวหาร (ภู่)  เจ้้ากรมราชบัณฑิตแน่

     คร้ันถึงวันที่ ๘ กันยายน พ.ศ.๒๓๕๒  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ามหาราช  เสด็จสวรรคตแล้ว  สมเด็จเจ้าฟ้า  กรมพระราชวังบวรมหาอิศรสุนทรก็ได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็น  พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  ตอนนี้เอง  สุนทรภู่อาจได้ติดตามเข้ามารับราชการอยู่ในวังหลวง  หรือถ้าไม่ได้ตามเข้ามา  คงตกอยู่ในวังหน้าก็จะอยู่ในสังกัดของกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์  พระอนุชาของพระพุทธเลิศหล้านภาลัยต่อไประยะหนึ่ง  พอถึง พ.ศ.๒๓๖๐  กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์สวรรคตอีกองค์หนึ่งแล้ว  ตอนนี้แน่นอนที่สุด สุนทรภู่หรือหลวงสุนทรโวหาร (ภู่) จะต้องโอนมารับราชการวังหลวงแน่นอนแล้ว  เพราะตอนนี้ไม่มีวังหน้าแล้ว  ตอนนี้แหละที่สุนท่รภู่จะมีชึวิตรุ่งเรืองที่สุด  ในตำแหน่งหลวงสุนทรโวหาร  เจ้ากรมราชบัณฑิต  ไม่ใช่เป็นแค่ ขุนสุนทรโวหาร ตามที่ว่ากัน  ขอยืนยันว่าสุนทรภู่ไม่เคยเป็นขุนสุนทรโวหาร  เพราะไม่มีตำแหน่งนึี้ในทำเนียบของวังหน้าและวังหลัง ที่ท่านเคยรับราชการมาก่อน

     คร้ังถึงพ.ศ.๒๓๖๙ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคค  หลังจากวังหน้าสวรรคตเพียง ๖ ปีเท่าน้ัน   ตอนนี้แหละสุนทรภู่ต้องสิ้นวาสนา   เหมือนที่ท่านพรรณนาว่า
     " สิ้นแผ่นดินสิ้นกลิ่นสุคนธา             วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์"
     "สิ้นแผ่นดินสิ้นนามตามเสด็จ           ต้องเที่ยวเตร็จเตร่หาที่อาศัย"

     สิ้นวาสนาคราวนี้สุนทรภู่ถึงแก่ต้องออกบวช    อาศัยผ้าเหลืองคุ้มราชภัย  เพราะสุนทรภู่รู้ดีว่าพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเคารพพระสงฆ์มาก  สุนทรภู่ออกบวชแล้วคงจะพ้นราชภัยแน่  บวชก็ไม่หนีไปบวชอยู่ป่าอยู่ดงอะไรที่ไหน    ก็บวชอยู่วัดอรุณฝั่งตรงข้ามพระราชวังนั่นเอง   วัดนี้สุนทรภู่เคยเป็นเด็กวัด   เคยเป็นมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์อยู่ก่อน  การก็เป็นจริงเช่นน้้น  คือพระนั่งเกล้าฯ ไม่เคยติดตามไปรบกวนสุนทรภู่เลย   ไม่เคยไปข้องแวะแตะต้องอะไรเลย    ไม่นานสุนทรภู่ก็เข้ามาอยู่วัดพระเชตุพนฯ  ติดๆพระราชวัง มีเจ้านายไปมาหาสู่  มีเจ้าจอมมารดามาถวายพระเจ้าลูกเธอเป็นลูกศิษย์ต้ังหลายองค์  คือ เจ้าฟ้ากุณฑล พระอัครชายาในรัชกาลที่ ๒ ก็นำพระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๒  มาฝากเป้นศิษย์ถึง  ๒ องค์   คือเจ้าฟ้าอาภรณ์ และเจ้าฟ้ามหามาลา, เจ้าจอมมารดาบางพระชายาในพระนั่งเกล้าเจ้าอยุ่หัว ก็ทรงนำพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าลักขณานุคุณในรัชกาลที่ ๓ มาฝากเป็นลูกศิษย์สุนทรภู่อีกด้วย   กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ (พระองค์เจ้าหญิงวิลาศ) พระธิดาองค์โปรดของพระนั่งเกล้า ฯ ก็ทรงนับถือสุนทรภุู่อยุู่ด้วย   จะเห็นได้ว่าตอนนี้ท่านสุนทรภู่ก็ยังมีเยื่อใยอยู่ในพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว   พระราชโอรสพระราชธิดาพระนั่งเกล้า ฯ ก็มาเป็นศิษย์สุนทรภู่อยุ่ถึง  ๒ องค์ คือพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ  และกรมหมืนอัปสรสุดาเทพ  รวมท้ังเจ้าจอมมารดาาบาง ชายาพระนั่งเกล้าฯด้วย    พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ได้แสดงความอาฆาตโกรธเคืองอะไร  และถ้่าหากจะศึกษาพระจริยาวัตรของพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยละเอียดแล้ว  ใครๆก็จะต้องยอมรับว่าพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระโพธิสัตว์   ด้วยพระทศพิธราชธรรม ๑๐ ประการ  คือ ทาน  ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขาบารมี  ผู้ทีบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระโพธิสัตว์เช่นนี้ จะมีธรรมะข้อสำคัญที่สุดคือ  อุเบกขาบารมี  วางใจเป็นกลางได้ในคนจนคนมี คนดีคนชั่ว  คนรักคนชัง  มิตรและศัตรุ  วางใจเป็นกลางได้ในบุตรธิดาและคนอื่นคนไกลเสมอกัน  เพราะฉนั้นเรื่่องถอดยศ ปลดจากตำแหน่งหรือว่าริบบ้านอะไรที่ว่าๆกันน้ันไม่น่าเชื่อว่าพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงกระทำเลย  เพียงแต่ว่าสุนทรภู่ร้อนตัวกลัวภัยไปเอง  แล้วก็หนีออกบวช  เม่ื่อออกบวชแล้วก็หมดหน้าที่ บ้านเรือนที่เคยพระราชทานก็ตกเป็นของหลวงไป  จึงพระราชทานให้พระยาราชมนตรี(ภู่ ภมรมนตรี)  อยู่ต่อมาก็คงเท่าน้ันเองฃ

     สุนทรภู่บวชอยู่ที่วัดอรุณราชวรารามแล้วก็คงไปอยู่ที่วัดอรุณ ฯ   ได้สักพรรษาเดียวเมื่อเห็นว่าปลอดภัยแน่แล้ว  พระนั่งเกล้าเจ้าอยุ่หัวไม่ได้มาข้องแวะวอแวอะไรด้วยเลย   จึงข้ามฝั่งมาอยู่ที่วัดพระเชตุพนฯ  ปี พ.ศ. ๒๓๖๘  ตอนที่อยู่่วัดพระเชตุพนฯนี้คงจะมีพระราชโอรสเจ้านายมาเป็นศิษย์หลายองค์ด้วยกัน   อาจจะรวมถึงสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์( เจ้าฟ้าจุฑามณี)   พระโอรสในรัชกาลที่ ๒ อีกองค์หนึ่งด้วย   เพราะต่อมาในปีพ.ศ. ๒๓๗๐ สุนทรภู่ก็เดินทางไปจังหวัดเพชรบุรี  บอกไว้ในนิราศว่า    อาสาเจ้านายไปหาของดีที่เมืองเพชร (คือกรมขุนอิศเรศรังสรรค์) 

     "อนาถหนาวคราวอาสาเสด็จ                     ไปเมืองเพชรบุรีที่ถิ่นหวาน
     ลงนาวาหน้าวัดนมัสการ                             อธิษฐานถึงคุณกรุณา
     ช่วยชุบเลี้ยงเพียงชนกที่ปกเกศ                 ถึงต่างเขตของประสงค์คงอาสา"

     สุนทรภู่เดินทางไปเมืองเพชรบุรีครั้งนี้ ในเดือนพฤศจกายน ออกพรรษาแล้ว เข้าฤดูหนาว  ประมาณวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๐  ลงเรือที่หน้าวัดพระเชตุพน ฯ เข้าคลองบางกอกน้อย ผ่านวัดหงส์ วัุดพลับ ไปตามลำดับ ที่ยืนยันว่าสุนทรภู่ไปเมืองเพชรบุรีในปีพ.ศ. ๒๓๗๐  ก็เพราะว่าสุนทรภู่พรรณาถึงขุนแพ่งที่ไปตายเสียในคราวศึกเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทร์ ในปีพ.ศ. ๒๓๖๙ ท่านว่าท่านบังสกุลให้ด้วย

     "ด้วยศึกลาวคราวน้ันเธอบรรลัย                  ไม่มีใครครอบครองจึงหมองมัว"
     และบอกว่า
     "โอ้คิดคุณขุนแพ่งเสียแรงรัก                        ไม่พบพักตร์พลอยพาน้ำตาไหล
      ได้สวดท้้งบังสกุลแบ่งบุญไป                       ให้ท่านไปสู่สวรรค์ชั้นนิพพาน"

      ท่านพระภิกษุสุนทรโวหาร(ภู่)  ได้สวดบังสกุลให้ขุนแพ่ง  ไม่ได้หมายความว่านิมนต์พระมาสวดบังกสกุลให้  แต่ท่านบังสกุลให้เองเพราะท่านเป็นพระอยู่   ท่านบอกว่า
     " แล้วไปบ้านท่านแพ่งตำแหน่งใหม่               ยังรักใคร่ครองจิตสนิทสนม"

     กล่าวถึงขุนแพ่งว่ารู้จักรักใคร่กันมาก่อนด้วย  เมืองเพชรบุรีสนุทรภู่เคยมาแล้วหลายคร้ัง  "คิดถึงปีเป็นบ้าเคยมานอน   ชมลูกจันทร์กลั่นกลิ่นระรินรื่น  จนเที่ยงคืนแขนซ้ายกลายเป็นหมอน   เห็นห้องหินศิลายังอาวรณ์   เคยกล่าวกลอนกล่อมข้าโอชาตรี"     บอกว่าเคยมาตั้ง "แต่เดือนสี่ปีระกานิราร้าง  ไปอยู่บางกอกไกลกันใจหาย"    เดือนสี่ปีระกาน้ันคือ เดือนมีนาคม  พ.ศ.๒๓๕๖   สุนทรภู่ก็เคยหลบหนีราชภัยมาอยู่เมืองเพชรบุรีแล้วคร้ังหนึ่ง  เมื่อต้นรัชกาลที่ ๒   สมัยมีกาคาบบัตรสนเท่ห์ฟ้อง  มีการสืบตัวหาคนเขียนบัตรสนเท่ห์ที่แต่งเป็นโคลง  และมีการประหารชีวิตเจ้าพระยาพลเทพ  (บุนนาค  บ้านแม่ลา)    และสมเด็จเจ้าฟ้าสุพันุวงศ์  พระราชโอรสพระเจ้าตากสินมหาราช  ประมาณ พ.ศ. ๒๓๕๓  - พ.ศ. ๒๓๕๖  สุนทรภู่หนีมาอยู่เมืองเพชรบุรีในคร้ังน้ันหนหนึ่ง  เข้าใจว่ามาอยู่เมืองเพชรบุรีหลายปี  กลับกรุงเทพฯ ในเดื่อนมีนาคม พ.ศ.๒๓๕๖  สุนทรภู่จึงมีคนรู้จัก  มีลูกศิษย์ลูกหามาก  "ลงเรือจอดทอดท่าหน้าสะพาน   แสนสงสารลูกศิษย์หาออกมาอึง"  

     สุนทรภู่ไปเพชรบุรีปี พ.ศ. ๒๓๗๐ นี้ไปอย่างภูมิฐาน  ไปโดยเรือญวน มีคนแจว   "มีเสื่อที่นอนหมอนนวมน้ำท่วมพื้น"  ทีคลองช่อง บอกว่าเรือ ๔ แจว  แจวหัวสองท่านสองคน   ตอนนี้นายพัดอายุได้  ๙ ขวบแล้ว  เพราะเกิดในปี  พ.ศ. ๒๓๖๑  เข้าใจว่าอาสาไปหาของดีถวายกรมขุนอิศเรศรังสรรค์   ซึ่งทรงแสวงหาเครื่องขลังของศักดิ์สิทธิ์  ทางเมืองเพชรบุรีมีชื่อทางนี้อยู่แต่โบราณมาแล้ว   แต่จะได้หรือไม่ก็ไม่ทราบ เห็นมีกล่าวตอนหนึ่งว่า  "คร้ังหาของต้องประสงค์ส่งถวาย    ก็สูญหายเสียมิได้เข้าไปถึง"   คงหาได้ แต่ส่งถวายไปไม่ถึงเจ้านายพระองค์น้ัน   ถ้าสุนทรภู่ต้องหนีราชภัยในตอนต้นรัชกาลที่๒  ก็ยังไม่ได้เข้าไปรับราชการในวังหลวงตอนนี้   คงจะตกอยู่ในวังหน้านั่นเอง   ต่อมาวังหน้าสวรรคตในพ.ศ. ๒๓๖๐  สุนทรภู่จึงถูกโอนเข้าไปสังกัดวังหลวงในพ.ศ. ๒๓๖๐  นั้่นเอง

     กลับจากเมืองเพชรบุรีแล้ว  สุนทรภู่ก็ไปอยู่วัดราชบูรณะ  ในปีพ.ศ. ๒๓๗๑  ที่่ว่าเช่นนี้เพราะมีหลักฐานอยู่ในนิราศภูเขาทอง   ว่าออกจาวัดราชบูรณะ  และกล่าวถึงวัดเขมาภิรตารามว่า  "พึ่งฉลองมีงานเมื่อวานซืน"   ตามประวัติวัดเขมาภิรตารามน้ัน ฉลองเมื่อปีพ.ศ. ๒๓๗๑

     สุนทรภู่คงจะอยู่ทีวัดราชบูรณะหลายปี  ได้แต่งเพลงยาวถวายโอวาทที่วัดนี้   พระอภัยมณีก็น่าจะแต่งที่วัดนี้ด้วย  ต่อมาเมื่อกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระราชธิดาพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างวัดพระยาไกรสวนหลวงสำเร็จ  ในปีพ.ศ.๒๓๘๒ แล้ว  ได้รับพระราชทานนามว่า  "วัดเทพธิดาราม"  ตามพระนามของพระราชธิดาองค์โปรดนี้แล้ว พระราชธิดาผู้ทรงโฉมโสภา พระองค์นี้ก็นิมนต์สุนทรภุ่มาจำพรรษาที่วัดเทพธิดาราม  ทรงอุปถัมภ์เครื่องขบฉัน  ถวายเสื่ออ่อน หมอนอิงจีวรแพร่ และนิตยภัตเดือนละ  ๑ ชั่ง  อันมิใช่เล็กน้อยในสมัยนั้น  สมเด็จพระสังฆราชก็ได้รับเงินนิตยภัตเดือนละ ๑ ชั่ง คิดเป็นเงินปัจจุบันก็ต้องเอา ๑๐๐ คุณ ก็จะมีค่าประมาณเดือนละ ๘๐๐๐ บาททีเดียว สุนทรภู่อยู่วัดเทพธิดาหลายพรรษา

     ครั้นถึงปีพ.ศ.๒๓๘๔ สุนทรภู่ก็เดินทางไปแสวงหายาอายุวัฒนะตามลายแทงที่สุพรรณบุรีตามที่ได้แต่งนิราศสุพรรณบุรี   ฝากฝีปากทางการกวีไว้เป็นคำโคลงเรื่องแรกและเรืองสุดท้าย ยาวถึง ๔๖๒ บท   สุนทรภู่ได้กล่าวถึงเจ้านายเหนือเกล้าฯ สองพระองค์ คือพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพระน่ั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้ว่าดังนี้

     ๐ แบ่งบุญสุนทระเชื้อ         ชินวงศ์
       สืบช่างทางพุทธพงศ์       ผ่องแผ้ว
       ถวายพระหริรักษ์ทรง       สารพิเศษ เศวตรเอย
      ลุโลกโมกข์เมืองแก้ว       กิจร้าย หายสูญ ฯ

     ๐ อีกองค์มงกุฎเกล้า          ชาวกรุง
        สืบกษัตริย์ขัตติยบำรุง     รอบแคว้น
        ถวายพระอันทรงผดุง      พระเดชเฟื่อง  กระเดื่องเอย
       สิ่งโศกโรคเรื่องร้าย          ขจัดผ้ายวายเข็ญ ฯ

      สุนทรภู่บอกไว้ว่าไปสุพรรณบุรีเมื่อปลายปีฉลู  พ.ศ.๒๓๘๔  ว่าเจ้าฟ้ามงกุฎทรงอุปถัมภ์เรื่องค่าพาหนะเดืนทาง คื่อค่าจ้างคนแจวเรือ

     "ไปทางเรือเรือสลดด้วยปลดเปลื้อง           ระคายเคืองข้องขัดสลัดสละ
       ลืมวันเดือนเชือนเฉยแกล้งเลยละ             เห็นแต่พระอภัยพระทัยดี
       ช่วยแจวเรือเกื้อหนุนทำบุญด้วย                เหมือนโปรดช่วยชูหน้าเป็นราศี"

    พระอภัยที่ว่านี้คือ เจ้าฟ้ามงกุฎ  ศรีสุวรรณ น้ันคือ เจ้าฟ้าจุฑามณี  เรื่องพระอภัยมณีน้ันแต่งถวายเจ้านายสองพระองค์ที่เป็นลูกศิษย์นี้   เพลงยาวถวายโอวาทก็แต่งถวายเจ้านายลูกศิษย์สององค์เหมือนกัน   คือ เจ้าฟ้ามหามาลา และ เจ้าฟ้าอาภรณ์  แต่พลงยาวสวัสดิรักษาน้ันแต่งถวายเจ้าฟ้าจุฑามณี( หรือพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว)  เพราะสุนทรภู่คิดว่าจะได้ครองราชสมบัติต่อจากรัชกาลที่ ๓  เนื่องจากพระจอมเกล้าก็ทรงผนวชอยู่  จึงคิดว่าจะผนวชเพลิดเพลินไปไม่ลาผนวชออกมาครองราชสมบัติ  ส่่วนพระโอรสของพระนั่งเกล้านั้นก็ไมปรากฎว่ทรงสถาปนาองค์ใดให้เป็นเจ้าฟ้ามหาอุปราชเลย  กลับทรงสถาปนากรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพขึ้นเป็นพระมหาอุปราช   เมื่อทรงสร้างพระเจดีย์ศรีมหานครกรุงเทพฯ คือเจดีย์วัดอรุณราชวรารามขึ้นอย่างสวยงามเป็นศรีพระนคร ก็ทรงปฤศนาไว้  คือยอดสลักไดน้ัน   มีพระมหามงกุฎครอบไว้ด้วย  พระมหามงกุฎนี้เป็นปฤศนาธรรมถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินผู้จะทรงเป็นปิ่นปกปักษ์พระพุทธศาสนาต่อไปในอนาคตน้ัน  ต้องเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎ   และองค์มหาอุปราชน่าจะเป็น เจ้าฟ้าจุฑามณี  สุนทรภู่จึงได้แต่งเพลงยาวสวัสดิรักษาถวายไว้ บอกในเพลงยาวสวัสดิรักษาว่า

     "สุนทรทำคำสวัสดิรักษา    ถวายหน่อบพิตรอิศรา  ตามพระบาลีเฉลิมให้เพิ่มพูน
      เป็นของคู่ผู้มีอิสริยยศ       จะปรากฎเกิดลาภไม่สาปสูญ  สืบอายุสุริวงศ์พงศ์ประยูร"

      อันที่จริงสุนทรภู่ไมเคยคาดคิดว่า กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ จะได้ครองราชสมบัติ เพราะเป็นโอรสนอกเศวตฉัตร   พระราชโอรสที่ประสูติในพระเศวตฉัตรคือ  สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ กับ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี สององค์นี้เท่าน้ั้น   ต่อมาเจ้าฟ้ามงกุฎได้ขึ้นครองราชสมบัติ  และเจ้าฟ้าจุฑามณี ได้เป็นพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  สุนทรภู่จีงได้ดีอีกคร้ังหนึ่ง   เลื่อนจากหลวงสุนทรโวหาร  เจ้ากรมราชบัณฑิตย์ ขึ้นเป็น   พระสุนทรโวหาร  จางวางกรมพระอาลักษณ์  ศักดินา ๒๕๐๐  ไร่ 
     
     สุนทรภุ่กลับจากสุพรรณบุรีแล้วแต่งนิราศสุพรรณบุรีขึ้นถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ (ดอกฟ้า) ว่าจะขอเป็นปัจเจกพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย เมื่อไหว้พระป่าเลยไลย์   ท่่านได้อธิษฐานว่า

     ๐ ขอเดชะพระพุทธเจ้า          จงเห็น
         อุตส่าห์มาเช้าเย็น              ยากไร้
         ปรารถนาว่าจะเป็น             ปัจเจกพุทธ  ภูมิเอย
         บุญช่วยด้วยให้ได้             ดุจข้าอาวรณ์ ฯ

       กลับจากสุพรรณบุรีแล้วก็มาอยู่วัดเทพธิดาอีก  ปรากฎว่าได้แต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปขึ้นเมื่อวันจันทร์  ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๘ ปีขาล   ตรงกับวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๘๕    สุนทรภุ่มักจะแต่งกลอนในวันจันทร์เสมอ  ท่านคงจะถือโชคลางอะไรหรือดูฤกษ์ยามอัฐกาลอะไรสักอย่างหนึ่ง  เพลงยาวรำพรรณพิลาปนี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่น    เป็นเพลงยาวเกี้ยวเจ้านายแสนสวยพระองค์หนึ่ง   คือ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ  ผู้ทรงสร้างวัดเทพธิดาและผู้ทรงอุปถัมภ์สุนทรภู่  ทรงถวายนิตยภัตรเดือนละ ๑ ชั่ง  และเป็นผู้ทรงนิมนต์ให้สุนทรภู่แต่งพระอภัยมณีถวายต่อไปน่ันเอง  ตอนนี้สุนทรภู่อายุ ๕๖ ปี  กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพก็ทรงมีพระชนมายุ ๓๑ ปีแล้ว ก็คงจะได้รับเพลงยาวฉบับนี้ แต่มิได้ทรงถือสาหาความอะไร อาจจะพอพระทัยที่กวีแก่คนหนึ่งบวชเป็นพระภิกษุมาแต่งกลอนเกี้ยวเล่นอย่างเพ้อฝัน  เจ้านายพระองค์นี้โปรดการกวี  โปรดสักวา โปรดให้ครูแจ้ง นักเสภามีชื่อกับนายมี ศิษย์สุนทรภู่ไปขับเสภาถึงหน้าพระตำหนักในวัง ปรากฎอยู่ในัเรื่องเพลงยาวเสภาหม่อมเป็ดสวรรค์ ที่นายหรีด เรืองฤทธิ์ว่าเป็นเพลงยาวของคุณสุวรรณน้ัน ทีจริงเป็นเป็นเพลงเสภาของครูแจ้ง ถนนอาจารย์ บ้านข้างวัดระฆัง เข้าไปขับในวังที่พระตำหนักกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ   ข้าพเจ้าได้ค้นคว้าและพบหลักฐาน  เคยพิมพ์ในหนังสือ "มานวสาร"   สรุปความว่าจนถึงพ.ศ.๒๓๘๕ สุนทรภู่ก็ยังบวชอยู่ที่วัดเทพธิดา ยังไม่ได้สึก  หลักฐานปรากฎชัดแจ้งอยู่ในรำพรรณพิลาปว่า ปีพ.ศ.๒๓๘๕ ท่านยังอยู่วัดเทพธิดา
     คร้ันปลายปี พ.ศ. ๒๓๘๕ ท่านก็เดินทางไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ ได้แต่งนิราศพระปธมไว้ (พระปฐมเจดีย์มาเรียกในสมัยรัชกาลที่ ๔ ก่อนหน้าน้ันเรียกว่า  พระปธม) (ปธม มาจากคำว่า ประธมฺม  แปลว่าพระเจดีย์อันต้ังอยู่แต่ดึกดำบรรพ์)  ท่านก็ยังบวชอยู่ ท่านยังไม่ได้ลาสึกเลย  ท่านบอกไว้ในคำกลอนว่า ่"ขอเดชะพระมหาอานิสงส์  ซึงเราทรงศักราชพระศาสนา" (คำว่า พระมหาอานิสงส์ แปลว่า ขอผลบุญอันยิ่งใหญ่) ( ซึงเราทรงศักราชพระศาสนา  แปลว่า ซึ่งเราบวชสืบต่ออายุพระศาสนา)

     สุนทรภู่ได้พรรณนาถึงพระพุทธเลิศหล้านภาลัยว่าถึงสวรรคตแล้ว ก็ยังมีหน่อพุทธางกูรอีก  ๕ องค์

     "ถึงล่วงแล้วแก้วเกิดกับบุญฤทธิ์            ยังช่วยปิดปกอยู่ไม่รุ่้สูญ
      สิ้นแผ่นดินทินกรตจรจำรูญ                  ให้เพิ่มพูนพอสว่างหนทางเดิน
      ดังจินดาห้าดวงช่วงทวีป                      ให้ชูชีพช่วยทุกข์เมื่อฉุกเฉิน
      เป็นทำนุอุปถัมภ์ไม่ค้ำเกิน                    จงเจริญเรียงวงศ์ทรงสุธา"

     คำว่า ดังจินดาห้าดวงนี้คือ  เจ้าฟ้ามงกุฎ ๑,  เจ้าฟ้าจุฑามณี ๑, พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว๑, เจ้าฟ้ามหามาลา๑, เจ้าฟ้าอาภรณ์๑  ยังกล่าวถึงกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพอีกว่า  "อนึ่งน้อมจอมนิกรอัปศรราช บำรุงศาสนาสงฆ์ทรงสิกขา จงไพบูลย์พูนสวัสดิ์วัฒนา  ชนมาหมื่นแสนอย่าแค้นเคือง"  อย่าแค้นเคื่องคืออะไร  ก็อย่าแค้นเคืองที่แต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปไปถวายน่ั่นแหละ   ไม่ใช่อะไรอื่นเลย สุนทรภู่ยังไม่แน่ใจวาจะทรงโปรดหรือไม่   เพราะแต่งเพลงยาวส่งไปถวายแล้ว ก็เดินทางไปนมัสการพระปฐมเจดีย์  ในปลายปีน้ันเอง สุนทรภู่เดินทางไปพระปฐมเจดีย์ เมื่อวันจันทร์ขึ้น ๕ ค่ำ  เดือน ๑๒ (บอกแล้วว่าท่านชอบเดินทางวันจันทร์)   ตรงกับวันที่ ๗ พฤศจิกายน  พ..ศ ๒๓๘๕  แต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน  พ.ศ. ๒๓๘๕ อีก ๕ เดือนก็เดินทางไปพระปฐมเจดีย์  สุนทรภู่จีงแต่งนิราศพระปธมว่า  "ชนมาหมื่นแสนอย่าแค้นเคือง"  เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะทรงโปรดหรือโกรธเคื่องประการใดในเพลงยาวฉบับนั้น แต่สุนทรภู่ก็แต่งนิราศพระปธมนี้เป็นเรื่องสุดท้าย   กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ นางฟ้าแสนสวยทีสุนทรภู่เพ้อฝันถึงในเพลงยาวรำพรรณพิลาปน้ัน ได้สิ้นพระชนม์ลงเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๓๘๘  พระชนมายุเพียง ๓๔ ปีเท่าน้ัน (ประสูติเมื่อวันที่ ๕  ธันวาคม ๒๓๕๔)  สุนทรภู่ก็สิ้นสิงบันดาลใจในการกวีเสียแล้ว  สุนทรภู่จึงไม่ได้แต่งนิราศอีกเลย   ขอเรียนว่ากวีแต่งบทกวีเพราะมีสิ่งบันดาลใจ  สิ่งบันดาลใจอันสูงสุดคือ  ธรรมารมณ์ ได้แก่อารมณ์เพ้อฝันถึงเพศตรงข้าม  แม้จะเป็นการเพ้อฝันข้างเดียวก็ตามที สุนทรภู่มีอารมณ์เพ้อฝันของกวีอยู่เต็มหัวจิตหัวใจ  อารมณ์อบอวลไปด้วยอิตถึเพศ  แม้จะบวชเป็นพระอยู่ก็ยังติดค้างอยุ่ในสำนึก เป็นวาสนาที่ตัดไม่ขาด  และก็เพราะอารมณ์อันล้ำลึกบรรเจิดเลิศลอยนี้แหละ ทำให้สุนทรภ่เป็นกวีเอกของโลก  และทิ้งบทกวีอมตะไว้ให้เราอ่านกันทุกวันนี้  สุนทรภู่น้ัน "เมารัก เมาอักษร  เมาสตรี และเมาตัวตน" อย่างน่าประหลาด   ใครติดตามศึกษาชีวประว้ติของทานโดยถ่องแท้แล้วก็จะอดประหลาดใจไม่ได้   นักจิตวิทยาคงจะเข้าใจได้อย่างดีว่า เป็นเพราะอะไร  เพราะสุนทรภู่ขาดความรัก ความอบอุ่นจากผู้หญิงและคนรัก จึงแสวงหาความรักจากผู้หญิงมาขดเชย   สุนทรภู่ไม่ได้กำพร้าพ่อแม่ก็เหมือนกำพร้าเพราะพ่อแม่แยกทางกัน แม่ไปบวชอยู่ทในป่าดงต่างบ้านต่างเมือง  แม่ก็เป็นนางนมแม่นมพระธิดาเจ้านาย   ก็หมายความว่าต้องเอาใจใส่พระธิดาเจ้่านายยิ่งกว่าลูกชายของตนเอง โตเป็นหนุ่มรักหญิงนางในชือจันทร์  ก็ไม่ราบรื่นนัก ในที่สุดก็แยกทางกันไป  นางจันทร์มีสามีใหม่ เข้าใจว่าจะเป็นเจ้านาย ขุนนางมียศศักดิ์สูงกว่าสุนทรภู่ด้วย  ท่านจึงรำพันไว้ว่า

      ยลย่านบ้านบุตั้ง          ตีขัน
     ขุกคิดเคยชมจันทร์       แจ่มฟ้า
     ยามยากหากปันกัน       ดินซึก  ฉลีกแฮ
     มีคู่ชูชื่นหน้า                  นุชปลื้มลืมเดิม

      ก็คงจะแยกทางกันเมื่อสุนทรภู่หนีราชภัยไปอยู่เมืองเพชรบุรี   ได้ภรรยาใหม่ชื่อ นิ่ม ชาวบางกรวย  ตอนไปอยู่สุพรรณน้ัน นิ่มก็ตายไปเสียแล้ว    สุนทรภู่จึงตกเป็นพุ่มหม้าย  ถึงจะบวชเป็นพระอยู่ก็ว้่าเหว่ใจเป็นธรรมดา   เมื่อมีเจ้านายสาวสวยมาทรงให้ความอุปถัมภ์อยู่  สุนทรภู่ก็ย่อมจะอดเพ้อฝันไม่ได้  จึงได้แต่งเพลงยาวรำพรรณพิลาปขึ้นเปิดเผยความในใจอันลึกล้ำส่งไปถวายเจ้านายองค์น้ัน   แต่แล้วก็เกิดไม่แน่ใจว่าทำถูกต้องหรือเปล่า  พอออกพรรษาก็เลยไปพระปฐมเจดีย์ ตอนนี้ไม่กล่าวอะไร  เพียงแต่แย้มออกมาว่า  "ขอให้ชนมาหมื่่นแสนอย่าแค้นเคือง"  แต่เมื่อกลับจากพระปฐมเจดีย์แล้วก็ไม่ได้อยู่วัดเทพธิดาอีก  แต่ข้ามฝั่งคลองนอกกำแพงพระนครไปอยู่วัดสระเกศราชวรวิหาร  อันเป็นวัดอรัญวาสีในสมัยน้ัน มีป่าช้าใหญ่ มีแร้งมาก  พอปีต่อมากรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเจ้านายผู้อุปถัมภ์สิ้นบุญลงเสียแล้ว  หมดผู้อุปถัมภ์ที่สำคัญที่สุดไป  เรียกว่าทางด้านจิตใจก็หมดสิ้นสิ่งที่เป็นมิ่งขวัญบันดาลใจทุกอย่าง   สุนทรภู่จึงหยุดแต่งบทกวีไปนาน

     ต่อมาอีก ๒ ปีคือพ.ศ.๒๓๘๘ สุนทรภู่ก็เดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรัง ปรากฎจากนิราศพระแท่นดงรังของเณรกลั่นว่า ออกเดินทางจากคลองมหานาค คือจากวัดสระเกส นอกกำแพงพระนคร สุนทรภู่ก็เดินทางไปพร้อมด้วยเณรพัดและหนูตาบ  ตอนนี้สุนทรภู่ก็ยังไม่ได้สึกปรากฎคำยืนยัยจากเณรกลั่นว่าท่านบวชอยู่  เณรกลั่นเรี่ยกสุุนทรภู่ว่า "มหาเถร"  คำว่า  "มหาเถร"  นี้เป็นหลักฐานยืนยันมั่นคง เพราะมีธรรมเนียมการเรียกพระภิกษุผู้บวชได้  ๑๐ พรรษาแล้วว่า  "พระเถระ"   เรียกภิกษุผู้บวชได้ ๒๐ พรรษาแล้วว่า  "มหาเถระ"  เช่นพระสังฆราชทุกองค์จะมีคำว่า มหาเถระต่อท้ายฉายาอยู่เสมอ   เช่น สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทวมหาเถระ)  เป็นต้น  ในนิราศพระแท่นดงรัง เณรกลั่นกล่าวถึงสุนทรภู่ ไปจนตลอดทางว่าท่านบวชอยู่และเดินทางไปด้วยเมื่อเดือนสี่  ปีมะเส็งเพ็งอังคาร
     เดือนสี่ ปีมะเส็ง เพ็งอังคาร  นี้คือวันอังคารขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ มีมะเส็ง สัปตศก จ.ศ. ๑๒๐๗  ตรงกับวันที่  ๑๐ มีนาคม พ.ศ.๒๓๘๘  เรื่องวันเดินทางนี้เณรกลั่นบอกไว้ชัดแจ้งมาก  และไม่ต้องสงสัยว่าจะคลาดเคลื่อนจำวันผิด สมัยโน้นคนไทยจำวันพระวันโกนกันได้แม่นยำ โดยเฉพาะเณรกล่ันย่อมจำวันพระได้แน่นอน   วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือนสี่ เดินทางยามเที่ยงคืน  พระจันทร์แจ่มฟ้าก็เหมือนคืนวันเพ็ญแล้ว จึงบอกว่าเดือนสี่ ปีมะเส็ง เพ็งอังคาร  เณรกลั่นเรียกสุนทรภู่ว่า" มหาเถร" ด้วย  แสดงว่าสุนทรภู่บวชมาแต่พ.ศ.๒๓๖๗ จนถึงปีพ.ศ.๒๓๘๘ ปีไปพระแท่นดงรังนี้ก็นับได้ ๒๑ พรรษาแล้ว  สุนทรภู่จีงควรเป็นพระมหาเถระได้จริงตามคำของเณรกลั่น  เป็นเครื่องยืนยันชัดว่าสุนทรภู่บวชมาตลอดไม่ได้ลาสึกเลย   จนถึงปีพ.ศ.๒๓๘๘ อายุได้ ๕๙ ปี  ปีนี้กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพพึ่งจะสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๘๘ นั้นเอง   ๓ เดือนต่อมาสุนทรภู่ก็เดินทางไปพระแท่นดงรัง  ตอนนี้ท่านสิ้นสิ่งบันดาลใจให้เกิดอารมณ์เพือฝันของกวีแล้ว  ท่านจึงไม่ได้แต่งนิราศแต่ให้เณรกลั่นแต่งนิราศพระแท่นดงรังแทน  แต่แน่นอนติดขัดท่านคงช่วยบอกให้บ้างเป็นธรรมดาระหว่างครูกับศิษย์  แต่"เณรกลั่นคิด"แน่นอนตามที่จ่าหน้าเรื่องไว้ในสมุดข่อยตัวรงต้นฉบับของกรมศิลปากร  นิราศพระแท่นดงรังของเณรกลั่นนี้เป็นหลักฐานสำคัญทียืนยันว่า สุนทรภู่ยังไม่ได้สึก จนถึงปีไปพระแท่นดงรัง ปีพ.ศ.๒๓๘๘   สุนทรภู่เคยคิดจะสึกเหมือนกันแต่ไม่ได้สึก บอกไว้ในรำพรรณพิลาปว่า
     "จะสึกหาลาพระอธิษฐาน                         โดยกันดารเดือนร้อนสุดผ่อนผัน
       พอพวกพระอภัยมณีศรีสุวรรณ                 เธอช่วยกันแก้ร้อนช่วยผ่อนเย็น
       อยู่มาพระสิงหไตรภพโลก                       เห็นเศร้าโศกแสนแค้นสุดแสนเข็ญ
       ทุกค่ำคืนฝืนหน้าน้ำตากระเด็น                 พระโปรดเป็นทีพึ่่งเหมือนหนึ่งนึก
       ดังไข้หนักรักษาวางยาทิพย์                     ฉันทองหยิบฝอยทองไม่ต้องสึก
       ค่อยฝ่าฝืนชื่นฉ่ำดังอำมฤก                       แต่ตึกลึกเหลือที่จะสบาย"
     
     พระอภัยมณีศรีสุวรรณนี้คือ เจ้าฟ้ามงกุฎกับเจ้าฟ้าจุฑามณี   ทรงอุปถัมภ์  พระสิงหไตรภพโลกนั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ว่าคือ  พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ
     แต่พระองค์เจ้าลักขณานุคุณสิ้นพระชนม์เสียแล้วต้ังแต่ปีพ.ศ. ๒๓๗๘   น่าจะไม่ใช่   คงจะเป็นเจ้าฟ้าจุฑามณีมากกว่า  จึงจะมีฤทธานุภาพหรือมีบุญพอจะเป็นที่พึ่งของสุนทรภู่ได้   เรื่องพระสิงหไตรภพที่่ว่าแต่งถวายเจ้านายองค์หนึ่งน้ันก็น่าจะแต่่งถวายเจ้าฟ้าจุฑามณีมากกว่า   เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๓ แล้ว พระจอมเกล้าฯ ได้เสวยราชสมบัติ เจ้าฟ้าจุฑามณี ซึ่งดำรงพระยศเป็นกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระเจ้าน้องยาเธอได้เป็นสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่่สองในรัชกาลที่ ๔ สุนทรภู่ก็ได้เข้ารับราชการใหม่เป็น พระสุนทรโวหาร จางวางกรมพระอาลักษณ์ในวังหน้า   ทีท่านเคยรับราชการมาก่อนนั่นเอง  เลือนจากคุณหลวงเป็นคุณพระถือศักดินา  ๒๕๐๐ ไร่ ถุ้าถามว่าสุนทรภู่สึกเมื่อไร ก็ต้องตอบว่าสึกเมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๓ แล้วในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ รับราชการอยู่จนกระทั่งปีพ.ศ. ๒๔๑๐ อายุได้ ๘/ ปี ท่านก็ถึงอนิจกรรม (ต้องใช้คำว่า อนิจกรรม เพราะท่านเป็นจางวางกรม  มีฐานะเทียบเท่าพระยาพานทอง  แต่สมัยน้ันตำแหน่งนี้มีนามบรรดาศักดิืว่า พระสุนทรโวหาร  เท่าน้ัน   พึ่งมาเลื่อนขึ้นเป็น พระยาศรีสุนทรโวหาร ในสมัยรัชกาลที่ ๕ นี้เอง )
     พระสุนทรโวหาร (ภู่) รับราชการในตำแหน่ง พระสุนทรโวหาร จาวางกรมพระอาลักษณ์ในสังกัดวังหน้าจนกระทั่งถึงอนิจกรรมในปีพ.ศ.๒๔๑๐ อายุ ๘๑ ปี บุตรชายของท่านที่เคยบวชเป็นเณรพัดน้ัน  มีอายุยืนต่อมาจนถึง พ.ศ.๒๔๔๗  ในสมัยรัชกาลที่ ๕ อายุ ๘๖ ปี นายตาบบุตรชายคนรอง ที่เกิดจากมารดาที่ชื่อนิ่มก็เป็นกวี  แต่ไม่มีชื่อเสี่ยงเหมือนบิดา  นายพัดก็เป็นกวี แต่งนิราศเจ้าฟ้าไว้เรื่องหนึ่งไพเราะดี   เมื่อมีการต้ังนามสกุลในสมัยรัชกาลที่ ๖ เมื่อพ.ศ.๒๔๕๖ น้ัน ทายาทของท่านใช้นามสกุลที่ต้ังขึ้นเองจากชื่อปู่ว่า  ""ภู่เรือหงส์"  (นายภู่เคยอยู่บนเรือหงส์)  ซึ่งมีชือสกุลนี้อยุู่ในปัจจุบัน ยืนยันว่าสืบสายมาจากสุนทรภู่  ในที่นี้เพื่อจะให้เกียรติแก่ท่าน ขุนศรีสังหาญ (พลับ)  บิดาของสุนทรภู่  จึงขอเรียกนามท่านสุนทรภู่ว่า  พระสุนทรโวหาร (ภู่ ศรีสังหาญ)   เพราะถ้าบุตรหลานขอพระราชทานนามสกุลในสมัยรัชกาลที่ ๖  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงเอานามของบรรพบุรุษมาตั้งนามสกุล   ถ้าบรรพบุรุษมีนามบรรดาศักดิ์ก็มักจะเอานามบรรดาศักดิ์๋มาใช้ต้ังชื่อนามสกุล  เช่นต้นตระกูลปู่ชื่อกร่าง  พ่อชื่อโพธิ ตัวชือ่ทองดี  ได้เป็นพระยาวิชิตชลธี(ทองดี) ขอพระราชทานนามสกุลก็ทรงพระราชทานนามสกุลว่า  "สุวรรณพฤกษ์"  (ต้นกร่างกับต้นโพธิคือพฤกษ์ ทองดีคือ สุวรรณ)    พระยาสุนทรสงคราม (แจ่ม)  เจ้าเมืองสุพรรณบุรี่  ก็ทรงพระราชทานว่า  "สุนทรวิภาต" (แจ่ม คือวิภาต)  พระยาสุนทรบุรีศรีพิไชยาสงคราม(เสือ)  ผู้สำเร็จราชการเมืองนครไชยศรี เมื่อพระยาภักดีศรีสุพรรณ (สุด) ขอพระราชทานนามสกุล ก็ทรงพระราชทานว่า "สุนทรศารทูล"  (แผลง เสือ เป็น ศารทูล ผสมนามบรรดาศักดิ์)  พระยาราชมนตรีบริรักษ์ (ภู่) เมื่อทายาทของท่านขอพระราชทานนามสกุล ก็พระราชทานว่า "ภมรมนตรี"  (ภู่ แผลงเป็น ภมร ผสม บรรดาศักดิ์)  หมื่นพรหมสมพัตศร (มี) เมื่อทายาทขอพระราชทานนามสกุล ก็พระราชทานนามสกุลว่า "มีระเสน"  พระสุนทรโวหาร (ภู่)  ถ้าหากว่าทายาทของท่านรับราชการ ขอพระราชทานนามสกุล   ก็แน่นอนว่าต้องมีคำว่า "ภมร" อาจจะเป็น สุนทรภมร ก็ได้  แต่ว่านายพัด บุตรชายของทานไม่ได้รับราชการสืบต่อมา จึงไม่มีนามสกุลพระราชทาน   พ.ต. คุณหญิงผะอบ  โปษะกฤษณะ ท่านพบหลักฐานแน่อนว่า  ทายาทของสุนทรภู่  เป็นหลานของนายพัด  มีตัวตนอยู่ ชื่อ นายแปลก ภู่เรือหงส์  นายเลียบ  ภู่เรือหงส์ นายสวัสดิ์ ภู่เรือหงส์ และนายสมบรูณ์ ภู่เรือหงส์  ซึ่งเป็นชั้นเหลนของพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์)  เพราะฉน้ันจึงควรออกนามท่านสุนทรภู่เป็นทางการว่า "พระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) " เพราะชั้นหลานเหลนใช้นามสกุลนี้อยูแล้ว

(โปรดติดตามตอนต่อไป)
 

   
        



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น