๑. บทนำเรื่อง
เรื่องประวัติสุนทรภู่นั้น เราจะต้องของพระเดชพระคุณสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ได้ทรงพระราชนิพนธ์ชีวประวัติสุนทรภู่ไว้ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๕ นับจนถึงบัดนี้ (๒๕๓๐) ก็เป็นเวลา ๖๕ ปี ก็ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องมีผู้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม แล้วพบว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องอยู่บ้าง เช่น คุณธนิต อยู่โพธิ์ พบว่า นิราศพระแท่นดงรัง ไม่ใช่นิราศสุนทรภู่ แต่เป็นนิราศของหมื่นพรหมสมพัตสร ((มี) ลูกศิษย์ของสุนทรภู่
ต่อมา คุณสถิตย์ เสมานิล ก็ได้พบว่า สุภาษิตสอนหญิงนั้น ไม่ใช่ของสุนทรภู่ แต่เป็๋นของนายภู่ กวีอีกคนหนึ่งชื่อเดียวกัน และกวีคนนั้นได้แต่งนิยายเรื่อง นกกระจาบคำกลอน ไว้อีกเรื่องหนึ่ง มีคำไหว้ครูบอกชื่อภู่ไว้เหมือนกัน เรื่องนี้ ข่้าพเจ้าก็ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมต่อมา จึงพบว่า นายภู่ ผู้แต่งสุภาษิตสอนหญิงคนนี้ เคยบวชอยู่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้เป็นเจ้าอาวาาฝ่ายคันธุระ มีสมณศักดิ์๋ว่า พระธรรมทานาจารย์ (ภู่) เป็นคนรุ่นหลังสุนทรภู่ ได้ลาสึกขาออกมาเป็น นายภู่ จุลละภมร เป็นกวีคนหนึ่งได้แต่งคำกลอนไว้หลายเรื่อง คือ
๑. สุภาษิตสอนหญิงคำกลอน
๒. นครกายคำกลอน
๓. พระสมุทรคำกลอน
๔. นกกระจาบคำกลอน
๕. จันทโครบคำกลอน
ต่อมาข้าพเจ้าจึงได้ค้นพบว่า "นิราศอิเหนา" น้ันไม่ใช่ของท่านสุนทรภู่ แต่เป็นพระราชนิพนธ์ของกรมหลวงภูวเนตรนริทร์ฤทธิ์ (พระองค์เจ้าทินกร) พระราชโอรสของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งเป็นศิษย์ของสุนทรภู่ แต่งกลอนได้ไพเราะเท่าสุนทรภู่ แต่ใช้คำสูงส่ง ประณีตกว่า เป็นกลอนสุภาพไม่ใช่่่กลอนตลาดแบบสุนทรภู่ กรมหลวงภูวเนตรนริทร์ฤทธิ์ ได้นิพนธ์คำกลอนไว้หลายเรื่อง คือ
๑. นิราศอิเหนา
๒. นิราศฉะเชิงเทรา
๓. เพลงยาวสังวาส ๔ สำนวน
๔. บทละครเรื่องมณีพิไชย
๕. บทละครเรื่องสุวรรณหงส์
๖. เรืองปิ่นทอง แก้วหน้าม้า
๗. เรื่องเทวัญ นางกุลา
ต่อมาได้พบว่า นิราศวัดเจ้าฟ้า ไม่ใช่ฝีปากของสุนทรภู่ แต่เป้นของเณรพัด ลูกชายของสุนทรภู่ เณรพัดคนนี้มีอายุยืนยาวมาจนถึงรัชกาลที่ ๕ พ.ศ.๒๔๔๗ อายุ ๘๖ ปี เณรพัดหรือนายพัด จึงเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๑ ก่อนสุนทรภู่บวช ๖ ปี นายพัดบอก ก.ศ.ร. กุหลาบว่า ปู่ของเขาชื่อ ขุนศรีสังหาญ (พลับ) ข้าพเจ้าจึงศึกษาค้นคว้าต่อมาพบว่า ขุนศรีสังหาญ (พลับ) มีตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวงอยู่ในกรมอาสาวิเศษซ้าย มีศักดินา ๓๐๐ ไร่ ได้ไปบวชอยู่วัดบ้านกร่ำ เมืองแกลง ต้ังแต่ปีพ.ศ. ๒๓๓๐ สุนทรภู่อายุ ๑ ขวบ เมื่อสุนทรภู่เดินทางไปหาบิดาน้ัน บวชมาได้ ๒๐ พรรษาแล้ว มีสมณศักดิ์เป็นพระครูธรรมรังสี (พลับ) ตำแหน่งเจ้าคณะเมืองแกลง ฝ่ายอรัญวาสี ไม่ใช่เป็นพระฐานานุกรม
ต่อมาได้พบหลักฐานเป็นเงื่อนงำว่ สุนทรภู่ไม่ใช่เป็นขุนสุนทรโวหารเท่าน้ัน แต่เป็น "หลวงสุุนทรโวหาร" อยู่ในวังหน้า เพราะทำเนียบนามบรรดาศักดิ์ไม่มีตำแหน่ง "ขุนสุนทรโวหาร" มีแต่ตำแหน่ง "หลวงสุนทรโวหาร" เจ้ากรมราชบัณฑิตย์ ศักดินา ๔๐๐ ไร่
ทีเรียกกันว่า วังหลัง นั้นคือ พระราชวังหลังต้ังอยู่ที่ตำบลสวนลิ้นจี่ คือตรงที่ต้ังโรงพยาบาลศิริราชปัจจุบันนี้ เป็นบริเวณสวนของสมเด็จเจ้าฟ้าหรมพระยาเทพสุดาวดี (สา) พระพี่นางองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระพี่นางองค์นี้มีพระโอรสรับราชการอยู่ในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ๓ พระองค์ คือ
๑. พระยาสุริยอภัย (ทองอินทร์) ได้เป็นสมเด็จพระเจ้าหลานยาเธอกรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ (ทองอินทร์) ในสมัยรัชกาลที่หนึ่ง เรียกว่า กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข (คือ วังหลัง) องค์ที่เป็นเจ้านายองค์แรกของสุนทรภู่ ประสูติ ปีพ.ศ. ๒๒๘๙ สวรรคต พ.ศ. ๒๓๔๙ พระชนมายุ ๖๐ พรรษา
๒. พระอภัยสุริยา ได้เป็นสมเด็จพระะเจ้าหลานเธอ กรมหลวงธิเบศร์บดินทร์
๒. หลวงฤทธิ์นายเวร มหาดเล็ก ได้เป็น สมเด็จพระเจ้าหลานเธอกรมหลวงนรินทร์รณเรศ
สมเด็จพระเจ้าหลานเธอกรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ (ทองอินทร์) กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข (วังหลัง)นั้น มีพระโอรสธิดากับเจ้าจอมมารดาทองอยู่ พระอัครชายา รวม ๕ องค์คือ
๑. พระองค์เจ้าชายปาน ประสูติ ปีพ.ศ. ๒๓๑๓ ได้เป็นกรมหมื่นนราเทเวศร์ เป็นต้นสกุล ปาลกวงศ์ ณ อยุธยา ในปัจจุบันนี้
๒.พระองค์เจ้าหญิงกระจับ ประสูติ ปีพ.ศ. ๒๓๑๕
๓.พระองค์เจ้าชายบัว ประสูติ ปีพ.ศ. ๒๓๑๘
๔.พระองค์เจ้าชายแดง ประสูติ ปีพ.ศ. ๒๓๒๐ ได้เป็นกรมหมื่นเสนีบริรักษ์ เป็นต้นสกุล เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา ในปัจจุบันนี้
๕.พระองค์เจ้าชายปฐมวงศ์ ประสูติ ปีพ.ศ.๒๓๒๕ ปีต้ังพระราชวงศ์จักรี จึงได้รับพระราชทานพระนามว่า พระองค์เจ้าชายปฐมวงศ์ ทรงผนวชอยู่ที่วัดอรุณราชวราราม แล้วไปอยู่วัดระฆัง จนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ เจ้าชายองค์นี้แหละที่สุนทรภู่เป็นมหาดเล็กรับใช้อยู่ และเจ้าจอมมารดาทองอยู่หรือทีเรียกกันว่า เจ้าครอกทองอยู่ พระมารดาของพระองค์เจ้าชายปฐมวงศ์นี้แหละที่เณรพัดพรรณาคร่ำครวญถึงในนิราศวัดเจ้าฟ้า เพราะนายพัดอาศัยอยู่กับเจ้าจอมมารดาทองอยู่นี้มาตั้งแต่เด็ก
เมื่อวังหลังสวรรคตใน พ.ศ. ๒๓๔๙ นั้น สุนทรภู่ต้องโอนมาสังกัดวังหน้าตามธรรมเนียม
วังหน้า คือ กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ (เจ้าฟ้าจุ้ย) ประสูติเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ.๒๓๑๕ สวรรคตเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๖๐ พระชนมายุได้ ๔๕ พรรษา ทรงเป็นนักกวีเอก เมื่อ พ..ศ. ๒๓๓๔ พระชนมายุได้ ๑๙ พรรษาได้ตามเสด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชไปตีเมืองทะวาย ได้ทรงพระราชนิพนธ์ "นิราศแม่น้ำน้อย" ไว้โดยใช้พระนามแฝงว่า "ศิษย์ศรีปราชญ์" เมื่อ พ.ศ.๒๓๕๒ ได้เสด็จเป็นแม่ทัพไปตีพม่าทางใต้ ได้ทรงพระราชนิพนธ์นิราศไว้อีกเรืองหนึ่ง โดยใช้พระนามแฝงว่า "นรินทร์อิน" (คือ นามของนายนรินทร์ธิเบศร์ (อิน) มหาดเล็กคนทีตามเสด็จไปในครั้งนั้น) ทำให้คนทั้งหลายเข้าใจผิดกันมานานเกือบ ๒๐๐ ปีแล้วว่า เป็นโคลงของนายนรินทร์อิน ทั้งๆที่นายนรินทร์ธิเบศร์(อิน) ไม่เคยเป็นกวีเลย นิราศนรินทร์นั้นไปหยุดพักพลกองทัพอยู่ทีอ่าวตะนาว หรือ อ่าวมะนาวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่บอกว่า "ตระนาวตระหน่ำซ้ำสงสาร" และเข้าใจผิดกันมานานแล้วว่า เป็นตะนาวศรีในเขตพม่่า ที่จริงคือ อ่าวตะนาวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นี้เอง
สุนทรภู่รับราชการอยู่ในวังหน้านี้้ต้ังแต่ พ.ศ.๒๓๕๐ ถึง พ.ศ.๒๓๖๐ ได้เป็นหลวงสุนทรโวหารในวังหน้านี้ สุนทรภู่รับราชการอยู่วังหน้า ๑๑ ปี ถึง พ.ศ. ๒๓๖๐ วังหน้าสวรรคต หลวงสุนทรโวหาร (ภู่) จึงโอนมาสังกัดวังหลวงเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๐ ขีวิตสุนทรภู่รุ่งเรืองสูงสุดตอนนี้เอง หลวงสนุทรโวหาร (ภู่) รับราชการสังกัดวังหลวงอยู่ ๖ ปีก็สิ้นวาสนา เมื่อวังหลวงเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. ๒๓๖๗ สุนทรภู่ก็หนีราชภัยออกบวชในปีพ.ศ.๒๓๖๗ ที่วัดอรุณราชวราราม แล้วข้ามมาอยู่วัดพระเชตุพน ฯ แล้วย้ายไปอยู่วัดราชบูรณะ แล้วไปอยู่วัดเทพธิดาเมื่อพ.ศ.๒๓๘๑ อยู่วัดเทพธิดาจนถึงปีพ.ศ. ๒๓๘๔ ไปสุพรรณบุรีแล้วก็ไปนครปฐม ปีพ.ศ.๒๓๘๕ ก็ยังไม่ได้สึก จนถึงปีเณรกลั่นไปพระแท่นดงรัง ปีพ.ศ.๒๓๘๘ สุนทรภู่ก็ยังไม่ได้ลาสึก ได้ไปพระแท่นดงรังพร้อมเณรกลั่น เณรกลั่นเรียกว่า "มหาเถร" (ซึ่งเป็นคำทีเรียกพระภิกษุที่บวชมาได้ ๒๐ พรรษาแล้ว) สุนทรภู่บวชตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๓๖๗ จนถึงปีพ.ศ. ๒๓๘๘ จึงได้ ๒๑ พรรษา จึงเป็น "มหาเถร" ตามคำเรียกของเณรกลั่น ใครๆว่าสุน่ทรภู่บวชๆ สึกๆ ทำท่าจะเป็นพระบวช ๓ โบสถ์น้ันไม่มีหลักฐานเลย ว่ากันโดยเดาสวดแท้ๆ บาปกรรมเปล่าๆ ปลี้ๆ คนที่เป็นนักปราชญ์ราชกวี "เป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว เขมราลาวลือเลื่องถึงเมืองนคร" อย่างสุนทรภู่จะเป็นชายสามโบสถืไม่ได้ และคำกล่าวที่ว่าสุนทรภู่ต้องอาบัติเสพสุราเมื่อบวชอยุ่ก็เป็นคำเท็จที่ร้ายแรง จากคำของเณรกลั่นในนิราศพระแท่นดงรัง ปรากฎว่าสุนทรภู่เป็นพระสุปฎิปันโน เคร่งครัดศีล กระทำสมถภาวนาปรากฎจากนิราศสุพรรณ ท่านก็เกลียดพระที่ย่อหย่อนวินัย ท่านกล่าวถึงพระที่เตะตะกร้อ ตีไก่่ ว่า "เสียเทียนเสียธูปซ้ำ เสียศรัทธาเอย" ดังนี้
เพราะฉนั้น ประวัติสุนทรภู่เราต้องขำระสะสางกันใหม่ ไม่ควรเล่ากันสนุกปากตามคำเขาว่าจระเข้มาที่ท่าน้ำกันต่อไป ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะเห็นการศึกษาวิชาวรรณคดีไทยเป็นการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ มีการวิเคราะห์ วิจัย วิจารณ์ กันอย่างมีหลักฐาน เป็นวรรณคดีวิเคราะห์ วรรณคดีวิจารณ์ วรรณคดีวิจัย ไม่ใช่ว่าอะไรตามๆกันไปเหมือนแต่ก่อน ขอให้เราศึกษาวรรณคดีกันอย่างบัณฑิตทำวิทยานิพนธ์ ไม่ใช่เพื่อจะบอกว่าใครผิดใครถูก แตเพื่อจะบอกว่าอะไรผิดอะไรถูก เพื่อลูกหลานหรือลูกศิษย์ของเรรุ่นต่อๆไป จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร โดยเฉพาะรู้ว่า พระสุนทรโวหาร มหากวีเอกของโลกนั้น มีประวัติชีวิตและการงานเป็นอย่างไรอย่างแท้จริง ไม่ใช่มัวแต่สันนิษฐานกันเอาตามใจชอบ เพียงเพื่อจะอวดรู้อวดดีอะไรเป็นส่วนตัว แต่ควรจะมุ่งเพื่อยกย่องเทิดทูนมหากวีเอกของเราตามความเป็นจริง จึงจะเป็นการสมควร ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้เพื่อจุดหมายนี้เป็นสำคัญ เขียนเพื่อเป็นวิทยาทาน ไม่ใช่เขียนเพื่อแสวงหาชื่อเสียง ชื่อเสียงของข้าพเจ้ามีอยู่พอสมควรกับฐานานุรูปของข้าพเจ้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องแสวงหาอะไรอีก การเขียนเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ก็คงจะไม่ทำให้ได้ชื่อเสียงอะไรขึ้นมาได้เลยด้วย คงจะมีคนสนใจคนเขียนน้อยกว่าสนใจเรื่องของสุนทรภู่เป็นแน่นอน
ความดีของเรื่องนี้ถ้าหากจะมีอยู่บ้าง ข้าพเจ้าก็ไม่อุทิศให้ใครแม้แต่ตัวเอง ขออุทิศให้เป็นความสัจจริงแก่ชีวประวัติและการงานของท่านพระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์) ทั้งหมด