วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ดวงชะตาสุนทรภู่




ดวงชะตาสุนทรภู่ 

     ดวงชะตาสุนทรภู่   อังคารดาวอายุกุมลัคนา  ท่านว่อายุยืน  ดาวศุกร์คู่มิตรกุมลัคนาด้วยเช่นนี้  ท่านว่ามีอารมณ์แรงทางกามารมณ์  มีเสน่ห์แก่เพศตรงข้ามด้วย  แต่เสาร์เล็งลัคนาอยู่ในราศีมังกร  เป็นดาวเกษตตรเช่นนี้  ท่านว่าจะมีทุกข์โศกเพราะคู่ครองหาความสุขไม่ได้   ยิ่งมีดาวราหูคู่มิตรมาร่วมกับดาวเสาร์เช่นนี้แล้วยิ่งมีพลังแรงมากในทางให้ทุกข์ให้โทษ   ดวงชะตาอย่างนี้ท่านเรียกว่า ดวงแตก   ขึ้นแล้วตกไม่รุ่งโรจน์อยู่นานเลย   ดาวพฤหัสอยู่ราศีเมษ  เป็นดาวที่ให้คุณแรงมาก  มีสติปัญญาสูง  มีเทวดาคุ้มครองรักษา  จะไม่มีภัยอันตรายใดมากกล้ำกลายได้เลย   ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวเด่นมากในดวงชะตา   ดาวอาทิตย์ซึ่งเป็นดาวกาลกิณีเป็นวินาศแก่ลัคนา  ดาวอาทิตย์หมายถึงพระราชา เจ้านายผู้เป็นใหญ่ ดาวนี้ที่จริงให้โทษแรง  แต่เมื่อเป็นวินาศแก่ลัคนาเสียแล้ว  จึงไม่ให้โทษ  มีแต่กลับมาให้คุณ   ชีวิตของสุนทรภู่จึงได้พึ่งใบบุญพระเจ้าแผ่นดินตลอดมา    ดาวอย่างนี้พระราชาไม่ให้โทษ  ไม่มีภัย  สุนทรภู่  จะไม่ถูกถอดยศปลดตำแหน่งเลย  แต่เพราะมีอหังหารมีมมังการมากจากดวงอังคารและดาวศุกร์ที่กมลัคนานั่นแหละ  ทำให้สุนทรภู่ใช้อารมณ์มากกว่าใช้ปัญญา   หรือบางทีก็ใช้ปัญญานำหน้าสติ   สุนทรภู่จีงข้ามกรายหรมหมื่นเจษฎาบดินทรื โดยทนงในความเก่งกาจฉลาดในการกลอนของตนถือว่าตัวเองเก่งกว่า กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์  จึงได้กล่าวหักหน้าในที่ประชุมนักกวีต่อหน้าพระที่นั่ง   ทำให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เสียหน้าถึงสองครั้งสองหน  สุนทรภู่ไมเคยคาดคิดว่าพระเจ้าลูกยาเธอนอกเศวตฉัตรองค์นี้จะได้ราชสมบัติ  แต่พอพระนั่งเกล้าฯ เสวยราชสมบัติ  สุนทรภู่ก็ตกใจมากถึงแก่หนีออกบวชเอาผ้าเหลืองคุ้มราชภัยทันที   พระนั่งเกล้า ฯไม่ทันถอดยศปลดตำแหน่งอะไรเลย  สุนทรภู่ออกบวชในนามของหลวงสุนทรโหารนอกราชการ   จึงใช้นามในการแต่งบทกวีว่า "สุนทร" อยู่ตลอด ไม่ออกนามเดิมว่า  "ภู่" เลย 

     จันทร์ดาวกดุมภะเป็นวินาศแก่ลัคนาเช่นนี้แสดงว่า เงินขาดมืออยู่เป็นประจำ คือเป็นคนจนเงิน   แต่จันทร์ได้ดาวพุธเป็นคู่มิตรเช่นนี้  ทำให้สุนทรภู่เป็นคนมีอริยทรัพย์คือมีความรู้ในทางการพูดและการเขียนทางเจ้าบทเจ้ากลอนเลี้ยงตัวได้  ทำให้เป็นคนมีชื่อเสียงในทางนี้เรียกว่าร่ำรวยทางนี้  แต่ความรู้ในทางบทกลอนนี้เอง ก็มาทำลายตัวเองในภายหลังเหมือนกัน  เพราะดาวจันทร์และดาวพุธเป็นวินาศแก่ลัคนาเสียแล้ว   อย่างไรก็ดีดวงชะตานี้เป็นดาวชะตาพิเศษบุรุษ ไม่ใช่ดวงคนธรรมดา  ย่อมจะมีชื่อเสียง  ทั่้งในเวลาที่มีชีวิตอยู่และล่วงลับไปแล้ว ก็ยังมีชือติดแผ่นดินอยู่เป็นเวลานาน   เพราะดาวพฤหัสบดีนั้นส่งรังสีถึงดาวอังคารคู่สมพล  และส่งรังสีถึงดาวเสาร์คู่ราหูด้วย  ที่จริงดาวเสาร์ก็ให้คุณแรงอยู่ เพราะเป็ฺนดาวเกษตรอยู่ในราศีตุลเล็งกับดาวพฤหัสบดี  แต่ไปกุมลัคนาอยู่   ดาวศุกร์จึงให้คุณให้โทษแรงในอารมณ์รัก  อารมณ์เพ้อฝันอันลึกซึ้ง  มีดาวราหูเล็งอยู่ จึงหลงใหลอย่างลึกซึ้งในอารมณ์  เรียกว่าเพ้ออยู่ในบทกลอน  เมารัก เมาอักษร เมาตัว เมาตน  เมาสตรี เมาในความงาม เมาในธรรมชาติ เมาในความรู้  เรียกว่าเป็นคนมีอารมณ์มัวเมาทั้งที่เป็นนักปราชญ์  แต่เป็นนักปราชญ์ที่มีอารมณ์เพ้อฝัน ไม่แจ่มใสสว่างกระจ่างใจได้  คนอย่างนี้ย่อมจะไม่บรรลุธรรมเป็นพระอริยสงฆ์ได้แม้จะบวชอยู่ตลอดชีวิต   มักมีอารมณ์เข้ามาเป็นอุปสรรค  มีอหังการ มมังการอยู่เต็มตัว  ลักษณะเช่นนี้่แหละคือลักษณะของอารมณ์นักวีเอกทุกคน  แต่ดวงชะตานี้มีดาวพฤหัสบดีคุ้มอยู่ในราศีเมษ  จะเป็นคนขาดสติ ทุบตึมารดาไม่ได้เลย  ดวงชะตาแบบนี้ ก็จะไม่ขี้เมาด้วย

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ๑. บทนำเรื่อง


๑. บทนำเรื่อง 

      เรื่องประวัติสุนทรภู่นั้น เราจะต้องของพระเดชพระคุณสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ที่ได้ทรงพระราชนิพนธ์ชีวประวัติสุนทรภู่ไว้  ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๕  นับจนถึงบัดนี้  (๒๕๓๐)  ก็เป็นเวลา ๖๕ ปี  ก็ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องมีผู้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม  แล้วพบว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องอยู่บ้าง  เช่น   คุณธนิต  อยู่โพธิ์  พบว่า   นิราศพระแท่นดงรัง ไม่ใช่นิราศสุนทรภู่   แต่เป็นนิราศของหมื่นพรหมสมพัตสร ((มี)  ลูกศิษย์ของสุนทรภู่  
     ต่อมา   คุณสถิตย์ เสมานิล   ก็ได้พบว่า   สุภาษิตสอนหญิงนั้น  ไม่ใช่ของสุนทรภู่   แต่เป็๋นของนายภู่   กวีอีกคนหนึ่งชื่อเดียวกัน   และกวีคนนั้นได้แต่งนิยายเรื่อง  นกกระจาบคำกลอน   ไว้อีกเรื่องหนึ่ง   มีคำไหว้ครูบอกชื่อภู่ไว้เหมือนกัน   เรื่องนี้  ข่้าพเจ้าก็ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมต่อมา  จึงพบว่า  นายภู่  ผู้แต่งสุภาษิตสอนหญิงคนนี้  เคยบวชอยู่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร   ในสมัยรัชกาลที่ ๓  ได้เป็นเจ้าอาวาาฝ่ายคันธุระ  มีสมณศักดิ์๋ว่า   พระธรรมทานาจารย์ (ภู่)   เป็นคนรุ่นหลังสุนทรภู่  ได้ลาสึกขาออกมาเป็น  นายภู่ จุลละภมร  เป็นกวีคนหนึ่งได้แต่งคำกลอนไว้หลายเรื่อง  คือ 
     ๑. สุภาษิตสอนหญิงคำกลอน
     ๒. นครกายคำกลอน
     ๓. พระสมุทรคำกลอน
     ๔. นกกระจาบคำกลอน
     ๕. จันทโครบคำกลอน
     
     ต่อมาข้าพเจ้าจึงได้ค้นพบว่า  "นิราศอิเหนา" น้ันไม่ใช่ของท่านสุนทรภู่  แต่เป็นพระราชนิพนธ์ของกรมหลวงภูวเนตรนริทร์ฤทธิ์ (พระองค์เจ้าทินกร)  พระราชโอรสของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งเป็นศิษย์ของสุนทรภู่  แต่งกลอนได้ไพเราะเท่าสุนทรภู่  แต่ใช้คำสูงส่ง ประณีตกว่า  เป็นกลอนสุภาพไม่ใช่่่กลอนตลาดแบบสุนทรภู่    กรมหลวงภูวเนตรนริทร์ฤทธิ์ ได้นิพนธ์คำกลอนไว้หลายเรื่อง คือ 
     ๑. นิราศอิเหนา
     ๒. นิราศฉะเชิงเทรา
     ๓. เพลงยาวสังวาส ๔ สำนวน
     ๔. บทละครเรื่องมณีพิไชย
     ๕. บทละครเรื่องสุวรรณหงส์
     ๖. เรืองปิ่นทอง  แก้วหน้าม้า
     ๗. เรื่องเทวัญ นางกุลา
     
     ต่อมาได้พบว่า  นิราศวัดเจ้าฟ้า  ไม่ใช่ฝีปากของสุนทรภู่  แต่เป้นของเณรพัด  ลูกชายของสุนทรภู่   เณรพัดคนนี้มีอายุยืนยาวมาจนถึงรัชกาลที่ ๕ พ.ศ.๒๔๔๗  อายุ  ๘๖ ปี  เณรพัดหรือนายพัด จึงเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๑ ก่อนสุนทรภู่บวช ๖ ปี  นายพัดบอก ก.ศ.ร. กุหลาบว่า  ปู่ของเขาชื่อ ขุนศรีสังหาญ (พลับ)    ข้าพเจ้าจึงศึกษาค้นคว้าต่อมาพบว่า  ขุนศรีสังหาญ (พลับ)  มีตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวงอยู่ในกรมอาสาวิเศษซ้าย  มีศักดินา  ๓๐๐ ไร่  ได้ไปบวชอยู่วัดบ้านกร่ำ  เมืองแกลง  ต้ังแต่ปีพ.ศ. ๒๓๓๐ สุนทรภู่อายุ  ๑ ขวบ   เมื่อสุนทรภู่เดินทางไปหาบิดาน้ัน บวชมาได้  ๒๐ พรรษาแล้ว  มีสมณศักดิ์เป็นพระครูธรรมรังสี (พลับ)  ตำแหน่งเจ้าคณะเมืองแกลง  ฝ่ายอรัญวาสี  ไม่ใช่เป็นพระฐานานุกรม   

     ต่อมาได้พบหลักฐานเป็นเงื่อนงำว่ สุนทรภู่ไม่ใช่เป็นขุนสุนทรโวหารเท่าน้ัน แต่เป็น "หลวงสุุนทรโวหาร"   อยู่ในวังหน้า   เพราะทำเนียบนามบรรดาศักดิ์ไม่มีตำแหน่ง "ขุนสุนทรโวหาร"   มีแต่ตำแหน่ง "หลวงสุนทรโวหาร"  เจ้ากรมราชบัณฑิตย์ ศักดินา  ๔๐๐ ไร่

     ทีเรียกกันว่า วังหลัง นั้นคือ พระราชวังหลังต้ังอยู่ที่ตำบลสวนลิ้นจี่  คือตรงที่ต้ังโรงพยาบาลศิริราชปัจจุบันนี้  เป็นบริเวณสวนของสมเด็จเจ้าฟ้าหรมพระยาเทพสุดาวดี (สา)  พระพี่นางองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช   สมเด็จพระพี่นางองค์นี้มีพระโอรสรับราชการอยู่ในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช  ๓ พระองค์ คือ
     ๑. พระยาสุริยอภัย  (ทองอินทร์)   ได้เป็นสมเด็จพระเจ้าหลานยาเธอกรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ (ทองอินทร์)   ในสมัยรัชกาลที่หนึ่ง  เรียกว่า กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข  (คือ วังหลัง)   องค์ที่เป็นเจ้านายองค์แรกของสุนทรภู่  ประสูติ  ปีพ.ศ. ๒๒๘๙ สวรรคต พ.ศ. ๒๓๔๙ พระชนมายุ  ๖๐ พรรษา
     ๒. พระอภัยสุริยา  ได้เป็นสมเด็จพระะเจ้าหลานเธอ กรมหลวงธิเบศร์บดินทร์
     ๒. หลวงฤทธิ์นายเวร  มหาดเล็ก  ได้เป็น   สมเด็จพระเจ้าหลานเธอกรมหลวงนรินทร์รณเรศ  
    
     สมเด็จพระเจ้าหลานเธอกรมพระอนุรักษ์เทเวศร์  (ทองอินทร์)  กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข (วังหลัง)นั้น  มีพระโอรสธิดากับเจ้าจอมมารดาทองอยู่  พระอัครชายา  รวม ๕ องค์คือ
     ๑. พระองค์เจ้าชายปาน   ประสูติ ปีพ.ศ. ๒๓๑๓ ได้เป็นกรมหมื่นนราเทเวศร์  เป็นต้นสกุล  ปาลกวงศ์ ณ อยุธยา  ในปัจจุบันนี้   
     ๒.พระองค์เจ้าหญิงกระจับ  ประสูติ ปีพ.ศ. ๒๓๑๕
     ๓.พระองค์เจ้าชายบัว  ประสูติ ปีพ.ศ. ๒๓๑๘
     ๔.พระองค์เจ้าชายแดง  ประสูติ ปีพ.ศ. ๒๓๒๐   ได้เป็นกรมหมื่นเสนีบริรักษ์  เป็นต้นสกุล  เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา  ในปัจจุบันนี้
     ๕.พระองค์เจ้าชายปฐมวงศ์ ประสูติ  ปีพ.ศ.๒๓๒๕  ปีต้ังพระราชวงศ์จักรี   จึงได้รับพระราชทานพระนามว่า  พระองค์เจ้าชายปฐมวงศ์  ทรงผนวชอยู่ที่วัดอรุณราชวราราม   แล้วไปอยู่วัดระฆัง จนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓  เจ้าชายองค์นี้แหละที่สุนทรภู่เป็นมหาดเล็กรับใช้อยู่  และเจ้าจอมมารดาทองอยู่หรือทีเรียกกันว่า   เจ้าครอกทองอยู่ พระมารดาของพระองค์เจ้าชายปฐมวงศ์นี้แหละที่เณรพัดพรรณาคร่ำครวญถึงในนิราศวัดเจ้าฟ้า   เพราะนายพัดอาศัยอยู่กับเจ้าจอมมารดาทองอยู่นี้มาตั้งแต่เด็ก
     เมื่อวังหลังสวรรคตใน พ.ศ. ๒๓๔๙  นั้น  สุนทรภู่ต้องโอนมาสังกัดวังหน้าตามธรรมเนียม
     วังหน้า คือ  กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ (เจ้าฟ้าจุ้ย) ประสูติเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ.๒๓๑๕  สวรรคตเมื่อวันที่   ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๖๐  พระชนมายุได้  ๔๕ พรรษา  ทรงเป็นนักกวีเอก  เมื่อ พ..ศ. ๒๓๓๔   พระชนมายุได้  ๑๙ พรรษาได้ตามเสด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชไปตีเมืองทะวาย   ได้ทรงพระราชนิพนธ์ "นิราศแม่น้ำน้อย" ไว้โดยใช้พระนามแฝงว่า "ศิษย์ศรีปราชญ์"  เมื่อ พ.ศ.๒๓๕๒   ได้เสด็จเป็นแม่ทัพไปตีพม่าทางใต้  ได้ทรงพระราชนิพนธ์นิราศไว้อีกเรืองหนึ่ง   โดยใช้พระนามแฝงว่า  "นรินทร์อิน"  (คือ นามของนายนรินทร์ธิเบศร์ (อิน) มหาดเล็กคนทีตามเสด็จไปในครั้งนั้น)  ทำให้คนทั้งหลายเข้าใจผิดกันมานานเกือบ  ๒๐๐ ปีแล้วว่า  เป็นโคลงของนายนรินทร์อิน ทั้งๆที่นายนรินทร์ธิเบศร์(อิน) ไม่เคยเป็นกวีเลย นิราศนรินทร์นั้นไปหยุดพักพลกองทัพอยู่ทีอ่าวตะนาว  หรือ อ่าวมะนาวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์   ที่บอกว่า  "ตระนาวตระหน่ำซ้ำสงสาร"  และเข้าใจผิดกันมานานแล้วว่า  เป็นตะนาวศรีในเขตพม่่า   ที่จริงคือ อ่าวตะนาวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นี้เอง
     สุนทรภู่รับราชการอยู่ในวังหน้านี้้ต้ังแต่ พ.ศ.๒๓๕๐ ถึง พ.ศ.๒๓๖๐  ได้เป็นหลวงสุนทรโวหารในวังหน้านี้  สุนทรภู่รับราชการอยู่วังหน้า  ๑๑ ปี  ถึง พ.ศ. ๒๓๖๐   วังหน้าสวรรคต หลวงสุนทรโวหาร (ภู่)  จึงโอนมาสังกัดวังหลวงเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๐  ขีวิตสุนทรภู่รุ่งเรืองสูงสุดตอนนี้เอง  หลวงสนุทรโวหาร (ภู่)  รับราชการสังกัดวังหลวงอยู่   ๖ ปีก็สิ้นวาสนา   เมื่อวังหลวงเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. ๒๓๖๗   สุนทรภู่ก็หนีราชภัยออกบวชในปีพ.ศ.๒๓๖๗  ที่วัดอรุณราชวราราม   แล้วข้ามมาอยู่วัดพระเชตุพน ฯ แล้วย้ายไปอยู่วัดราชบูรณะ  แล้วไปอยู่วัดเทพธิดาเมื่อพ.ศ.๒๓๘๑  อยู่วัดเทพธิดาจนถึงปีพ.ศ. ๒๓๘๔    ไปสุพรรณบุรีแล้วก็ไปนครปฐม   ปีพ.ศ.๒๓๘๕ ก็ยังไม่ได้สึก  จนถึงปีเณรกลั่นไปพระแท่นดงรัง ปีพ.ศ.๒๓๘๘  สุนทรภู่ก็ยังไม่ได้ลาสึก   ได้ไปพระแท่นดงรังพร้อมเณรกลั่น   เณรกลั่นเรียกว่า  "มหาเถร"  (ซึ่งเป็นคำทีเรียกพระภิกษุที่บวชมาได้ ๒๐ พรรษาแล้ว)   สุนทรภู่บวชตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๓๖๗  จนถึงปีพ.ศ. ๒๓๘๘  จึงได้  ๒๑ พรรษา   จึงเป็น "มหาเถร" ตามคำเรียกของเณรกลั่น  ใครๆว่าสุน่ทรภู่บวชๆ สึกๆ   ทำท่าจะเป็นพระบวช ๓ โบสถ์น้ันไม่มีหลักฐานเลย   ว่ากันโดยเดาสวดแท้ๆ  บาปกรรมเปล่าๆ ปลี้ๆ   คนที่เป็นนักปราชญ์ราชกวี  "เป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว เขมราลาวลือเลื่องถึงเมืองนคร"  อย่างสุนทรภู่จะเป็นชายสามโบสถืไม่ได้  และคำกล่าวที่ว่าสุนทรภู่ต้องอาบัติเสพสุราเมื่อบวชอยุ่ก็เป็นคำเท็จที่ร้ายแรง  จากคำของเณรกลั่นในนิราศพระแท่นดงรัง  ปรากฎว่าสุนทรภู่เป็นพระสุปฎิปันโน  เคร่งครัดศีล กระทำสมถภาวนาปรากฎจากนิราศสุพรรณ  ท่านก็เกลียดพระที่ย่อหย่อนวินัย  ท่านกล่าวถึงพระที่เตะตะกร้อ ตีไก่่  ว่า  "เสียเทียนเสียธูปซ้ำ เสียศรัทธาเอย" ดังนี้     
     
     เพราะฉนั้น  ประวัติสุนทรภู่เราต้องขำระสะสางกันใหม่  ไม่ควรเล่ากันสนุกปากตามคำเขาว่าจระเข้มาที่ท่าน้ำกันต่อไป  ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะเห็นการศึกษาวิชาวรรณคดีไทยเป็นการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์  มีการวิเคราะห์ วิจัย  วิจารณ์ กันอย่างมีหลักฐาน  เป็นวรรณคดีวิเคราะห์ วรรณคดีวิจารณ์   วรรณคดีวิจัย  ไม่ใช่ว่าอะไรตามๆกันไปเหมือนแต่ก่อน   ขอให้เราศึกษาวรรณคดีกันอย่างบัณฑิตทำวิทยานิพนธ์   ไม่ใช่เพื่อจะบอกว่าใครผิดใครถูก  แตเพื่อจะบอกว่าอะไรผิดอะไรถูก   เพื่อลูกหลานหรือลูกศิษย์ของเรรุ่นต่อๆไป  จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร  โดยเฉพาะรู้ว่า   พระสุนทรโวหาร มหากวีเอกของโลกนั้น   มีประวัติชีวิตและการงานเป็นอย่างไรอย่างแท้จริง   ไม่ใช่มัวแต่สันนิษฐานกันเอาตามใจชอบ  เพียงเพื่อจะอวดรู้อวดดีอะไรเป็นส่วนตัว   แต่ควรจะมุ่งเพื่อยกย่องเทิดทูนมหากวีเอกของเราตามความเป็นจริง จึงจะเป็นการสมควร    ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้เพื่อจุดหมายนี้เป็นสำคัญ   เขียนเพื่อเป็นวิทยาทาน  ไม่ใช่เขียนเพื่อแสวงหาชื่อเสียง   ชื่อเสียงของข้าพเจ้ามีอยู่พอสมควรกับฐานานุรูปของข้าพเจ้าแล้ว  ไม่จำเป็นต้องแสวงหาอะไรอีก   การเขียนเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ก็คงจะไม่ทำให้ได้ชื่อเสียงอะไรขึ้นมาได้เลยด้วย   คงจะมีคนสนใจคนเขียนน้อยกว่าสนใจเรื่องของสุนทรภู่เป็นแน่นอน  
     ความดีของเรื่องนี้ถ้าหากจะมีอยู่บ้าง    ข้าพเจ้าก็ไม่อุทิศให้ใครแม้แต่ตัวเอง   ขออุทิศให้เป็นความสัจจริงแก่ชีวประวัติและการงานของท่านพระสุนทรโวหาร (ภู่  ภู่เรือหงส์)  ทั้งหมด


  

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ชีวประวัติพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ๓. บิดามารดา



๓. บิดามารดา

     บิดามารดาของสุนทรภู่ก็เป็นคนสำคัญที่เราควรจะต้องสืบรู้ด้วยว่าเป็นใคร  สุนทรภู่สืบายโลหิตมาจากไหนจึงเป็นกวีมีชื่อดีเ่ด่นถึงขนาดนี้   ถ้าบิดามารดาสุนทรภู่เป็นคนเหลวไหลไม่ได้เรื่อง   ขี้เมายำเปหรือปัญญาอ่อนแล้ว  สุนทรภู่จะเป็นกวีโด่งดังไม่ได้เลย  เพราะฉนั้น  สุนทรภู่จะต้องสืบสายโลหิตจากบิดามารดาที่ดีด้วย  ถึงแม้ว่าสุนทรภู่จะเป็นอภิชาตบุตร  ก็จะต้องมีบิดามารดาที่ดีเป็นพื้่นฐานรองรับอยู่อีกชั้นหนึ่ง   สุนทรภุ่เป็นมหากวีน้ัน  (หรือเรียกว่า  เป็นอัจฉริยบุรุษทางการกวีน้ัน)   แม้ว่าทางพระพุทธศาสนาจะว่าเป็นบุพกรรมแต่ชาติปางก่อนติดตามมาส่งเสริม  แต่ทางพระพุทธศาสนาก็รับรองว่าบุตรทีดีจะต้องสืบมาจากบิดามารดาที่ด้วย  ดั่งเช่นพระพุทธองค์ที่เป็นพระบรมศาสดาเอกของโลก  ไม่มีศาสดาใดจะเท่ียมเท่านั้น  ก็เพราะชาติวงศ์ของพรพุทธเจ้าก็เป็นกษัตริย์สุขุมาบยชาติ  เพราะฉนั้น  การศึกษาประวัติสุนทรภู่จึงควรสนใจบิดามารดาของท่านด้วย 
     สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ทรงกล่าวถึงบิดาสุนทรภู่ว่า

     "บิดาที่บวชอยู่  เป็นฐานานุประเทศอธิบดี  จอมกษัตริย์โปรดปรานประทานนาม  เจ้าอารามอรัญธรรมรังสี  ด่ั่งนี้สันนิษฐานว่า  เห็นจะเป็นฐานานุกรมของพระครูธรรมรังสี   เจ้าคณะเมืองแกลง  ไม่ใช่่ได้เป็นตำแหน่งพระครูเอง" 

     การที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานเช่นนี้  ก็สันนิษฐานจากคำว่า  "ฐานานุประเทศ" โดยทรงจับเอาคำ่า "ฐานา" มาว่าเป้น "ฐานานุกรม"  (ฐาน + อนุุ + กรม)  แต่ที่จริงแล้วคำว่า  "ฐานานุกรม"  กับ "ฐานานุประเทศ" มีความหมายต่างกัน

     "ฐานานุกรม" แปลว่า "ตำแหน่งกรมการน้อย"  หมายถึงพระภิกษุที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานน้อย   คือช่วยทำงานให้แก่พระราชาคณะผู้ใหญ่ เช่น ตำแหน่งพระราชาคณะ มีสิทธิ์ต้ังพระภิกษุให้เป็นฐานานุกรมได้ ๘ รูป ๑๐ รูป   อย่างเช่น สมเด็จพระสังฆราชพระกิตติวุฒโฑภิกขุ   เป็นพระอุดรคณาภิรักษ์  นี่ก็เป็นตำแหน่งฐานานุกรมของสมเด็จพระสังฆราชวัดพระเชตุพน   เป็นต้น คือ มีตำแหน่งเป็นคณะกรรมการน้อยของสมเด็จพระสังฆราช  ช่วยทำงานให้สมเด็จพระสังฆราชในการบริหารการคณะสงฆ์  ไม่ใช่มีตำแหน่งที่พระราชาทรงต้ังเองโดยตรง

          "ฐานานุกรม"  แปลว่า "ตำแหน่งกรมการเมือง"  (อนุประเทศ แปลว่า ประเทศน้อยหรือ หัวเมือง ) สุนทรภู่่่ท่านบอกว่าบิดาของท่านเป็น  "ฐานุประเทศอธิบดี" อธิบดี แปลว่า ใหญ่ ถ้าแปลคำว่า "ฐานานุประเทศอธิบดี" ก็ต้องแปลว่า  "มีตำแหน่งเป็นใหญ๋ในกรมการเมืองฝ่ายสงฆ์เมืองแกลง"   คือ เป็นใหญ่ในเมืองแกลงฝ่ายสงฆ์  ได้แก่ "เป็นเจ้าคณะเมืองแกลง" นั่นเอง    ไม่ใข่มีตำแหน่งเป็นฐานานุกรมของเจ้าคณะเมืองแกลงแต่อย่างใด  สุนทรภู่ยังบอกต่อไปว่า   "จอมกษัตริย์โปรดปรานประทานนาม"  จะโปรดปรานประทานนามใครไปไม่ได้  นอกจากโปรดปรานประทานนามบิดาสุนทรภู่นั่นเอง  เพราะสุนทรภู่ไม่ได้กล่าวถึงคนอื่น   ท่านกล่าวถึงบิดาโดยตรงว่า จอมกษัตริย์โปรดปรานประทานนาม  คือ พระราชทานราชทินนามสมณศักดิ์ให้  จอมกษัตริย์องค์น้ันคือองค์ใด  ก็บิดาสุนทรภู่บวชเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๐  จนถึงปีสุนทรภู่ไปเมืองแกลง พ.ศ. ๒๓๕๐  ก็อยู่ในสมัยรัชกาลที่ ๑  จอมกษัตริย์ในที่นี้คือ  รัชกาลที่ ๑ นั่นเอง  
     สุนทรภู่ยังได้กล่าวถึงบิดาต่อไปว่า  เป็น  "เจ้าอารามอรัญธรรมรังสี"  คือ บอกว่า เป็นเจ้าอาราม  มีราชทินนามสมณศักดิ์ว่า "พระครูธรรมรังสี"  เปิดดูในทำเนียบสมณศักดิ์แล้วปรากฎว่า   พระครูธรรมรังสีเป็นตำแหน่งเจ้าคณะเมืองแกลงฝ่ายอรัญวาสี บิดาสุนทรภู่เป็นพระสายปฎิบัติธุดงควัตร  หรือพระสายวิปัสสนาธุระ  ไม่ใช่พระฝ่ายคันถธูระ  คือ เป็นพระคณะวัดป่าแก้ว  เรียกว่าคงจะมีคนเคารพนับถือมาก   มีชื่อเสียงมากพอสมควรทีเดียว  ความจึงทราบถึงพระเนตรพระกรรณจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้มีสมณศักดิ์เป็น พระครูธรรมรังสี มีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะเมืองแกลง ฝ่ายอรัญวาสี ในสมัยน้ันเจ้าคณะสงฆ์แบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ  ฝ่ายคามวาสี และฝ่ายอรัญวาสี แม้วัดในกรุงเทพฯ เช่น วัดสระเกศ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ นี้ก็ยังมีเจ้าอาวาส ๒ รูป ครองอารามร่วมกันเป็นผู้ปกครองสงฆ์ คือ พระธรรมทานาจารย์ (ภู่)  เจ้าอาวาสฝ่ายคันถธุระ  พระวินยานุกูล (ศรี)  เจ้าอาวาสฝ่ายวิปัสสนาธุระ  
     เรื่องบิดาของสุนทรภู่นี้  แม้  ก.ศ.ร. กุหลาบ นักประวัติศาสตร์พงศาวดารสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็สนใจได้จดไว้เป็นหลักฐานในหนังสือ  "สยามประเทศ"  ว่า
     "ขุนสุนทรโวหาร (ภู่)  เป็นบุตร  ขุนศรีสังหาญ (พลับ)   บ้านมีอยู่หลังป้อมวังหลัง  เป็นสะเตเชั่นรถไฟ  สายเพชรบุรี  มารดาชื่อใดไม่ทราบ"  
     ก.ศ.ร.  กุหลาบ  คนนี้เป็นผู้สนใจในประวัติศาสตร์พงศาวดารโบราณคดี ได้ศึกษาค้นคว้าทางนี้มาก แต่สมัยน้นัยังหวงวิชากันอยู่  ก.ศ.ร. กุลาบจึงต้องเที่ยวลักค้นลอกเอาจากตำรับตำราในหอสมุดหลวง  แต่เกรงพระอาญา  จึงต้องคัดแปลงแต่งต่อเติมเอาบ้าง  ลบศักราชเสียบ้าง  เพื่อมิให้มีโทษว่าลักคัดลอกตำราหลวง  ทำให้เป็นที่สงสัยว่าไปเอามาแต่ไหน   ก.ศ.ร. กุลาบก็อ้าวว่าเอามาจากตำราเก่าของเจ้นายขุนนางที่เสียชีวิตไปแล้ว  คราวหนึ่งแต่งพระราชพงศาวดารเพิ่มเติมว่า   พระจอมเกศ พระจุลจอมเกศ  ล่อพระนามพระเจ้าอยู่หัว  จึงถูกสอบสวน ก.ศ.ร. กุหลาบก็สารภาพว่า  ทำให้เจ้านายไม่เชื่อถือ  ก.ศ.ร .กุหลาบว่า "กุเรื่อง"  คือ โกหก คำว่า กุหลาบ ก็เลยกลายเป็น" กุหก " หรือ "โกหก"  ไปเสีย  แต่ในหนังสือ  "สยามประเทศ"  ก็มีพงศาวดารและประวัติบุคคลที่เป็นจริงอยุู่เกือบทั้งหมด  เราจะโทษ ก.ศ.ร. กุหลาบไม่ได้  ต้องโทษเรื่องธรรมเนียมหวงวิชาของคนไทยเราทีทำให้  ก.ศ.ร. กุหลาบต้องเบือนต้องแปลงไปบ้าง  เพื่อมิให้ต้องได้รับโทษฐานคัดลอกหนังสือหลวง ก็น่าแปลกใจแม้หนังสือราชกิจจานุเบกษาก็มีข้อห้ามเอาไว้ว่า ห้ามคัดลอก  อย่างไรก็ดี เราก็ได้รู้จักชื่อของบิดาของสุนทรภู่จากหนังสือสยามประเทศว่าชื่อ "ขุนศรีสังหาญ (พลับ) ก.ศ.ร.กุหลาบยังบอกต่อไปอีกว่า ่"ได้พบตัวนายพัด  บุตรชายสุนทรภู่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗ ขณะนั้นนายพัดอายุ ๘๖ ปี ความจำยังดีไม่หลงลืม แต่ไม่เป็นนักปราชญ์เหมือนบิดา  

     สุนทรภู่บอกว่า เมื่อไปเยี่ยมบิดาในปีพ.ศ. ๒๓๕๐  นั้นบิดาของสุนทรภู่

     "เจริญพรตยศยิงโมลี
     กำหนดยี่สิบพรรษาสถาพร"
     บอกว่า   "เจริญพรตยศยิ่งโมลี"  คือ มียศศักดิ์สุงเหนือเกล้าของพระสงฆ์ทั่วไปด้วย
     บอกไว้ชัดเจนว่า่  "บวชมา ๒๐ พรรษาสถาพร"  เป็น "มหาเถร" แล้ว
     ได้ตรวจดูทำเนียบข้าราชการวังหลังดูแล้ว   ปรากฎว่า มีตำแหน่ง  ขุนศรีสังหาญ  ปลัดกรมขวา   กรมอาสาวิเศษซ้าย   ศักดินา  ๓๐๐ ไร่ จึงมีหลักฐานแน่ชัดว่า  ขุนศรีสังหาญ มีตำแหน่งนามบรรดาศักดิ์อยู่ในวังหลังจริง  เข้ากับเรื่องที่สุนทรภู่รับราชการอยู่ในสังกัดวังหลัง   ไม่ใช่เรื่องที่กล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยเลย   จะขอยกทำเนียบข้าราชการวังหลังมาให้ดู  ดังนี้
     กรมอาสาวิเศษซ้าย
     หลวงวิจารณ์ภักดี    เจ้ากรม ศักดินา  ๔๐๐
     ขุนศรีสังหาญ       ปลัดกรมขวา  ศักดินา  ๓๐๐ 
     ขุนพิมานนที           ปลัดกรมซ้าย  ศักดินา   ๓๐๐
     ทำเนียบนามตำแหน่งในกรมอาสาวิเศษซ้ายนี้  แสดงหลักฐานแน่ชัดว่า ขุุนศรีสังหาญ (พลับ)   มี่ตำแหน่งเป็นนายทหารสังกัดอยู่ในกรมอาสาวิเศษซ้ายนี้ ซึ่งเป็นกรมในสังกัดกรมล้อมวัง  ในกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข   เรียกในสมัยนี้ก็คงเท่ากับกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์  ซึ่งก็ไม่ใช่ตำแหน่งเล็กน้อยนัก  บุตรชายของท่านจึงได้เข้ารับราชการอยู่ในวังหลังด้วย ในตำแหน่งมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์  พระราชโอรสของวังหลัง  กรมพระราชวังหลังสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๓๔๙  พระชนมายุ ๖๑ พรรษา เม่ื่อวังหลังสวรรคตแล้วเป็นธรรมเนียมของข้าราชการจะต้องโอนมาสังกัดวังหน้า  ตอนนี้เองที่สุนทรภู่จะต้องโอนมาสังกัดวังหน้าด้วย ในปีพ.ศ.๒๓๔๙ นั้นเอง

     ปีพ.ศ.๒๓๕๐ สุนทรภุ่อายุครบ ๒๐ ปี  จีงได้เดินทางไปหาบิดา  ต้ังใจจะไปบวชด้วย ได้ไปหาบิดาที่วัดบ้านกร่ำ  เมืองแกลง วัดที่พระครูธรรมรังสีเป็นเจ้าอาวาสอยู่  แต่ก็เกิดป่วยเป็นไข้ต้ังแต่เดือน ๗ จนถึงเดือน ๙ เลยไม่่ได้บวช  จึงได้เดินทางกลับในเดือน ๙ ปีพ.ศ.๒๓๕๐ (วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๕๐) นั้น สุนทรภู่รำพันว่า
                                "โอ้ชนนีอยู่ศรีอยุธยา
                                   บิดามาอ้างว้างอยู่กลางไพร"

 สุนทรภู่ถึงจะไม่กำพร้าบิดาตายจากก็จริง   แต่ก็พลัดพรากจากบิดาตั้งแต่อายุเพียง ๑ ขวบ  ดาวอาทิตย์เป็นวินาศแก่ลัคนาตามตำราโหราศาสตร์ น่าจะต้องพลัดพรากจากบิดาจริงตามตำราว่าไว้  แต่บิดาของสุนทรภู่ไม่ใช่คนไร้หัวนอนปลายตีน  เป็นข้าราชการทหารมีบรรดาศักดิ์เป็นขุนศรีสังหาญ ตำแหน่งปลัดกรม ศักดินา ๓๐๐ ไร่  ศักดินาสูงกว่านายนรินทร์ธิเบศ ซึงมีศักดินา ๒๐๐ ไรเสียอีก   ถ้าเทียบตำแหน่งปัจจุบัน  ปลัดกรมก็เท่ากับเลขานุการกรม  น่าจะเทียบเท่ากับข้าราชการระดับพันโท พันเอก   เจ้านายผู้่ใหญ่แม้พระเจ้าอยู่หัวก็น่าจะทรงทราบประวัติดีอยู่ เมื่อไปบวชอยู่   จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็น  พระครูธรรมรังสี เจ้าคณะเมืองแกลง ฝ่ายอรัญวาสี  เทียบตำแหน่งปัจจุบันก็เท่ากับเจ้าคณะจังหวัด  เป็นพระราชาคณะแล้ว


     ส่วนมารดาสุนทรภู่น้ันพบในที่แห่งหนึ่งว่าชื่อ  ช้อย  เป็นชาวแปดริ้ว แต่แน่นอนเป็นแม่นมในพระราชธิดาของวังหลัง คือพระองค์เจ้าหญิงจงกล  แปลว่าทำงานอยู่ในวังหลังนั่นเอง  คนที่เป็นแม่นมโอรสธิดาเจ้านายนี้  ท่านมักจะเลือกสรรกันมากพอสมควรทีเดียว  คือต้องเลือกเอาคนมีชาติมีตระกูล รูปร่างลักษณะดี นมดีด้วย  เพราะว่าจะต้องให้ลูกท่านดื่มนมในอก   เท่ากับเป็นแม่คนที่สองของเจ้านายเล็กๆ  มีตำราท่านเลือกแม่นมมาแต่โบราณแล้ว   มีกล่าวในกาพย์มโนรา ว่าดังนี้


๐ สั่งให้หาแม่นม   อ้อนแอ้นเอวกลม  รูปทรงพร้อมด้วยลักษณา
เชื้อชาติผู้ดี           สกุลมีจึงเอามา     พงศ์เผ่าเหล่าพระยา  มีอัชฌาเชื่อผู้ดี 
๐ ลางนางผิวพรรณขาว นมยานยาวถึงนาภี  นมใสไม่สู้ดี  ลางนางมีนมเป็นพวง
๐ เลือกเสียมิให้เอา มิให้เฝ้าพระลูกหลวง  ลางนางนมคัดทรวง เต่งต้ังเต้าไม่เข้าการ
๐ ลางนางน้้นนมงอน  น้ำนมน้ันเปรี้ยวไม่สู้หวาน  เอาแต่พอประมาณ  พานคล้อยๆน้อยจึงดี
๐ เนื้อหนังอ่อนละไม  ทรงวิไลเลิศสตรี  ปัญจะกับยานิ  ผิวผ่องสีเนื้อดำแดง
๐ เอาใส่ในราชการ  น้ำนมหวานไม่แสลง  สั่งให้เร่งจัดแจง  รู้คล่องแคล่วกิริยา"

     แสดงว่าแม่นมนี้ท่านเลือกคนดีมีสกุล  รูปร่างดี  นมดีด้วย  คนที่เป็นแม่นมพระองค์เจ้านี้  จึงเป็นประกาศนียบัตรอยู่ในตัวว่ามีคุณภาพ   ก็เอาเป็นว่า  แม่ช้อยมารดาสุนทรภู้น้ันเป็นคนดีมีตระกูล  รูปร่างหน้าตาดี  เป็นคนคล่องแคล่วรู้ขนมธรรมเนียมในรั้่วในวังดีด้วย   บิดามารดาของสุนทรภู่จึงต้องเป็นคนดีทั้งสองฝ่าย  



(โปรดติดตามตอนต่อไป)